Skip to content

King of Gods 1242

King Of Gods

บทที่ 1242 เขย่าขวัญ

“เจ้าหนุ่ม เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เผิงจัวมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตะโกนเสียงดัง กลิ่นอายโหดเหี้ยมที่ไร้รูปร่างแผ่ออกมา

คนมาใหม่ก็คือคนมาใหม่ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ มีแต่ต้องใช้อุบายให้อีกฝ่ายยอมแพ้

“หูเจ้ามีปัญหาหรือไร ถึงไม่ได้ยินที่ข้าพูดเมื่อครู่?”

จู่ๆ จ้าวเฟิงก็หมุนกายมาถามอย่างแปลกใจ

ทันทีที่เอ่ยออกมาเช่นนี้ ศิษย์รับใช้รอบบริเวณต่างหัวเราะเยาะโดยพลัน ลอบอุทานว่าจ้าวเฟิงนี่ช่างไม่รู้จักกลัวตาย

เผิงจัวเป็นหนึ่งในศิษย์รับใช้ที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่โอสถวิญญาณ พลังฝึกตนอยู่ถึงเทวาเร้นลับชั้นสูง

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

เผิงจัวโกรธจนยากจะสงบลง เขาโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เทวาเร้นลับ พุ่งเข้าใส่จ้าวเฟิงพร้อมแรงกดดันชวนพรั่นพรึง มองดูแล้วเหมือนร่างยักษ์ของเผิงจัวจะพุ่งชนจ้าวเฟิงให้กระเด็นออกไป ทุกคนเหมือนได้ยินเสียงร้องของจ้าวเฟิงกับท่าทางเจ็บปวดทุกข์ทรมานของเขาแล้ว แต่ในตอนที่เผิงจัวพุ่งปะทะจ้าวเฟิงกลับหยุดลงอย่างน่าฉงน พลังสูญหายไปจนหมด

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมเผิงจัวไม่ลงมือแล้วล่ะ?”

ศิษย์รับใช้แถวนั้นต่างร้องอย่างแปลกใจ

แต่มีเพียงเผิงจัวเท่านั้นที่รู้ เขาไม่ได้ไม่ลงมือ แต่ลงมือไม่ได้ต่างหาก

เมื่อประจันหน้ากับจ้าวเฟิง เลือดและพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาแข็งค้าง ไม่สามารถโคจรได้ กระทั่งวิญญาณก็ถูกกักขัง ทำอะไรไม่ได้ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ จ้าวเฟิงผู้อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่จ้องเขาเงียบๆ มุมปากยกขึ้นอมยิ้มน้อยๆ

‘เป็นไปได้อย่างไร คนผู้นี้มีขอบเขตพลังอะไรกันแน่?’

เผิงจัวโอดครวญในใจ

จู่ๆ เขาก็พบว่าหากไม่ได้รับการอนุญาตจากจ้าวเฟิง แม้แต่จะส่งเสียงเขายังทำไม่ได้ เผิงจัวหวาดกลัวมากขึ้น ยามมองจ้าวเฟิง ดวงตาสองข้างสั่นไหวไม่หยุด

“เจ้าทำภารกิจแทนข้า คราวนี้ได้ยินชัดแล้วกระมัง!”

จ้าวเฟิงเอ่ยช้าๆ ก่อนจะหมุนกายเดินเข้าไปในเรือนไม้ด้านหลัง

เมื่อจ้าวเฟิงเดินจากไปแล้ว เผิงจัวขาอ่อนทรุดลงกับพื้น ดุจยกภูเขาออกจากอก

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? เผิงจัวไม่ได้ลงมือ!”

“พลังของเจ้าคนมาใหม่เหมือนจะแข็งแกร่งมากเลย”

ศิษย์รับใช้บางส่วนตื่นตะลึง ไยเผิงจัวจึงไม่ลงมือ แต่คนบางส่วนที่ตาแหลมจะมองเห็นความไม่ธรรมดาของจ้าวเฟิง จากนี้ต้องระแวดระวัง อย่าทำผิดต่อเขาเด็ดขาด

ถึงศิษย์รับใช้จะทำผลงานดีเท่าไหร่ ก็ยังต้องการเวลาช่วงหนึ่งถึงจะเป็นศิษย์นอกเผ่าได้ ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงจะรีบร้อนมากไม่ได้ หลังจากที่เขากลับถึงห้องแล้วก็เริ่มฝึกฝน

จ้าวเฟิงเริ่มฝึก ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ตามความเคยชิน

จากนั้นเขาจึงเริ่มศึกษาวิชาดวงตาประเภทมิติอย่าง ‘เนตรกั้นเวหา’ และ ‘มิติพันธนาการ’

ถึงแม้จ้าวเฟิงจะเริ่มศึกษา ‘เนตรกั้นเวหา’ มานานแล้ว แต่ไม่เคยเอาวิชานี้มาเป็นจุดสำคัญ ดังนั้นจึงไม่อาจสำแดงอานุภาพของวิชาดวงตานี้ได้ทั้งหมด

ส่วน ‘มิติพันธนาการ’ เป็นวิชาดวงตาขั้นเทพระดับสูง จ้าวเฟิงยังไม่เริ่มฝึก

ขณะที่บรรลุวิชาดวงตาทั้งสอง จ้าวเฟิงยังทำความเข้าใจเสวียนอ้าวมิติเวลาด้วย

เสวียนอ้าวมิติของจ้าวเฟิงถึงขั้นที่สี่นานแล้ว แต่เสวียนอ้าวเวลาที่ระดับสูงกว่ายังอยู่ในขั้นที่หนึ่ง ยังห่างไกลจากขั้นที่สองอยู่พอควร

หนึ่งเดือนต่อมา จ้าวเฟิงจึงออกจากเรือน

“เอ่อ…ข้าทำตามที่เจ้าบอกแล้ว บำรุงรักษาที่ดินผืนนี้อย่างดี!”

เผิงจัวรีบทะยานไปด้านหน้าจ้าวเฟิง ก่อนจะรายงานด้วยความยำเกรง ศิษย์รับใช้คนอื่นๆ แถวนั้นมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึง พวกเขาก็คาดคิดไม่ถึง เผิงจัวกลับทำตามคำสั่งของจ้าวเฟิง ดูแลแปลงโอสถอย่างตั้งอกตั้งใจจริงๆ และตอนจ้าวเฟิงออกจากเรือนมา เผิงจัวยังกุลีกุจอไปรายงานด้วยท่าทางเหมือนเด็กน้อย

“ทำได้ดี!” จ้าวเฟิงพูดสั้นๆ จากนั้นผละออกไป

ทุกเดือนศิษย์รับใช้จะต้องรายงานภารกิจกับเบื้องบน จากนั้นรับผลตอบแทนมาตามความสำเร็จของภารกิจ

“อืม ไม่เลว!”

ผู้คุมกฎหลิวแห่งตำหนักผลึกวารีมอบของตอบแทนส่วนหนึ่งให้จ้าวเฟิง

เขารู้ทุกเรื่องในแปลงโอสถอย่างละเอียด

ครั้งนี้ผู้คุมกฎหลิวประเมินจ้าวเฟิงเล็กน้อย

แต่เมื่อสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผู้คุมกฎหลิวพบว่าตนเองอ่านจ้าวเฟิงไม่ขาดเลย

“ผู้คุมกฎหลิว ข้าอยากจะรับงานเพิ่มอีก!” จ้าวเฟิงระบายยิ้มเอ่ย

จากนั้นเขารับงานจากผู้คุมกฎหลิวมาสี่งาน เมื่อกลับมาที่แปลงโอสถวิญญาณแล้ว จ้าวเฟิงจึงมอบของตอบแทนที่ได้เมื่อครู่ให้กับเผิงจัว ในนั้นมีเพียงผลึกเริ่มต้นและทรัพยากรฝึกตนที่มีประโยชน์ต่อขอบเขตเทวาเร้นลับ สำหรับจ้าวเฟิงมันเป็นแค่ขยะเท่านั้น เอาไปเก็บไว้ในมิติเก็บของก็เกะกะลูกตา ต่อมา จ้าวเฟิงก็ไปยังพื้นที่ที่ต้องทำภารกิจอีกสี่แห่ง

จ้าวเฟิงหันซ้ายหัวขวา หาศิษย์รับใช้ผู้หนึ่ง แล้วจึงข่มขวัญเล็กน้อยให้อีกฝ่ายยอมศิโรราบแก่เขา และยินยอมทำงานให้

หลังจากทำทุกเรื่องเรียบร้อย จ้าวเฟิงจึงกลับไปยังที่พักของตนเองและเริ่มฝึกตน

สิ่งที่จ้าวเฟิงไม่รู้ก็คือ การกระทำของเขาทำให้ศิษย์รับใช้ในพื้นที่แถวแปลงโอสถวิญญาณเกิดไม่พอใจขึ้นมา ในมุมอับ ศิษย์รับใช้ในพื้นที่เหล่านี้รวมตัวกัน เตรียมจะร่วมมือจัดการจ้าวเฟิง

ในสายตาพวกเขา จ้าวเฟิงเป็นแค่ศิษย์รับใช้ที่เพิ่งมาใหม่ แต่การพฤติกรรมช่างวางอำนาจบาตรใหญ่เหลือเกิน

ตอนที่กำลังหารือกันลับๆ ด้านนอกมีเสียงร้องแตกตื่นดังลอดเข้ามา “ชือเหวยหนานกลับมาแล้ว!”

ไม่นานนัก ชายแววตาเย็นชา สีหน้าองอาจ ร่างกายกำยำก็เดินเข้ามา ศิษย์รับใช้ในที่ประชุมลับมีสีหน้าอึ้งตะลึง หยุดการหารือทันที

ชือเหวยหนานผู้นี้คือศิษย์รับใช้คนแรกในพื้นที่หุบเขาแม่น้ำเหมันต์ มีพลังฝึกตนแตะขั้นครึ่งเทพ

ว่ากันว่าเขามาเป็นศิษย์รับใช้ของเผ่าพันธุ์วิญญาณเพราะอยากกลายเป็นศิษย์นอกเผ่าโดยอาศัยผลงานของตน

ช่วงก่อนเขาติดตามศิษย์นอกเผ่าผู้หนึ่งออกไปทำภารกิจ เพิ่งจะกลับมาเอาวันนี้ เชื่อได้ว่าอีกไม่นานเท่าไหร่เขาจะหลุดพ้นจากรายชื่อศิษย์รับใช้ กลายเป็นศิษย์นอกเผ่าของเผ่าพันธุ์วิญญาณ

“พี่ใหญ่ชือ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ช่วงนี้มีศิษย์รับใช้คนหนึ่งเพิ่งมาใหม่ แต่มุทะลุนัก…”

เผิงจัวรีบเล่าการกระทำทั้งหมดของจ้าวเฟิงแบบใส่สีตีไข่เพิ่ม

“คนผู้นี้ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา?”

ชือเหวยหนานจ้องเขม็ง อุณหภูมิรอบตัวลดลงไปหลายส่วน

เมื่อเห็นชือเหวยหนานตัดสินใจจะลงมือ ศิษย์รับใช้ทั้งหมดที่นี่ต่างฮึกเหิมขึ้นมา

ในทุกๆ วันจะมีคนคอยจับตามองเรือนที่จ้าวเฟิงอยู่ ทันทีที่จ้าวเฟิงปรากฏกาย พวกเขาจะแจ้งคนอื่นๆ ทันที แต่จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจเรื่องอื่นแม้แต่น้อย คิดแต่ว่าจะไปส่งมอบภารกิจหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป แล้วรับภารกิจใหม่มาอีก ดังนั้นในหนึ่งเดือนนี้จ้าวเฟิงจึงทุ่มเทจิตใจทั้งหมดให้กับการฝึกฝน

หนึ่งเดือนต่อมา หน้าเรือนจ้าวเฟิงมีศิษย์รับใช้หลายสิบคนรวมตัวกันอยู่

คนที่เป็นแกนนำก็คือชือเหวยหนาน ส่วนศิษย์รับใช้หลายคนที่อยู่ข้างกายเขาต่างเป็นคนโดดเด่นในหมู่ศิษย์รับใช้แถวนั้น เผิงจัวก็อยู่ในนั้นด้วย

“นี่มันหนึ่งเดือนแล้ว เจ้าหนุ่มนี่ยังไม่ออกมาอีก!”

“หรือว่าเขารู้ว่าพวกเราจะจัดการ เลยจงใจหลบอยู่ข้างใน?”

ศิษย์รับใช้ที่คอยดูอะไรสนุกๆ อยู่ด้านหลังต่างถกเถียงกัน

“จ้าวเฟิง รีบออกมาเถอะ ในทุกเดือนศิษย์รับใช้ต้องรายงานภารกิจแก่ผู้คุมกฎหลิว!”

ในเวลานี้เอง ชือเหวยหนานที่อยู่ด้านหน้าสุดพลันตะโกน

ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยพลังวิญญาณและพลานุภาพที่แกร่งกล้า ระเบิดออกมาทันที เรือนพักที่จ้าวเฟิงอยู่พลันมีเสียงระเบิดดังโครมคราม

ในเวลาเดียวกัน ประตูไม้ของเรือนเขาถูกผลักออกมาทันที

“เจ้าก็คือจ้าวเฟิง?”

แววตาเย็นชาของชือเหวยหนานจ้องจ้าวเฟิง เผยรอยยิ้มเยาะหยัน

ส่วนที่ทำให้พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ จ้าวเฟิงนิ่งสงบและเดินไปหาชือเหวยหนานทีละก้าว

ในตอนแรก ชือเหวยหนานยังไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น แต่ยิ่งจ้าวเฟิงเดินเข้าไปใกล้ สีหน้าท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อจ้าวเฟิงเดินถึงหน้าชือเหวยหนาน ทั่วร่างเขาถูกรัดรั้ง ไม่อาจขยับตัว แม้แต่จะเปล่งเสียงก็ยังทำไม่ได้

ส่วนศิษย์รับใช้จำนวนมากด้านหลังเขายืนนิ่งราวรูปสลักหิน มีเพียงแววตาที่ตื่นตะลึง

เผิงจัวทุกข์ทรมานจนไม่อาจบรรยาย เดิมทีเขาคิดว่าคนเยอะมากขนาดนี้บวกกับชือเหวยหนานคงจะรับมือจ้าวเฟิงได้ แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวเฟิง ทุกคนสูญเสียการควบคุมร่างกายของตนเอง

‘เป็นไปได้อย่างไร?’

ชือเหวยหนานตื่นตระหนกอย่างยิ่ง พยายามดิ้นรนสุดแรงเกิด แต่กลับพบว่าทั้งหมดที่เขาทำไปล้วนเปลืองแรงเปล่า

“หากมีครั้งต่อไปอีก จะสังหารเสียให้สิ้น!”

สายตาจ้าวเฟิงกวาดผ่านทุกคน เอ่ยออกมาเสียงเย็นชา ถึงแม้น้ำเสียงของประโยคสุดท้ายจะเบานัก มันกลับเหมือนแท่งน้ำแข็งที่ทิ่มแทงเข้าไปในใจคนฟัง

เดิมจ้าวเฟิงไม่อยากให้คนรู้เรื่องของเขามากนัก แต่ถ้าหากไม่สั่งสอนคนพวกนี้ให้หนัก พวกเขาอาจจะกลับมาหาเรื่องตนอีก

จ้าวเฟิงจึงจำเป็นต้องเขย่าขวัญอย่างเหี้ยมโหดสักรอบ จากนั้น จ้าวเฟิงไปจากสถานที่ดังกล่าว ตรงไปที่อยู่ของผู้คุมกฎหลิว

“จ้าวเฟิงคนนี้แข็งแกร่งเหลือเกิน!”

“พลังแข็งแกร่งขนาดนี้ เหตุใดเขาจึงมาเป็นศิษย์รับใช้ที่นี่!”

หลังจากจ้าวเฟิงจากไปแล้ว ทุกคนทรุดลงนั่งบนพื้น เอ่ยเสียงเบา

ยามจ้าวเฟิงไปถึงตำหนักของผู้คุมกฎหลิว ผู้คุมกฎยืนรอในห้องโถงเหมือนกำลังรอเขาอยู่แล้ว

“เจ้าคงจะเป็นปฐมเทพที่เก่งกาจคนหนึ่ง เหตุใดจึงมาเป็นศิษย์รับใช้ที่เผ่าพันธุ์วิญญาณ?”

ผู้คุมกฎแซ่หลิวมีสีหน้าขึงขัง

“ข้าจะเข้าไปในเผ่าพันธุ์วิญญาณ จึงทำได้เพียงมาเป็นศิษย์รับใช้!”

จ้าวเฟิงพูดอย่างตรงไปตรงมา

เขาไม่อยากล่วงเกินผู้คุมกฎหลิวคนนี้ หากเขาอยากเป็นศิษย์นอกเผ่า จะต้องพึ่งพาผู้คุมกฎหลิวให้แนะนำและผลักดันเขา

“ขอแค่เจ้ามีผลงานไม่เลว ไม่ถึงครึ่งปีก็จะกลายเป็นศิษย์นอกเผ่าได้แล้ว!”

ผู้คุมกฎหลิวผงกศีรษะเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววยโส

ปฐมเทพที่มีศักยภาพขนาดนี้มาเป็นศิษย์รับใช้ของเผ่าพันธุ์วิญญาณ เพราะต้องการก้าวหน้าและกลายเป็นศิษย์นอกเผ่าของที่นี่

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของเผ่าพันธุ์วิญญาณ ผู้คุมกฎหลิวภาคภูมิใจอย่างมาก

“ข้าอยากสอบถามผู้คุมกฎหลิวถึงคนคนหนึ่ง!”

จ้าวเฟิงพลันเอ่ย

“หืม?”

ผู้คุมกฎแซ่หลิวตกใจ ดูท่าทางแล้วนี่ต่างหากที่เป็นเป้าหมายของจ้าวเฟิง

“ข้าอยากถามถึงจ้าวหยูเฟยแห่งเผ่าพันธุ์วิญญาณ!”

จ้าวเฟิงบอกตามตรง

ผู้คุมกฎแซ่หลิวชะงักไปเล็กน้อย เหมือนนึกอะไรออก แล้วจึงหัวเราะร่วน

“เจ้าคงไม่ได้มาเป็นศิษย์รับใช้ของเผ่าพันธุ์วิญญาณเพื่อจ้าวหยูเฟยหรอกกระมัง?”

ผู้คุมกฎหลิวถามพลางยิ้ม

ในบรรดาหญิงของเผ่าพันธุ์วิญญาณ รูปโฉมและพรสวรรค์ของจ้าวหยูเฟยเป็นลำดับแรกแน่นอน นางเป็นดุจเทพธิดาในดวงใจของศิษย์นอกเผ่าและศิษย์รับใช้แทบทุกคน ผู้ที่ตามเกี้ยวพานางในเขตเทพสวรรค์มีมากมายนับไม่ถ้วน

ขณะนั้น ผู้คุมกฎหลิวคิดว่าจ้าวเฟิงเป็นผู้ที่ชื่นชมจ้าวหยูเฟย หรืออาจเป็นถึงหนึ่งในคนที่ร้องขอความรักจากนาง ถึงจะเป็นเช่นนั้น ผู้คุมกฎหลิวก็นับถือจ้าวเฟิงอยู่บ้าง ถึงกับยอมมาเป็นศิษย์รับใช้ เริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ก็เพียงเพื่อจะได้ใกล้ชิดจ้าวหยูเฟย

“ถือว่าเป็นแบบนั้นก็ได้!” จ้าวเฟิงไม่ตกลงแต่ก็ไม่ปฏิเสธ

ผู้คุมกฎหลิวยิ้มๆ แสดงท่าทีเข้าใจ

คนงามอย่างจ้าวหยูเฟย ใครจะไม่รักกันเล่า? หนำซ้ำคนอายุน้อยเช่นจ้าวเฟิงเป็นวัยที่มุทะลุที่สุด เรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งสิ้น จากนั้นผู้คุมกฎหลิวจึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับจ้าวหยูเฟยที่เขารู้มาให้จ้าวเฟิงฟัง

จ้าวเฟิงตั้งใจฟัง และเข้าใจสถานการณ์ของจ้าวหยูเฟยที่เผ่าพันธุ์วิญญาณแห่งนี้

คนทั้งสองพูดคุยกันสักพักใหญ่แล้ว จ้าวเฟิงจึงค่อยจากไป

“คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวหยูเฟยจะมีตำแหน่งสูงส่งขนาดนี้ในเผ่าพันธุ์วิญญาณ!”

จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ ที่ผ่านมาเขาประเมินสายเลือดและความล้ำค่าของเผ่าพันธุ์วิญญาณต่ำไป

คนทั้งเผ่าพันธุ์วิญญาณมีนับไม่ถ้วน แต่สมาชิกของเผ่าพันธุ์วิญญาณที่แท้จริงกลับมีน้อยนัก ประชากรเก้าส่วนของเผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นคนต่างเผ่าที่มาสวามิภักดิ์หรือขั้วอำนาจในบริเวณใกล้เคียงทั้งสิ้น

ระหว่างที่จ้าวเฟิงเตรียมเดินทางกลับที่พักของตน ดวงตาเทพเจ้าของเขาก็พลันจับกลิ่นอายสายเลือดบางอย่างได้

“กลิ่นอายสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ!”

สีหน้าจ้าวเฟิงตะลึงงัน อาศัยประสาทสัมผัสบินตรงไปหาต้นตอของกลิ่นอาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!