บทที่ 124 : ขั้นหลอมรวม
การจุดไฟสำเร็จ!
เข้าสู่ขั้นตอนควบคุมเปลวไฟ…
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงนั้นรู้สึกกังวลและตื่นเต้นอย่างมาก แต่ด้วยดวงตาซ้ายของเขา เด็กหนุ่มจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว
ดวงตาซ้ายได้ให้ความแม่นยำ ความถูกต้อง และการควบคุมแก่เขา ดังนั้นแล้ว ภายใต้ความซับซ้อนของการควบคุมเปลวเพลิง จ้าวเฟิงจึงแทบจะไม่กระทำสิ่งใดผิดพลาดเว้นเสียแต่เขาจะตีความบางอย่างผิดพลาด
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง สามชั่วโมง…
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวเฟิงปรุงยา ทว่ามันเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุด ยาที่เขาสร้างก่อนหน้าที่ตำหนักหญ้าไพรนั้นล้วนแล้วแต่เป็นยาระดับต่ำและมีประโยชน์เพียงแค่ในโลกมนุษย์ แต่ไร้ประโยชน์ที่นี่ ยาชำระไขกระดูกที่เขากำลังปรุงในตอนนี้นั้นเกือบจะเป็นยาระดับจิตวิญญาณ และเป็นยาที่ซับซ้อนที่สุดที่เขาเคยปรุงมา
3-4 ชั่วโมงต่อมา ขั้นตอนการควบคุมไฟจึงเข้าสู่จุดสิ้นสุด
หยาดเหงื่อปรากฏขึ้นบนศีรษะของจ้าวเฟิง เวลาที่เขาต้องใช้ในการทำยาครั้งนี้มากกว่าครั้งอื่นนัก ทุกคนควรรู้ว่าเขาสามารถปรุงยาได้เพียงแค่ประมาณ 4 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย
กระทั่งเพียง 5 ชั่วโมงต่อมา ขั้นตอนนี้จึงสิ้นสุด
ร่างของเด็กหนุ่มทรุดลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงก่อนจะรวบรวมพลังภายในเฮือกสุดท้ายของเขาในการดีดนิ้วเบาๆ
เป๊าะ!
เตาหลอมเปิดออกก่อนจะปรากฏเม็ดยา 4-5 เม็ดขนาดเท่านิ้วออกมา
จ้าวเฟิงยื่นมืออกไปรวบยาชำระไขกระดูกทั้งห้า จำนวนของยาที่สร้างขึ้นในแต่ล่ะครั้งขึ้นอยู่กับจำนวนวัตถุดิบที่ใส่ลงไป จำนวนวัตถุดิบที่จ้าวเฟิงใส่ลงไปนั้นเพียงพอในการสร้างยาขึ้นเพียง 5 เม็ดเท่านั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คืออัตราสำเร็จ
“หนึ่งยอดเยี่ยม หนึ่งธรรมดา หนึ่งใช้ไม่ได้ อีกสองเทียบเท่ามาตรฐาน”
จ้าวเฟิงกวาดตามองยาและพลันคำนวณอัตราสำเร็จในทันที
อัตราสำเร็จ 40%
ความจริงนั้น ผลลัพธ์นี้ทำให้เขาผิดหวัง ทุกคนควรรู้ว่ายามที่เขาลองคราก่อน เขามักจะมีอัตราสำเร็จที่ 80% หรือมากกว่านั้น โดยที่ส่วนมากอยู่ที่ 100%
เด็กหนุ่มรู้อย่างชัดเจนว่าอัตราสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ปรุงเช่นเดียวกับระดับของยา
หากคนเช่นผู้เฒ่ากวนทำ อัตราสำเร็จของชายชราย่อมอยู่ที่ 100% เพราะระดับของยาชำระไขกระดูกนั้นต่ำเกินไปสำหรับเขา ในเวลาเดียวกัน ยาชำระไขกระดูกนั้นยากเกินไปสำหรับจ้าวเฟิงที่มีพลังฝึกตนที่ขั้นเก้าแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมเท่านั้น
โดยปกติแล้ว คนผู้หนึ่งจำต้องอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณในการสร้างยาครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ทว่าเป็นเพราะเด็กหนุ่มมีพลังภายในที่มากกว่าผู้อื่นด้วยเคล็ดลมหายใจหวน รวมทั้งสามารถประหยัดพลังที่ใช้ด้วยความแม่นยำ เขาจึงสามารถทำลาย ‘ความปกติ’ นี่ได้
เพียงแค่สิ่งนี้อย่างเดียวย่อมทำให้ผู้ปรุงยาคนอื่นในตำหนักหญ้าไพรต้องถอดถอนใจแล้ว
“ยาชำระไขกระดูกสองเม็ดมีค่าเท่ากับ 10 ผลึกเริ่มต้นจำลอง!” ดวงตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกายวูบ
แม้ว่าอัตราสำเร็จของเขาจะไม่สูง เขาก็ยังได้รับกำไรอย่างมากเพราะว่าวัตถุดิบนั้นมีค่าเพียงแค่ 4 ผลึกเริ่มต้นจำลอง และวัตถุดิบที่เหลือสามารถใช้ในการสร้างยาสลายจันทร์หวนได้
จ้าวเฟิงไม่ได้เริ่มอีกครั้งในทันทีเพราะเขาคิดว่าอัตราสำเร็จของเขาต่ำเกินไป และเขาไม่ได้เชี่ยวชาญหรือมีประสบการณ์เพียงพอ
ในวันเดียวกัน เขานำตำรายาสวรรค์ออกมาและคัดลอกรายละเอียดของมันลงในสมองโดยไร้ซึ่งคำพูดก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจ…
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงได้เพ่งความสนใจไปยังจุดสำคัญ เคล็ดลับและวิธีการต่างๆ เป็นพิเศษ หลังจากอ่านมันไปรอบหนึ่ง เด็กหนุ่มพลันมีความรู้มากขึ้นในทันที
เขาถอนหายใจออกอย่างช่วยไม่ได้ หากเขาอ่านมันก่อน มันย่อมมีอัตราสำเร็จสูงขึ้น
กระทั่งยามดึกจ้าวเฟิงจึงวางตำรายาสวรรค์ลง
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะไปยังตำหนักภารกิจสำนักและเรียนรู้เรื่องค่ายกลกับผู้เฒ่าจาง แต่ก่อนหน้านั้น จ้าวเฟิงได้ปิดเปลือกตาลงและภาพของมัจฉามายาในบททดสอบที่สามที่ถูกลืมเลือนมาเป็นเวลานานได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านั้น เด็กหนุ่มไม่ได้มีความเข้าใจในรูปมัจฉามายานี่มากนัก
มันเป็นเพราะเขาเพ่งความสนใจไปยังกระบวนท่าวายุทั้งสี่ และแม้ว่าภาพมัจฉามายาจะดูล้ำลึก มันก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับค่ายกล ไม่ใช่วิชาต่อสู้
จ้าวเฟิงรับรู้ว่าภาพมัจฉามายานั้นไม่ได้เรียบง่ายเช่นที่เขาคิด และเช่นที่เขาคาด ภาพนี้มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับค่ายกล
เขาพบว่าการเปลี่ยนแปลงในภาพนั้นดูราวกับมีกฎเกณฑ์บางอย่างจากสวรรค์
สีของมัจฉา เกลียวคลื่นของมหาสมุทร ประกายแสงจากดวงอาทิตย์ที่แปรเปลี่ยน
การเปลี่ยนแปลงในภาพนั้นให้ความรู้สึกผู้อื่นว่าทุกสิ่งล้วนลวง และคนผู้นั้นกำลังถูกหลอกอยู่ตลอดเวลา
จ้าวเฟิงสามารถนับจำนวนและสีของปลาได้เพราะดวงตาซ้ายของเขา ดวงตาซ้ายของเขานั้นราวกับเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการ ‘มองทะลุ’ ภาพลวงตา และภายใต้ความแม่นยำนี้ เด็กหนุ่มจึงสามารถไปถึงลักษณ์ที่เจ็ดได้ แต่การนับจำนวนรูปนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาเข้าใจว่าเหตุใดมันจึงเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น มันเพียงแค่บอกว่าเขานั้นไม่ถูกหลอก
“เปลี่ยนแปลง ลวง จริง มายา…”
จ้าวเฟิงดูราวกับเข้าใจบางอย่างจากภาพมัจฉามายา เด็กหนุ่มเข้าใจสองลักษณ์แรกของภาพมัจฉามายาในคืนนั้น
เขาตระหนักว่าความรู้ที่ได้รับจากภาพมัจฉามายานั้นสามารถใช้ในการต่อสู้ได้และมันจะทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงซึ่งทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกราวกับว่าการเคลื่อนไหวของเขานั้นล้วนเป็น ‘มายา’
“น่าสะพรึงนัก!”
จ้าวเฟิงทดลองและรู้สึกว่าดรรชนีดารากับย่างก้าวหมอกผันแปรของเขานั้นราวกับมีชีวิตและไม่ใช่การเคลื่อนไหวทื่อๆ อีกต่อไป
ดรรชนีดาราและย่างก้าวหมอกผันแปรของเขานั้นต่างเต็มไปด้วยความคล่องแคล่วและเหนือกว่าขั้นสุดยอด เข้าสู่ขั้นหลอมรวม
ขั้นหลอมรวมนั้นหมายความว่าวิชานั้นเริ่มที่จะเหนือกว่าวิชาแต่ดั้งเดิมของมันและกลายเป็น ‘วิชาใหม่’
จ้าวเฟิงลุกขึ้นในเช้าวันที่สองและรายงานไปยังตำหนักภารกิจสำนัก
ตำหนักภารกิจสำนักนั้นเป็นสถานที่ที่ซับซ้อนที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องค่ายกลและสิ่งอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ณ ตำหนักภารกิจสำนัก จ้าวเฟิงเห็นบุคคลที่คุ้นเคย เซี่ยวซุน ที่มาจากตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิเมฆา
เมื่อเซี่ยวซุนเข้ามายังสำนัก เขานั้นได้อยู่ที่ขั้นเก้าของขอบเขตแห่งการรวบรวมแล้ว และครึ่งเดือนต่อมาก็ได้อยู่ที่ขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
จ้าวเฟิงเข้าใจว่าอีกฝ่ายนั้นมาจากตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิซึ่งมีความสัมพันธ์กับสำนักอยู่บ้าง ทั้งพรสวรรค์ของเขายังยอดเยี่ยมเสียอีก
“ศิษย์น้องจ้าวดูเหมือนจะมีชีวิตที่ดี ได้อยู่กับองค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงและรองหัวหน้าตำหนักกวน เจ้าทำให้ข้าอิจฉาแล้ว!”
เซี่ยวซุนเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน ทว่าน้ำเสียงกลับบูดบึ้ง
จ้าวเฟิงจับความรู้สึกอิจฉาและไม่พอใจในดวงตาของอีกฝ่ายได้ เมื่อพวกเขาเพิ่งจะเข้าร่วมสำนัก อีกฝ่ายนั้นค่อนข้างสนิทกับอวิ๋นเมิงเซียง
พวกเขาเป็นคู่ที่ดี หนึ่งมาจากตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิ ในขณะที่อีกหนึ่งเป็นองค์หญิงของจักรวรรดิ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป จ้าวเฟิงได้สร้างอำนาจของเขาและกลายเป็นว่าที่ศิษย์สายใน ทั้งผู้เฒ่ากวนยังดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับเด็กหนุ่มอย่างมากอีกด้วย
นอกจากนั้น อวิ๋นเมิงเซียงยังเริ่มเข้าใกล้จ้าวเฟิง ความสนิทของทั้งสองนั้นเหนือกว่าความสัมพันธ์ของเด็กสาวกับเซี่ยวซุน
“ไม่ว่าข้าจะมีชีวิตที่นี่ดีอย่างไร มันย่อมไม่ดีเทียบเท่าศิษย์พี่เซี่ยวซุนที่ข้าคาดว่าจะกลายเป็นศิษย์สายในในไม่ช้า” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างถ่อมตน ครึ่งหลังของประโยคเขานั้นเต็มไปด้วยคำถามเสียมากกว่า
คำพูดของเด็กหนุ่มตีไปยังจุดอ่อนของเซี่ยวซุน อีกฝ่ายแสดงท่าทีเย่อหยิ่งอย่างช่วยไม่ได้
“ฮะฮะ ขอบใจสำหรับความหวังดี แต่ก่อนที่ข้าจะกลายเป็นศิษย์สายใน ข้าก็หวังว่าจะได้ประลองกับว่าที่ศิษย์สายในสักหน่อย ในฐานะของอันดับที่สิบสาม ศิษย์น้องจ้าว ข้าอยากจะประลองกับเจ้า” เซี่ยวซุนหัวเราะเล็กๆ ก่อนจะจากไป
ท้าประลองข้า?
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะและไม่นำมาใส่ใจ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเซี่ยวซุนได้กลายเป็นว่าที่ศิษย์สายในเมื่อไม่กี่วันก่อนและครองอันดับที่สิบหกก็ตาม
หลังจากเข้าสู้ขั้นเก้าของขอบเขตแห่งการรวบรวมและวิชากำแพงเงินเข้าสู่ระดับเก้า ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และด้วยความช่วยเหลือของภาพมัจฉามายา จ้าวเฟิงนั้นได้ก้าวเข้าสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับเมื่อสิบวันก่อน
หลังจากเข้าไปในส่วนสำคัญของตำหนักภารกิจสำนัก จ้าวเฟิงก็พบกับผู้เฒ่าจางอีกครั้ง
“ผู้เยาว์จ้าวเฟิงคารวะท่านรองหัวหน้าตำหนัก” จ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะเสียมารยาทต่อหน้าอีกฝ่าย
ทั้งผู้เฒ่ากวนและผู้เฒ่าจางล้วนมีฐานะอำนาจสูงกว่าเขา
“มีตำราอยู่นี่นิดหน่อย ‘ค่ายกลเบื้องต้น’ ‘ค่ายกล 49 แบบสำหรับผู้เริ่มต้น’ ‘12วิธีสร้างค่ายกล’…”
ผู้เฒ่าจางโบกมือก่อนที่ตำราราว 7-8 เล่มจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิง
เมื่อเด็กหนุ่มรับตำราเหล่านั้นไปแล้ว ชายชราจึงแย้มยิ้ม
“เจ้าสามารถจำพวกมันได้ในตอนนี้”
จ้าวเฟิงชะงักไป ตอนนี้?
ทว่านี่ไม่อาจทำให้เขาสับสนได้ เพียงแค่เวลาชั่วระยะน้ำเดือด เขาก็ได้จดจำรายละเอียดทั้งหมดของหนังสือทั้งหมดได้
“จดจำทุกสิ่งที่เห็น ไม่แปลกใจเลย!”
ผู้เฒ่าจางไม่ประหลาดใจ
เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าสามารถจดจำได้ทุกอย่างที่เห็น? หรือเป็นผู้เฒ่ากวนที่บอกอีกเขา?
ภายใต้สายตางุนงงของจ้าวเฟิง ชายชราก็หัวเราะออกมา
“ข้าได้ค้นพบว่าเจ้าสามารถจดจำทุกสิ่งที่เห็นได้ตั้งแต่คราแรกที่เราพบกัน ความเปลี่ยนแปลงในภาพมัจฉามายานั้นซับซ้อนยิ่งนัก และเมื่อปลาที่มีสีแตกต่างกันขยับ คนผู้หนึ่งจำต้องมีความจำที่ยอดเยี่ยม หรือไม่เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่อาจเอ่ยคำตอบที่ถูกต้องได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็อดถอดถอนใจด้วยชื่นชมไม่ได้
“ไม่มีสิ่งใดแปลกเกี่ยวกับมัน เจ้าไม่ใช่เพียงผู้เดียวที่สามารถจดจำทุกสิ่งที่เห็นได้” รองหัวหน้าตำหนักเอ่ย
“หรือว่าท่านเองก็…?”
จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กๆ เขาประหลาดใจอย่างมาก
“ถูกแล้ว ข้าเองก็เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์นี้ เมื่ออ่านสิ่งใด ข้าลำบากเพียงอ่านมันสองหรือสามครั้งก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด ทว่าเมื่อเทียบกับพรสวรรค์ของเจ้าแล้วมันห่างไกลนัก”
ผู้เฒ่าจางนั้นมีท่าทีเย่อหยิ่งในคราแรก ทว่ากลับส่ายศีรษะอย่างขมขื่นในตอนหลัง
มีอัจฉริยะหลายคนที่สามารถจดจำทุกสิ่งที่พวกเขาเห็นได้ แต่ไม่มีผู้ใดเทียบเท่าได้กับจ้าวเฟิง
ในวันเดียวกันนั้น รองหัวหน้าตำหนักกวนทำเพียงบอกถึงทฤษฎีพื้นฐานและทิศทางของค่ายกลให้เด็กหนุ่ม
จ้าวเฟิงนั้นรู้สึกว่าค่ายกลนั้นกระทั่งซับซ้อนกว่าการปรุงยา
ก่อนที่เขาจะจากไป ผู้เฒ่าจางได้เอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ระบายไปทั่วใบหน้า
“หากเจ้าสามารถเข้าใจตำราทั้งเจ็ดที่ข้าเพิ่งให้ไปได้ ข้าจะให้เจ้าใช้ค่ายกลกลั่นจิตวิญญาณในบ่อพันบุปผา มันช่วยในการเสริมสร้างร่างกายได้เป็นอย่างดี…”