Skip to content

King of Gods 1218

King Of Gods

บทที่ 1218 ปฐมเทพรวมตัว

งานประลองยุทธ์ผาเก่าจัดตั้งขึ้นบน ‘เขาเบญจดารา’ ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของหอดารา

ยอดเขาของเขาเบญจดาราเกิดขึ้นจากหินผลึกสีขาวอันแข็งแกร่ง ต่อให้ตกอยู่ในรัตติกาลที่มืดมิดก็ยังคงเปล่งแสงสว่างน้อยๆ ออกมา

ที่นี่มียอดเขาทั้งหมดห้าแห่ง หนำซ้ำยังมีลักษณะห้าแฉก ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าเขาเบญจดารา

หลายปีก่อนนี้ก็ได้เริ่มบุกเบิกก่อสร้างบนเขาเบญจดารา

ในตอนนี้ เหนือยอดเขาทั้งห้าแห่งมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจมากมาย ส่วนยอดเขาใจกลางสร้างลานประลองขนาดใหญ่ขึ้น

งานประลองยุทธ์ผาเก่ายังไม่ทันได้เริ่มขึ้น รอบๆ เขาเบญจดาราก็รายล้อมไปด้วยฝูงชน

“ได้ยินมาว่างานประลองยุทธ์ครั้งนี้จัดขึ้นโดยผู้ถูกเลือกของขั้วอำนาจห้าดาวสองแห่งของเขตผาเก่า คือปฐมเทพจื่อเฟิง (วายุม่วง) และปฐมเทพเทียนเสวี่ย (หิมะนภา)!”

“ทั้งสองคนนี้จัดอยู่ในลำดับที่เจ็ดและสี่ในอันดับรายชื่อปฐมเทพ ไม่รู้ว่ายี่สิบคนในรายชื่อนั้นจะมีใครมาบ้าง?”

คนรอบเขาเบญจดาราต่างถกสถานการณ์ของงานประลองยุทธ์ครั้งนี้ไม่หยุด

ในสายตาทุกคน อันที่จริงงานประลองยุทธ์ผาเก่าก็คือความสนุกก่อนการทดสอบรายชื่อปฐมเทพ

ถึงแม้รอบเขาเบญจดาราจะมียอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวจอแจ แต่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่า ใต้ดินลึกลงไปของยอดเขาตรงกลางยังมีคนผู้หนึ่งซ่อนกายอยู่

“บัดซบ อยู่ดีๆ ทำไมต้องมาจัดงานประลองยุทธ์ แล้วยังมาจัดเหนือเขาเบญจดาราอีก!”

ชายผู้นี้มีผิวกายค่อนข้างดำ แต่ดวงตาสองข้างกลับเป็นประกายอย่างยิ่ง

เบื้องหน้าเขามีประตูหินบานหนึ่ง เหนือบานประตูหินนั้นสลักผนึกค่ายกลที่ซับซ้อนไว้

ผนึกค่ายกลมีลักษณะเป็นห้าแฉก พลังทั้งห้าธาตุขยายออกจากห้าแฉกเพื่อปกป้องพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้

“ที่นี่จะต้องเป็นจุดที่ ‘จอมเทพห้าธาตุ’ เคยฝึกตนแน่นอน สี่ปีผ่านมาแล้ว ค่ายกลนี้ยังเหลืออีกเพียงเศษเสี้ยวก็จะถูกข้าทะลวงได้!”

ชายผิวดำผู้นี้นั่งขัดสมาธิที่หน้าประตู ในมือกำของลักษณะแผ่นกลม ภายในทอแสงประกายไม่หยุด แทรกซึมเข้าไปในผนึกห้าแฉกนั้น

“จอมเทพห้าธาตุเป็นถึงจอมเทพที่เคยท่องเที่ยวไปทุกแห่งหน ยามปิดด่านฝึกตนมักจะชอบอยู่ห่างไกลผู้คน แล้วกางค่ายกลป้องกันไว้”

สีหน้าชายผิวดำผู้นี้ฉายแววตื่นเต้น

เหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ค่ายกลแห่งนี้ก็จะถูกเขาทำลายลงไป ภายในจะต้องมีสมบัติที่จอมเทพห้าธาตุทิ้งเอาไว้แน่นอน เพียงแต่โชคไม่ดีที่หนึ่งเดือนจากนี้งานประลองยุทธ์ผาเก่าจะจัดขึ้นบนเขาเบญจดารา

และค่ายกลที่นี่สามารถรักษาตนเองได้ ถ้าหากหยุดการทำลาย ค่ายกลก็จะค่อยๆ ฟื้นฟูตนเองอย่างช้าๆ ซึ่งนี่คือลักษณะพิเศษของค่ายกลประเภทห้าธาตุ

ดังนั้นชายผิวดำจึงทำได้เพียงภาวนาให้งานประลองยุทธ์จบลงโดยไว

ในตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย

จ้าวเฟิง หานหนิงเอ๋อร์ และผู้ถูกเลือกของเผ่าหมอกสวรรค์สองคนเดินเตร็ดเตร่ด้วยกัน

“คนละระดับจริงๆ เจอเทพแท้จริงขั้นสามได้แทบทุกที่ ส่วนเทพแท้จริงขั้นสี่เองก็มีไม่น้อย!”

จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

ถึงขนาดที่ว่าดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่หนักแน่นแข็งแกร่งหลายสาย เป็นไปได้อย่างมากว่ามีผู้แข็งแกร่งเทพแท้จริงขั้นสี่ขึ้นไป

นอกจากนั้นยังมีปฐมเทพมากที่สุด

อย่างไรเสีย ตัวละครสำคัญของงานประลองยุทธ์ครั้งนี้ก็คือยอดฝีมือขั้นปฐมเทพ

“มีปฐมเทพจำนวนมากจริงๆ แถมยังเป็นรุ่นเยาว์เสียด้วย!”

จ้าวเฟิงอดคิดถึงดินแดนทวีปไม่ได้ ก่อนจะระบายยิ้มน้อยๆ

ในดินแดนทวีป พลังฝึกตนของคนรุ่นเยาว์ส่วนมากจะอยู่ในขั้นจักรพรรดิ ส่วนคนที่ทะลวงผ่านขอบเขตเทวาเร้นลับก็มีไม่กี่คน แต่ในดินแดนเทพรกร้าง คนที่จะเรียกว่าเป็นอัจฉริยะได้จำต้องทะลวงถึงขั้นปฐมเทพ

“นี่มันปฐมเทพเจี้ยนเฟิงไม่ใช่หรือ?

ในเวลานี้เอง เบื้องหน้าของทุกคนก็มีเสียงแสบหูดังขึ้น

จ้าวเฟิงจ้องดู จึงเห็นอัจฉริยะขั้นปฐมเทพสองคนของเผ่าภูติทมิฬ ส่วนคนที่พูดก็คือปฐมเทพหมัวกุ่ย

“ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงของเผ่าหมอกสวรรค์?”

แววตาของกลุ่มคนรอบๆ ต่างจับจ้องไปที่ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงทันที

มีข่าวลือสะพัดไปทั่วโลกภายนอก ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงของเผ่าหมอกสวรรค์ลึกซึ้งในเสวียนอ้าวแห่งลมขั้นที่สองแล้ว และยังเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นยี่สิบลำดับแรกของรายชื่อปฐมเทพได้

“เจ้ายังมาดูความครึกครื้นนี้ได้ ข้าจะมาไม่ได้เช่นนั้นหรือ?”

ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงโต้กลับได้เฉียบคมยิ่งนัก

ปฐมเทพหมัวกุ่ยเงียบไปทันที

เมื่อเทียบกันในแง่ของขั้วอำนาจแล้ว เผ่าหมอกสวรรค์แข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าภูติทมิฬ ถ้าเปรียบในแง่ของความสามารถ เขาเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปฐมเทพเจี้ยนเฟิง

“เหอะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่ก็จะมาที่นี่ด้วย แต่คิดว่าเจ้าคงไม่กล้าขึ้นลานของงานประลองยุทธ์กระมัง!”

ปฐมเทพหมัวกุ่ยรับมือปฐมเทพเจี้ยนเฟิงไม่ได้ จึงรีบใส่อารมณ์กับจ้าวเฟิง

ในเวลาเดียวกัน ประโยคนี้ของเขาก็กำลังยั่วยุจ้าวเฟิงให้ขึ้นไปประลองด้วย

ขอแค่จ้าวเฟิงก้าวขึ้นบนเวทีประลอง ปฐมเทพหมัวกุ่ยจะพุ่งขึ้นไปทำให้จ้าวเฟิงอับอายขายหน้าแน่นอน

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเย็นชา

“ฮ่าๆ ปฐมเทพหมัวกุ่ย เกรงว่าพอถึงตอนที่สหายจ้าวขึ้นไปประลอง จะเป็นเจ้าที่ไม่กล้าขึ้นไปต่างหาก!”

ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงหัวเราะเสียงดัง

พลังของปฐมเทพหมัวกุ่ยยังสู้แม้แต่โหวชิ่งไม่ได้ จ้าวเฟิงย่อมเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างสบายๆ

“ดี พอถึงตอนนั้นจะรอดู ว่าเป็นใครกันแน่ที่ไม่กล้าขึ้นประลอง!”

ปฐมเทพหมัวกุ่ยเผยยิ้มเย็นชา

เมื่อเอ่ยจบจึงจากไปพร้อมกับปฐมเทพของเผ่าภูติทมิฬ

“สหายจ้าว พอถึงตอนนั้นข้าจะต้องเยาะเย้ยเขาสักหน่อยแล้ว!”

ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงยิ้มพลางเอ่ย

เขาไม่ถูกชะตาปฐมเทพหมัวกุ่ยแห่งเผ่าภูติทมิฬมาตั้งนานแล้ว อาศัยพลังเพียงเล็กน้อยอวดศักดา วางอำนาจไปทั่ว

“ไปชิมอาหาเลิศรสที่ ‘หอไข่มุกสมุทร’ กันเถอะ!”

ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงเชิญชวน

“ได้ยินมาว่าหอไข่มุกสมุทรในตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายของหอดาราปรุงเพียงอาหารทะเลเท่านั้น รสชาติเยี่ยมยอดนัก!”

สตรีเผ่าหมอกสวรรค์นางนั้นเอ่ยอย่างตื่นเต้น

“ได้ ไปลองชิมกัน!” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ

ตั้งแต่เดินทางออกจากเกาะเทียนอวี่ จ้าวเฟิงก็เดินทางไปที่นั่นที่นี่ จนตอนนี้ถึงเวลาพักผ่อนบ้างแล้ว

หอไข่มุกสมุทรไม่ต่างจากหอไข่มุกเซียนในตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายของเกาะเทียนอวี่เท่าไหร่นัก แต่หอไข่มุกสมุทรมีขนาดใหญ่กว่า ทั้งยังปรุงอาหารโดยวัตถุดิบใต้ทะเลเท่านั้น รสชาติเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก

ตอนที่พวกจ้าวเฟิงมาถึง มีแขกโต๊ะหนึ่งกำลังลุกออกไปพอดี

“จ้าวเฟิง เจ้าโชคดีจริงๆ ปฐมเทพเทียนเสวี่ยก็อยู่ที่นี่ด้วย!”

เมื่อปฐมเทพเจี้ยนเฟิงนั่งลง เขาเอ่ยเสียงเบา

“นางเป็นหนึ่งในคนที่จัดงานประลองยุทธ์ผาเก่าหรือ?”

แววตาของจ้าวเฟิงหยุดลงที่ตำแหน่งใจกลางที่สุดของชั้นนี้

ด้านหน้าของโต๊ะอาหารมีสตรีชุดขาวผู้หนึ่ง ผิวกายขาวผุดผ่อง เหมือนจะถูกพัดปลิดปลิวไปได้ นัยน์ตาสองข้างทอประกาย ประหนึ่งเทพธิดาผู้สูงศักดิ์

เสียดายก็แต่นางคลุมผ้าขาวบาง ทำให้คนมองไม่เห็นใบหน้าทั้งหมด

มีเพียงตอนที่นางเลิกผ้าขึ้นเพื่อลิ้มรสอาหาร ทุกคนถึงจะมองเห็นริมฝีปากงามน่าดึงดูดใจ

“ถูกต้อง ปฐมเทพเทียนเสวี่ยเป็นผู้ถูกเลือกของหนึ่งในขั้วอำนาจห้าวดาวสามแห่งของเขตผาเก่า จัดอยู่ในลำดับเจ็ดของรายชื่อปฐมเทพ ทั้งเขตผาเก่าไม่รู้ว่ามีคนมาเกี้ยวพานางกี่คน กระทั่งเป็นเพราะนางถึงมีคนมากมายเช่นนี้มาเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ผาเก่า!”

ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงเอ่ยยาวยืด

“ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงก็มีใจให้นางหรือ?” จู่ๆ จ้าวเฟิงก็ถามขึ้น

“ใครเล่าจะไม่ชอบหญิงงาม?”

ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แถมยังเอ่ยเต็มปากเต็มคำ

จ้าวเฟิงพยักหน้า ต่อให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าทั้งหมดของปฐมเทพเทียนเสวี่ย แต่ก็พอเดาได้ว่าสตรีนางนี้ต้องงดงามอย่างยิ่ง บวกกับพรสวรรค์ของนางและขั้วอำนาจที่หนุนหลัง จะมีใครในเหล่าผู้เยาว์ของเขตผาเก่าที่ไม่มีใจให้นาง

วู้ม! จ้าวเฟิงกระตุ้นดวงตาซ้ายอย่างไม่รู้ตัว

ทันใดนั้นเอง จ้าวเฟิงมองทะลุผ่านผ้าคลุมหน้าของปฐมเทพเทียนเสวี่ย

วงหน้างามแฉล้มปรากฏขึ้นแก่ครรลองสายตา

“ไม่เท่านาง” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะน้อยๆ

ปฐมเทพเทียนเสวี่ยสวมชุดขาว หนำซ้ำยังคลุมผ้าปิดหน้า ทำให้จ้าวเฟิงอดนึกถึงหลิวฉินซินในเมืองหงหูไม่ได้

ในตอนนั้นที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยฉีกผ้าคลุมหน้าของหลิวฉินซิน ใบหน้าที่ชวนให้ใจเต้นปรากฏขึ้น จ้าวเฟิงยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี

ถึงแม้ว่าปฐมเทพเทียนเสวี่ยจะนับว่าเป็นโฉมสะคราญ แต่นางสู้หลิวฉินซินไม่ได้!

“หืม?” จู่ๆ แววตาปฐมเทพเทียนเสวี่ยก็หยุดที่จ้าวเฟิง

ชายหนุ่มจำนวนมากที่นั่นต่างมองมาที่ตนด้วยใบหน้าหลงใหล แต่มีเพียงชายหนุ่มผมทองผู้นี้ที่มองตนแล้วกลับส่ายศีรษะ และมีท่าทีใจลอย

ทำให้ปฐมเทพเทียนเสวี่ยไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

ในรายชื่อปฐมเทพ ถึงจะยังมีสตรีที่แข็งแกร่งกว่านาง แต่ก็ไม่มีใครงดงามเท่านางอีกแล้ว บวกกับความสามารถและภูมิหลัง จะมีชายคนใดในเขตผาเก่าที่ไม่หลงรักนาง?

แต่ยามชายหนุ่มผมทองผู้นี้มองนางแล้วกลับส่ายหน้า!

“ปฐมเทพเทียนเสวี่ย เป็นอะไรไป?”

แววตาของชายจำนวนมากต่างพากันจับจ้องปฐมเทพเทียนเสวี่ย

การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของนาง พวกเขาจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน

แต่เมื่อครู่ จู่ๆ คิ้วของปฐมเทพเทียนเสวี่ยก็ขมวดมุ่น เหมือนไม่สบอารมณ์นัก

“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นสาเหตุที่ทำให้ปฐมเทพเทียนเสวี่ยไม่พอใจล่ะสิ!”

ชายชุดดำองอาจหล่อเหลาผู้หนึ่งมองตามสายตาของปฐมเทพเทียนเสวี่ยไปเห็นจ้าวเฟิง จากนั้นเอ่ยเสียงเย็น

“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้านี่!”

ชายคนอื่นที่เหลือจึงค่อยๆ มองจ้าวเฟิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

ในเวลาเดียวกัน พวกเขาเองก็รู้สึกค่อนข้างเสียดาย โอกาสดีๆ ที่จะได้แสดงความสามารถต่อหน้าปฐมเทพเทียนเสวี่ยแบบนี้ กลับโดนชายชุดดำผู้นี้แย่งไป

จ้าวเฟิงปิดปากสนิท

เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าการส่ายหน้าของตนเองเมื่อครู่จะทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้

ทว่าที่นี่คือตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย ฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางทำร้ายเขาได้ จ้าวเฟิงจึงคร้านจะอธิบาย

“เป็นใครกันแน่ที่ทำให้ปฐมเทพเทียนเสวี่ยไม่พึงพอใจ?”

ยามนี้ บุรุษหนุ่มชุดขาวหนึ่งในคนจำนวนมากเดินลงมาจากชั้นสอง เอ่ยถามพลางยิ้ม

เมื่อมองตามสายตาของคนอื่นไป บุรุษหนุ่มชุดขาวจึงเจอจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว

“ปฐมเทพเจี้ยนเฟิง นี่เรียกว่าเป็นชะตาได้หรือไม่?”

จ้าวเฟิงยิ้มอย่างเหนื่อยหน่าย

แววตาของปฐมเทพเจี้ยนเฟิงชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

เพราะชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้ก็คือโหวชิ่งแห่งเผ่าปีศาจวารีสวรรค์

“เป็นเจ้า!” โหวชิ่งสีหน้าบึ้งตึง ร่างกายสั่นเทิ้ม ท่าทางโกรธเกรี้ยวเกินจะควบคุม

ในตอนนั้นจ้าวเฟิงไม่เพียงแต่เอาชนะเขาต่อหน้าคนจำนวนมาก อีกฝ่ายยังจับเขาเป็นตัวประกันอีกด้วย

จนสุดท้าย จ้าวเฟิงโดนบีบคั้นจนทำอะไรไม่ได้ จึงหนีเข้าไปในป่าแห่งความตาย

แต่ที่คาดคิดไม่ถึงก็คือ หมอกมรณะในป่าแห่งความตายพลันกระจายตัวออกไป อาจจะเป็นเพราะเหตุนั้น จ้าวเฟิงจึงมีชีวิตรอดไปได้

“โหวชิ่ง เป็นอะไรไป?” ชายเผ่าอสูรที่มีใบหน้าเย็นชาอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงต่ำ

“ปฐมเทพหลินกวง (แสงกิเลน) แห่งเผ่าปีศาจวารีสวรรค์!”

แววตาของคนอื่นๆ ในที่นั้นหยุดลงบนร่างชายหนุ่มที่อยู่เยื้องด้านหลัง

โหวชิ่งเป็นอัจฉริยะของเผ่าปีศาจวารีสวรรค์ก็จริง แต่ผู้ถูกเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจวารีสวรรค์คือปฐมเทพหลินกวง ผู้อยู่ในลำดับที่เจ็ดของรายชื่อปฐมเทพ

“คิดไม่ถึงว่าปฐมเทพหลินกวงจะมาด้วย!”

ดวงตาปฐมเทพเจี้ยนเฟิงฉายแววกระหายต่อสู้

มียี่สิบลำดับแรกของรายชื่อปฐมเทพปรากฏตัวขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว

“เขาเป็นคนที่ในพื้นที่ลับรกร้างโบราณ…”

โหวชิ่งย่อมไม่เล่าเรื่องนี้อย่างโจ่งแจ้ง แต่ลอบส่งเสียงบอก

“หึ!” เมื่อได้ยินเสียงของโหวชิ่ง ปฐมเทพหลินกวงแค่นเสียงเย็นออกมา อากาศรอบบริเวณเย็นยะเยือกลง

แต่ที่นี่คือตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายของ ‘หอดารา’ ปฐมเทพเทียนเสวี่ยเองก็อยู่ที่นี่ด้วย ปฐมเทพหลินกวงไม่ลงมือแน่

“เหอะๆ เจ้าหนุ่มนี่ยั่วโทสะคนเอาไว้มากทีเดียว!”

“เขาเองก็มาเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ผาเก่าด้วยหรือ? ล่วงเกินปฐมเทพหลินกวงเอาไว้ คาดว่าไม่น่าจะกล้าขึ้นเวทีประลองแล้วกระมัง!”

ปฐมเทพจำนวนมากตรงนั้นอดจะยินดีในเคราะห์ร้ายของผู้อื่นไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!