บทที่ 1220 งานประลองยุทธ์เริ่มขึ้น
“งานประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาขึ้นและออกจากชุดคลุมมิติ
ขณะนี้เวลาของโลกภายนอกเพิ่งจะผ่านพ้นไปเพียงยี่สิบสี่วัน แต่จ้าวเฟิงกลับฝึกตนอยู่ในมิติชุดคลุมสองร้อยสี่สิบวันแล้ว
เวลาสองร้อยกว่าวัน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ขั้นที่สิบเอ็ดห้าธาตุกลับเป็นหนึ่งมีพัฒนาการก้าวหน้าไปอีกขั้น
เสวียนอ้าวธาตุทั้งห้าและเสวียนอ้าววายุอัสนีของจ้าวเฟิงกำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตขั้นที่สองเช่นกัน
เสวียนอ้าวมิติยังเหลืออีกเศษเสี้ยวหนึ่งจึงจะถึงขั้นที่สาม ส่วนเสวียนอ้าวเวลาลึกล้ำจนเกินไป จ้าวเฟิงไม่คิดจะศึกษามากนัก พัฒนาการจึงเชื่องช้า
เมื่อจ้าวเฟิงออกจากห้องลับฝึกตน จึงพบว่าห้องลับยี่สิบห้องในชั้นเจ็ด ตอนนี้ว่างไปสิบห้องแล้ว
เมื่อออกมาจากหอคอยฝึกตน จ้าวเฟิงใช้ป้ายส่งข่าวติดต่อหานหนิงเอ๋อร์
เขามารวมตัวกับคนของเผ่าหมอกสวรรค์อย่างรวดเร็ว
“สหายจ้าว หากเจ้ามาช้ากว่านี้อีกหน่อยอาจจะพลาดงานประลองยุทธ์ผาเก่าแล้ว!”
ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงยิ้มเอ่ย
“ต้องขอโทษด้วย ฝึกเพลินไปหน่อย!” จ้าวเฟิงอธิบาย
ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ได้ทดลองใช้ห้องลับในหอคอยฝึกตน ดังนั้นจึงฝึกแบบหลงลืมทุกสิ่ง ลืมแม้กระทั่งวันเวลา
“เขาเป็นใคร?”
แววตาของจ้าวเฟิงจับจ้องร่างบุรุษหนุ่มข้างกายหานหนิงเอ๋อร์
“เขาคือศิษย์พี่ของข้า!” หานหนิงเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา
นางลอบส่งกระแสจิตบอกกับจ้าวเฟิง “เจ้าสำนักทำไปเพื่อปกป้องข้า ลอบส่งสมาชิกจำนวนมากออกมา ส่วนมากถูกหอมังกรเหลืองจับสังหาร แต่เขาโชคดีจึงหนีรอดมาอย่างปลอดภัย ในช่วงก่อนข้าเจอเขาที่ตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย จึงอยากพาเขาไปที่เขตเทพสวรรค์ด้วย!”
เจ้าสำนักลอบส่งสมาชิกมาจำนวนมากเพื่อปกป้องหานหนิงเอ๋อร์ ถึงขั้นที่ว่ามีคไม่น้อยเป็นสายเลือดเดียวกันกับเจ้าสำนักด้วยซ้ำ
คนพวกนี้เสียสละชีวิตเพื่อหานหนิงเอ๋อร์ นางจึงรู้สึกผิดกับพวกเขา ครั้งนี้เมื่อมาเจอศิษย์พี่ผู้นี้จึงอยากจะพาเขาเดินทางไปที่เขตเทพสวรรค์ด้วยกัน
แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมของจ้าวเฟิง
“หืม?”
จ้าวเฟิงเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องราวแล้ว จึงทอดสายตาไปยังบุรุษหนุ่มผู้นี้
สายตาของอีกฝ่ายจับจ้องดวงตาซ้ายสีทองของจ้าวเฟิงทันใด
วู้ม! เขารู้สึกได้ว่าจิตใจของตนเองดำดิ่งลงไป ไม่สามารถสลัดออกไปได้
บุรุษหนุ่มผู้นี้รู้สึกได้ว่าทั้งหมดของตนรวมไปถึงความคิดในใจถูกจ้าวเฟิงมองจนทะลุปรุโปร่ง
นัยน์ตาของเขาฉายแววละอายเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัววูบ!
ทันใดนั้นเอง ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงย้ายจากร่างของเขามองไปที่อื่น
“ยินดีที่ได้พบ ข้าคือศิษย์พี่ของหานหนิงเอ๋อร์!”
บุรุษหนุ่มผู้นี้หลบตาไป ไม่กล้ามองตาของจ้าวเฟิงอีก
คนอื่นที่อยู่ตรงนั้นก็พอจะรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ประหลาดเมื่อครู่
ในตอนนี้ ทุกคนเพิ่งจะสังเกตว่าดวงตาของจ้าวเฟิงเหมือนมีสายเลือดพิเศษบางอย่าง
แต่จากลักษณะพิเศษของดวงตาเขาแล้ว พวกเขาก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าเป็นสายเลือดอะไร
“หานหนิงเอ๋อร์ คนผู้นี้เป็นคนที่หอมังกรเหลืองส่งมา ร่องรอยของเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว!”
จ้าวเฟิงลอบส่งกระแสจิตบอกหานหนิงเอ๋อร์
พลังฝึกตนของคนผู้นี้เพิ่งจะแตะขั้นครึ่งเทพ สภาพจิตใจก็ไม่ได้ดีเด่ จ้าวเฟิงใช้วิชาลวงตาก็ส่งผลต่อสตินึกคิดของเขาได้แล้ว
หนำซ้ำดวงตาซ้ายยังค้นพบว่าบนร่างของบุรุษหนุ่มมีกลิ่นอายวิญญาณของเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งอีกคน เห็นได้ชัดเจนว่าชะตาของเขาถูกคนอื่นควบคุมแล้ว
คนของหอมังกรเหลืองรู้ว่าหากคิดจะหาคนสักคนในเขตผาเก่าก็ยากลำบากเกินไป
ดังนั้นหอมังกรเหลืองถึงจับคนของสำนักรากฐานเทพจำนวนมากมาเป็นทาสรับใช้ และให้คนพวกนี้ตระเวนไปในพื้นที่รอบๆ
ไม่ผิดคาด หานหนิงเอ๋อร์เห็นคนของสำนักรากฐานเทพก็รีบไปทักทาย
เชื่อว่าก่อนนี้ไม่นาน ศิษย์พี่ของหานหนิงเอ๋อร์คงลอบส่งข่าวไปให้กับหอมังกรเหลืองแล้ว
“ไม่ เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
หานหนิงเอ๋อร์ย่อมเข้าใจในความหมายที่จ้าวเฟิงสื่อ แต่นางไม่เชื่อว่าศิษย์พี่ของนางจะทำเรื่องเช่นนี้
“ปฐมเทพเจี้ยนเฟิง ไม่ทราบว่าหลังจากงานประลองยุทธ์ผาเก่าจบลง ท่านจะไปที่ไหน?”
จ้าวเฟิงเอ่ยถาม
“หลังจากงานประลองยุทธ์ผาเก่าจบลง อีกไม่นานการประลองรายชื่อปฐมเทพของเขตผาเก่าก็จะเริ่มขึ้น ข้าจึงอยากจะกลับไปปิดด่านฝึกตนในเผ่า!”
ดวงตาปฐมเทพเจี้ยนเฟิงเต็มไปด้วยจิตกระหายต่อสู้
เป้าหมายของเขาก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งในยี่สิบลำดับแรกของรายชื่อปฐมเทพ
จ้าวเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ พอถึงตอนนั้น ถ้าหากอับจนหนทางจริงๆ ก็คงทำได้เพียงพาหานหนิงเอ๋อร์ไปหลบซ่อนตัวที่เผ่าหมอกสวรรค์ชั่วคราว
แน่นอนว่าหากมีโอกาสในงานประลองยุทธ์ จ้าวเฟิงอาจจะสานสัมพันธ์กับขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งกลุ่มอื่น
หนึ่งวันต่อมา
คนทั้งตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายแทบหายไปจนเกลี้ยง
เผ่าหมอกสวรรค์และพวกจ้าวเฟิงก็เดินทางไปที่เขาเบญจดาราเช่นกัน
“สหายจ้าว ได้ยินมาว่างานประลองยุทธ์ผาเก่าครั้งนี้มีผู้ถูกเลือกหกคนในรายชื่อปฐมเทพเข้าร่วมด้วย!”
ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงตื่นเต้นอย่ายิ่ง จิตต่อสู้ลุกโชน
นอกจากคนจัดงานประลองยุทธ์อย่างปฐมเทพจื่อเฟิงและปฐมเทพเทียนเสวี่ย ยังมีปฐมเทพหลินกวงที่จ้าวเฟิงเคยเจอหนหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีอัจฉริยะในรายชื่อปฐมเทพอีกสามคนเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ครั้งนี้
หกคนนี้แทบจะเป็นตัวแทนหกคนที่แข็งแกร่งที่สุดในงานประลองยุทธ์ครั้งนี้ และเป็นเป้าหมายที่ปฐมเทพอัจฉริยะจำนวนมากอยากจะเอาชนะ
ห้าวันต่อมา ทุกคนก็มาถึงเขาเบญจดารา
ในศาลาอาคารบนยอดเขาทั้งห้าเต็มไปด้วยฝูงชน คนเหล่านี้ถ้าไม่ใช่สมาชิกของขั้วอำนาจใหญ่ๆ ก็เป็นคนที่เดิมมีความสามารถน่าตะลึงอยู่แล้ว
พวกที่พลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นครึ่งเทพและไม่ใช่ผู้เข้าชมจากขั้วอำนาจทรงอิทธิพล จะอยู่ได้เพียงรอบนอกของเขาเบญจดาราเท่านั้น
“ไป!”
พวกเผ่าหมอกสวรรค์บินตรงเข้าไปในศาลารับรองบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
“เจ้านั่นมาแล้ว!” แววตาของโหวชิ่งหยุดลงบนร่างจ้าวเฟิง
งานประลองยุทธ์ครั้งนี้ เขาไม่อยากใส่ใจเรื่องอื่นแล้ว เป้าหมายของเขามีเพียงหยามจ้าวเฟิงให้ได้อับอายเท่านั้น
“จ้าวเฟิง!” แววตาปฐมเทพตี้หลินแห่งเผ่าหยกทองฉายแววตื่นตะลึง
ในตอนที่เพิ่งออกจากเผ่าหยกทอง เขาก็เจอกับจ้าวเฟิง แต่กลับปล่อยให้หนีไปได้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอจ้าวเฟิงอีกที่งานประลองยุทธ์นี้
แต่ยามนี้เขาไม่ยินดีเท่าไหร่นัก เพราะจ้าวเฟิงอยู่กับคนเผ่าหมอกสวรรค์
ถึงแม้ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงข้างจ้าวเฟิงจะไม่ใช่คนในรายชื่อปฐมเทพ แต่ก็เป็นปฐมเทพอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในเขตผาเก่า
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาของบุรุษขั้นปฐมเทพผู้หนึ่งก็จับจ้องจ้าวเฟิง ในตาฉายแววไม่เป็นมิตรยิ่งนัก
“ได้ยินมาว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่เคารพปฐมเทพเทียนเสวี่ย!”
“เจ้าคนผมทองผู้นั้นล่วงเกินปฐมเทพเทียนเสวี่ยหรือ? อีกเดี๋ยวในงานประลองยุทธ์ ข้าและเขาจะได้เห็นดีกัน!”
บุรุษขั้นปฐมเทพมากมายบนเขาเบญจดาราถกเรื่องจ้าวเฟิงด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่จ้าวเฟิงล่วงเกินปฐมเทพเทียนเสวี่ยแพร่กระจายไปนานแล้ว หนำซ้ำยังถูกแต่งเติมจนเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นด้วย
ทั้งที่จริงจ้าวเฟิงเพียงแค่จ้องปฐมเทพเทียนเสวี่ยแล้วส่ายหน้าเท่านั้น
“ปฐมเทพเทียนเสวี่ย มีคนล่วงเกินเจ้าหรือ?”
ชายหนุ่มท่วงท่าองอาจเอ่ยถามอย่างห่วงใย เขาสวมชุดม่วง เปล่งแสงสีเดียวกันทั่วร่าง
บนรายชื่อผู้ถูกเลือกของเขตผาเก่า ถึงแม้ปฐมเทพเทียนเสวี่ยจะอยู่ในลำดับที่เจ็ด แต่ความงามของนางเป็นที่หนึ่งในเขต
ยี่สิบลำดับแรกในรายชื่อปฐมเทพของเขตผาเก่า ขอแค่เป็นบุรุษ ไม่มีชายคนใดที่จะไม่หวังในตัวปฐมเทพเทียนเสวี่ย
เขาปฐมเทพจื่อเฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
“มิได้!” ปฐมเทพเทียนเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ที่จริงแล้วจ้าวเฟิงก็มิได้ล่วงเกินนาง
เพียงแต่ตอนนั้นจ้าวเฟิงมองนางแล้วส่ายหน้าเท่านั้น ทำให้ปฐมเทพเทียนเสวี่ยตื่นตะลึง จึงต่อต้านโดยสัญชาตญาณ
“คงเป็นเจ้าหนุ่มผู้นี้กระมัง!”
แววตาของปฐมเทพจื่อเฟิงหยุดลงบนร่างจ้าวเฟิง มุมปากยกขึ้นอย่างเหยียดหยาม
“เดี๋ยวพวกเจ้าไปต่อสู้กับคนผู้นั้น ทำให้เขาขายหน้าไปเลย!”
ปฐมเทพจื่อเฟิงลอบบอกปฐมเทพส่วนหนึ่งด้านหลังเขา
ในฐานะที่เป็นผู้จัดงานประลองยุทธ์ครั้งนี้ และยังเป็นผู้ถูกเลือกห้าลำดับแรกในรายชื่อปฐมเทพ ปฐมเทพจื่อเฟิงย่อมไม่อาจต่อสู้กับจ้าวเฟิงได้
“นั่นคือ?”
จู่ๆ แววตาหานหนิงเอ๋อร์ก็หยุดลงที่กลุ่มคนยอดเขาฝั่งตรงข้าม
คนเหล่านี้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเทพแท้จริง โดยผู้นำคนหนึ่งในนั้นก็คือเทพแท้จริงจ้งถู่
‘ที่จ้าวเฟิงพูดเป็นเรื่องจริง!’ แววตาหานหนิงเอ๋อร์อ่อนแสงลงไปทันที
ส่วนข้างกายเขาก็คือศิษย์พี่ของหานหนิงเอ๋อร์ที่ยังงุนงงไม่รู้สึกตัว
เมื่อเข้าสู่ห้วงรัตติกาล คนรอบๆ เขาเบญจดาราก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น ปฐมเทพเทียนเสวี่ยและปฐมเทพจื่อเฟิงก็ยืนขึ้นพร้อมกัน
รอบบริเวณเกิดเสียงดังสนั่น
“ปฐมเทพเทียนเสวี่ย!”
“นั่นคือปฐมเทพจื่อเฟิง ผู้ถูกเลือกห้าลำดับแรกในรายชื่อปฐมเทพ!”
แววตาทุกคนต่างจับจ้องไปที่คนทั้งสอง
หนึ่งคือผู้ถูกเลือกชั้นยอดของเขตผาเก่า ส่วนอีกคนคือหญิงงามในใจทุกคน
หลังจากทั้งสองยืนขึ้น ก็ประกาศให้งานประลองยุทธ์ผาเก่าเริ่มต้นขึ้น
ผลัวะ! ร่างผอมเก้งก้างร่างหนึ่งข้างปฐมเทพจื่อเฟิงโดดลงบนลานประลองด้านล่างอย่างรวดเร็ว
“ข้าน้อยเถาจินแห่งตำหนักรัตติกาลม่วง มีผู้ใดยินดีให้คำชี้แนะบ้าง!”
ร่างผอมเก้งก้างมองไปรอบๆ บริเวณ
ตำหนักรัตติกาลม่วงเป็นหนึ่งในสามขั้วอำนาจห้าดาวของเขตผาเก่า ถึงแม้ชื่อเสียงของเถาจินผู้นี้จะไม่โด่งดัง แต่ในฐานะที่เป็นปฐมเทพของตำหนักรัตติกาลม่วง หนำซ้ำยังอาสาประลองเป็นคนแรก จะเป็นผู้ที่อ่อนแอได้อย่างไร
“ให้ข้าได้ทดสอบ ‘วิชาวายุมายา’ ของพี่เถาหน่อยเถอะ”
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ชายรูปร่างกำยำผิวหนังแห้งกร้านย่างเท้าขึ้นบนลานประลอง
“ได้ ข้าไม่ได้ประลองกับเจ้านานแล้ว!”
เถาจินมองชายร่างกายกำยำ จิตต่อสู้ปรากฏขึ้นในแววตา
เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสองรู้จักกันมานานแล้ว หนำซ้ำยังมีความสัมพันธ์กันในระดับหนึ่ง เคยประลองฝีมือกันบ่อยๆ
ฟิ้ว! หลังจากที่คนทั้งสองย่างเท้าขึ้นลานประลอง ค่ายกลป้องกันรอบลานก็ถูกกระตุ้นขึ้น
“สามท่าวายุมายา!” ร่างเถาจินปลดปล่อยแสงสีม่วงสุกสว่างออกมา แล้วจึงกลายร่างเป็นลมมายาสีม่วงนับไม่ถ้วนหมุนวนรอบชายร่างกำยำผู้นั้น
ฟิ้ว ตุบ! พริบตานั้น เงาสีม่วงนับร้อยในนั้นปะทะเข้าไปหาชายร่างกำยำ
“กายศักดิ์สิทธิ์โลหะกล้า!”
กายของชายร่างกำยำขยายออกจนสูงถึงสองจั้ง พลานุภาพยิ่งใหญ่สาดกระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ แต่เงาสีม่วงนับไม่ถ้วนแฝงเสวียนอ้าวธาตุลมเอาไว้ เมื่อหลอมรวมเข้าไปในฟ้าดินก็บั่นทอนแรงกดดันและพลังไปจนต่ำที่สุด
ตูม! เมื่อคนทั้งสองประมือกันอย่างดุเดือด บนลานประลองก็ถูกปกคลุมไปด้วยเงาสีม่วงและหมัดสีเหลืองเข้ม
ปราการค่ายกลบนลานประลองต้านทานพลานุภาพของการโจมตีเอาไว้ทั้งหมด
“ทั้งสองคนนี้แข็งแกร่งนัก!”
“นั่นเพราะตัวพวกเขาเป็นถึงปฐมเทพอัจฉริยะในขั้วอำนาจใหญ่!”
คนที่มุงดูจำนวนมากวิจารณ์กันขรม
เถาจินคืออัจฉริยะของขั้วอำนาจห้าดาว ส่วนชายหนุ่มอีกคนก็เป็นสมาชิกของขั้วอำนาจสี่ดาวระดับสุดยอด พลังของคนทั้งสองล้วนแข็งแกร่งยิ่ง
“วายุมายาเชื่อมฟ้า!”
เหมือนว่าเถาจินจะกลายร่างเป็นเงาขนาดยักษ์ หอบเอาพลังวายุที่น่ากลัวกระแทกชายร่างยักษ์กระเด็นไปที่ขอบเวทีประลอง
“เจ้าอ่อนฝีมือให้แล้ว!”
หลังจากเถาจินได้ชัยแล้วก็เดินออกจากลานประลองไปทันที
งานประลองยุทธ์มีกติกาว่าจะเอาชนะติดต่อกันสองครั้งไม่ได้
หลังจากการประลองแรกของงานประลองยุทธ์ผาเก่าเริ่มขึ้น ปฐมเทพอัจฉริยะจำนวนมากต่างกระตือรือร้นอยากจะอวดฝีมือของตนบนลานแห่งนี้
พรึ่บ! แสงสายฟ้าเส้นหนึ่งพาดผ่านไป พลันปรากฏร่างชายชุดขาวบนลานประลอง
“นั่นมันปฐมเทพเหลยหมิง (อัสนีบาต)!”
ขั้วอำนาจที่หนุนหลังปฐมเทพเหลยหมิงไม่แข็งแกร่งเท่าสองคนที่สู้กันเมื่อครู่ แต่ในขั้วอำนาจสี่ดาวครึ่งที่ปฐมเทพเหลยหมิงสังกัดอยู่ เขาเป็นลำดับแรกและมีชื่อเสียงไม่น้อย
“เจ้า ขึ้นมาสิ!” แววตาปฐมเทพเหลยหมิงจ้องจ้าวเฟิง
“ข้า?” จ้าวเฟิงชะงักงัน ไม่คิดว่าตนเองจะต้องประลองเร็วขนาดนี้
“สหายจ้าว ได้เวลาเจ้าแสดงฝีมือแล้ว!”
ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงยิ้ม เขาเองก็อยากจะเห็นพลังของจ้าวเฟิงในวันนี้ว่าจะไปแตะระดับไหนแล้ว
“ฮ่า เจ้าหนุ่มนี้ไปยั่วโทสะปฐมเทพเทียนเสวี่ย คนที่อยากจะท้าประลองกับเขาน่าจะมีเยอะจนนับไม่ถ้วนทีเดียว!”
“เล่ามาหน่อย เจ้าเด็กขนทองนี่เป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน!”
รอบๆ บริเวณครึกครื้นขึ้นมาทันใด ทุกคนต่างจดจ่อเฝ้ารอดูการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นนี้