Skip to content

King of Gods 1251

King Of Gods

บทที่ 1251 การเจรจาของเทพโบราณ

เผ่าพันธุ์วิญญาณ ในพื้นที่ของศิษย์นอกเผ่ามีภาพเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น

หน้าประตูตำหนักธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง หนังสือท้าประลองกองพะเนิน

ผู้ท้าประลองขั้นต่ำสุดในนี้เป็นเทพแท้จริงขั้นห้า และไม่ขาดเทพแท้จริงขั้นหก ในหนังสือท้ารบเหล่านี้ กระทั่งมีคนนอกขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์วิญญาณด้วย

ในตำหนัก คิ้วของจ้าวเฟิงขมวดเล็กน้อย

หนังสือท้าประลองที่มากมายเช่นนี้ มีกระทั่งคำท้าประลองของเทพแท้จริงขั้นหกหลายคน หากจ้าวเฟิงนำไพ่ตายออกมาหมด จึงจะมีหวังต้านทานขั้นหกได้พอควร แต่ไม่มีทางเอาชนะได้เลย อีกทั้งเทพแท้จริงขั้นหกเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์หลักของขั้วอำนาจห้าดาวเผ่าพันธุ์วิญญาณ พลังไม่อาจดูแคลนได้เลย

“บุรุษที่จ้าวหยูเฟยให้ความสำคัญ จะเป็นเพียงแค่ศิษย์นอกเผ่าได้อย่างไร?”

นอกตำหนัก เสียงถากถางเสียงหนึ่งดังขึ้นอีก

“สหายหลู่เจ้าไม่รู้อะไร คนคนนี้คิดอยากเกี้ยวพาจ้าวหยูเฟยแต่ก็ไม่มีปัญญา จึงเริ่มจากเป็นศิษย์รับใช้ก่อน ไม่ง่ายเลยกว่าจะยกระดับเป็นศิษย์นอกเผ่าในยามนี้…”

คนข้างกายหัวเราะขึ้น ได้ยินเสียงนี้ จ้าวเฟิงก็รู้ทันทีว่าเขาคือจินเวย

“ฮ่าๆ น่าสนุก ชายที่จ้าวหยูเฟยชอบพอ ข้าแซ่หลู่ก็อยากจะประลองด้วยสักหน…”

ชายหนุ่มแซ่หลู่คนนั้นหัวเราะลั่น โยนหนังสือท้าประลองไว้ฉบับหนึ่ง

ศิษย์รับใช้รอบด้านตกใจเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากเผ่าพันธุ์วิญญาณและเผ่าเปลวทอง ในเขตเทพสวรรค์ยังมีขั้วอำนาจห้าดาวอีกสองแห่งคือ ‘เทวาพฤกษาสมุทร’ และ ‘พันธมิตรสะท้านภพ’

คนของทั้งสองขั้วอำนาจแทบจะฝึกฝนทั้งร่างกายและศาสตร์แพทย์

ในยามที่ผู้ฝึกกายที่แข็งแกร่งมีพลังฟื้นฟูและพลังการรักษายอดเยี่ยม ข้อได้เปรียบในการฝึกกายของเขาก็จะสำแดงได้จนถึงขีดสุด และชายหนุ่มแซ่หลู่คนนี้ก็เป็นเทพแท้จริงขั้นหกที่มาจากเทวาพฤกษาสมุทร

“ฮ่าๆ สหายหลู่ พวกเราไปกันเถอะ ที่ของศิษย์นอกเผ่านี่ไม่มีอะไรน่าดู…”

จินเวยหัวเราะชั่วร้าย

“พอดีเลย ข้าก็จะไปตักเตือนหยูเฟย…”

ชายหนุ่มแซ่หลู่คนนี้ก็เป็นผู้เกี้ยวพาจ้าวหยูเฟยเช่นกัน

ผ่านไปไม่กี่วัน ‘เทพแท้จริงซุ่ยกู่’ (กระดูกป่น) ที่มีชื่อเสียงของพันธมิตรสะท้านภพก็มายังที่นี่ โยนหนังสือท้าประลองไว้ฉบับหนึ่ง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ใจกลางของเผ่าพันธุ์วิญญาณ

“สหายจ้าวเอ๋ย เจ้าต้องรักษาตัวด้วย…” พานฮ่าวถอนหายใจติดๆ กัน

ตอนนี้เขาไม่กล้าเข้าไปในตำหนักของจ้าวเฟิงแล้ว

ทุกคนที่มาท้าประลองจ้าวเฟิง ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือขั้วอำนาจล้วนล้ำหน้าพานฮ่าวทั้งสิ้น เขาก็กลัวว่าปัญหาเหล่านี้จะมาสู่ตนด้วย

สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ผ่านไปทุกวันสองวัน นอกตำหนักของจ้าวเฟิงจะมีหนังสือท้าประลองเพิ่มมาฉบับหนึ่ง

จนแล้วจนรอด จ้าวเฟิงก็ไม่ได้ออกจากตำหนักแห่งนี้

พื้นที่ศูนย์กลางใกล้ทะเลสาบใสกระจ่างแห่งหนึ่ง ศิษย์หลักเกือบยี่สิบคนมารวมตัวกันดื่มสุราหัวเราะพูดคุย

“ฮ่าๆ ข้าจะดูซิ ครั้งนี้จ้าวเฟิงจะทำอย่างไร!”

จินเวยดื่มอย่างหนำใจหนึ่งจอก หัวเราะพูดขึ้นอย่างสบายใจ ครั้งที่แล้วถูกจ้าวเฟิงดูหมิ่น ครั้งนี้เขาจะเอาคืนทบเท่า

“วิธีนี้ของสหายจางช่างล้เลิศจริง อีกทั้งคนระดับสูงของเผ่าพันธุ์วิญญาณก็ไม่ขัดขวาง!” ศิษย์หลักอีกคนหนึ่งเอ่ยคล้อยตาม

จางอวี่ถงยิ้มพยักหน้า

ทุกคนล้วนส่งหนังสือท้าประลองด้วยฐานะผู้เกี้ยวพาจ้าวหยูเฟย วิธีนี้ไม่นับว่าเกินกว่าเหตุนัก อีกทั้งยังสามารถบีบบังคับจ้าวเฟิงได้ด้วย นี่ก็คือสิ่งที่ผู้นำระดับสูงของเผ่าพันธุ์วิญญาณหวังเอาไว้ พวกเขาจะขัดขวางได้อย่างไร

นอกจากนี้ พวกเขายังใช้ฐานะที่เป็นผู้เกี้ยวพาท้าประลอง จ้าวเฟิงจะมีหน้าปฏิเสธทั้งหมดงั้นหรือ?

หากจ้าวเฟิงปฏิเสธหนังสือท้าประลองพวกนี้ เช่นนั้นใจแห่งศาสตร์การต่อสู้ของเขาก็จะถูกสกัดกั้น สตรีอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์วิญญาณอย่างจ้าวหยูเฟยก็เสียหน้ามากเช่นกัน

“เจ้าเด็กนี่มีสิทธิ์ได้รับความสำคัญจากน้องหยูเฟยเสียที่ไหนกัน!”

ชายหนุ่มแซ่หลู่คนนั้นแค่นเสียงเย็น

“ต่อไปจะมีคนส่งหนังสือท้าประลองจ้าวเฟิงมากกว่านี้ หากไม่ใช่เพราะมันอายุน้อยเกินไป ทั้งยังเป็นปฐมเทพ แม้กระทั่งศิษย์พี่ของข้าก็ยังจะไปส่งหนังสือท้าประลองด้วย”

จินเวยยิ้มอย่างได้ใจ

“แค่เพียงปฐมเทพขั้นห้าเจ้านั่นก็ยากที่จะรับมือแล้ว นับประสาอะไรกับเทพแท้จริงขั้นหก หากกระทั่งเทพโบราณยังออกโรง เช่นนั้นก็แสดงว่าพวกเราเผ่าพันธุ์วิญญาณ ‘รังแก’ มัน ลือออกไปก็ไม่ดี…”

จางอวี่ถงพูดพลางยิ้มตาหยี

“อีกไม่กี่วันยังจะมีคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตมาอีกด้วย…”

……

ณ ที่พักอาศัยส่วนตัวของจ้าวหยูเฟย เสียงตวาดใสกังวานดังขึ้น

“พวกเขาทำแบบนี้กับพี่เฟิงได้อย่างไร?” จ้าวหยูเฟยโกรธเคืองเป็นที่สุด

“ก็จะทำอะไรได้เล่า? พวกเขาล้วนเป็นผู้เกี้ยวพาเจ้า ท้าประลองจ้าวเฟิงก็สมเหตุสมผลแล้ว!”

ข่งเตี๋ยที่อยู่ข้างๆ พูดแล้วทอดถอนใจ

ครั้งที่แล้วจ้าวเฟิงเอาชนะเว่ยเจ๋อได้ นางก็เริ่มรู้สึกว่าจ้าวเฟิงไม่เลวเลย หน้าตาหล่อเหลาโดดเด่น พลังแข็งแกร่ง ที่สำคัญคือทั้งสองต่างสนใจซึ่งกันและกัน น่าเสียดายก็แต่จ้าวเฟิงไร้ซึ่งอำนาจ ยิ่งไม่มีสายเลือดชั้นสูง สู้ศิษย์หลักพวกนั้นไม่ได้ โน้มน้าวผู้นำระดับสูงเผ่าพันธุ์วิญญาณก็ไม่ได้

“ข้าจะไปหาท่านอาจารย์!” จ้าวหยูเฟยตัดสินใจ เตรียมตัวจะจากไป

ในยามนี้เอง พลังกดดันหนักแน่นดุจขุนเขากลุ่มหนึ่งแผ่ลงมา จ้าวหยูเฟยหยุดฝีเท้าลง

“ท่านอาจารย์!”

จ้าวหยูเฟยมีสีหน้าตกใจ

“หยูเฟย ผู้นำระดับสูงของเผ่าพันธุ์วิญญาณมีมากมาย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ข้าคนเดียวจะตัดสินใจได้!” เทพโบราณฝูหลิงพูดราบเรียบ

อันที่จริงเขาก็คิดว่าจ้าวเฟิงไม่เลวเลยเช่นกัน หากจ้าวเฟิงถูกใจสตรีเผ่าพันธุ์วิญญาณคนอื่น บางทีผู้นำระดับสูงเผ่าพันธุ์วิญญาณอาจจะยอมรับได้

แต่เขากลับถูกใจจ้าวหยูเฟย!

ความเข้มข้นของสายเลือดจ้าวหยูเฟยล้ำหน้าศิษย์หลักคนสำคัญคนอื่นๆ ของเผ่าพันธุ์วิญญาณ รวมกับใบหน้างดงามหยาดเยิ้ม เป็นเทพธิดาที่คนทั้งหลายในเขตเทพสวรรค์จับจ้อง

“ข้าจะไปหาพี่เฟิง…” หยาดน้ำไหลเอ่ออยู่ในดวงตาดุจอัญมณีของจ้าวหยูเฟย

“เรื่องนี้เจ้าอย่าได้สอดมือยุ่ง นอกเสียจากเจ้าจะไปปฏิเสธเขา หรือไปบอกให้เขายอมแพ้…” เทพโบราณฝูหลิงถอนหายใจ

เขามาที่นี่ก็เพื่อที่จะหักห้ามจ้าวหยูเฟย นี่คือความเห็นเอกฉันท์ของผู้นำระดับสูงเผ่าพันธุ์วิญญาณ

……

กลางดึก เขตพื้นที่ของเผ่าพันธุ์วิญญาณยังคงเจิดจ้าดุจยามกลางวัน

“หืม? ประสาทสัมผัสเทพแข็งแกร่งยิ่งนัก!”

จ้าวเฟิงที่กำลังฝึกฝนอยู่ในชุดคลุมมิติกระโดดออกมาทันใด

ศิษย์นอกเผ่าได้รับการคุ้มครองจากเผ่าพันธุ์วิญญาณ ในยามที่ปิดด่าน ศิษย์หลักบางคนล้วนไม่กล้าใช้ประสาทสัมผัสเทพสำรวจ

แต่ดึกดื่นคืนนี้ จู่ๆ กลับมีประสาทสัมผัสเทพที่แข็งแกร่งกวาดมา จ้าวเฟิงทายฐานะของอีกฝ่ายได้แล้ว

ฟุ่บ! เงาร่างคนแก่ชราที่คลุมชุดคลุมสีดำพลันปรากฏขึ้นในตำหนักของจ้าวเฟิง

“ผู้อาวุโส!” จ้าวเฟิงลุกขึ้นทำความเคารพ

ผู้อาวุโสชุดดำเบื้องหน้า ถึงแม้จะไม่ได้กดดันอะไรจ้าวเฟิงมากนัก แต่จ้าวเฟิงก็รู้สึกว่าคนคนนี้อันตรายยิ่งกว่าเทพโบราณเฮยเทียนในตอนนั้นหลายเท่า

“ข้าพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน!”

ผู้อาวุโสชุดดำคนนี้จ้องจ้าวเฟิงด้วยแววตาเรียบเฉย สีหน้าหยิ่งทะนงเล็กน้อย

จ้าวเฟิงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรตอบ

“พลังของเจ้าแข็งแกร่งมากนัก พอๆ กับปฐมเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์วิญญาณข้า แต่ฐานะและสายเลือดของเจ้าสู้พวกเขาไม่ได้…”

ดวงตาทั้งสองของผู้อาวุโสชุดดำสงบนิ่ง พูดออกมาตรงๆ

“ข้ารู้!” สีหน้าของจ้าวเฟิงนิ่งเฉย

เห็นผู้อาวุโสชุดดำเพียงแวบแรก เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายมาที่นี่เพื่ออะไร

“ชายหนุ่มมากความสามารถที่มาเกี้ยวพาจ้าวหยูเฟยมีมากมาย ส่วนเจ้าไร้ซึ่งอำนาจวาสนา สู้พวกเขาไม่ได้เลยสักคน เจ้าปกป้องจ้าวหยูเฟยไม่ได้หรอก…”

ผู้อาวุโสชุดดำพูดต่อไป

บางคนที่มาเกี้ยวพาจ้าวหยูเฟย ศักยภาพอาจสู้จ้าวเฟิงไม่ได้ แต่พวกเขามีขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งและสายเลือดที่สูงส่ง

“หากจ้าวยอมปล่อยจ้าวหยูเฟยไป เผ่าพันธุ์วิญญาณรับปากเจ้า จะฝึกฝนเจ้าดั่งศิษย์หลักคนสำคัญ เจ้าจะชอบพอสตรีคนอื่นของเผ่าพันธุ์วิญญาณ พวกเราจะไม่ขัดขวาง…”

ชายชราพูดต่อไป

ศิษย์เผ่าพันธุ์วิญญาณมีมากมาย ส่วนศิษย์หลักก็มีเพียงเท่านั้น เห็นได้ว่าฐานะสูงส่งเพียงใด นอกจากนั้น คำพูดของผู้อาวุโสก็เป็นการบอกเป็นนัยๆ ต่อให้จ้าวเฟิงเลือกปฐมเทพลั่วอวี่ที่ด้อยกว่าจ้าวหยูเฟยนิดหน่อย เผ่าพันธุ์วิญญาณก็จะไม่ก้าวก่ายใดๆ

เงื่อนไขที่มากมายเช่นนี้ มากพอที่จะทำให้ชายหนุ่มนับไม่ถ้วนในเขตเทพสวรรค์คุ้มคลั่ง แต่สายตาของจ้าวเฟิงไม่เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

“หากหยูเฟยรับปาก ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด!” จ้าวเฟิงเผยสีหน้าดุดัน

เผชิญหน้ากับแรงจูงใจมากมายของผู้นำระดับสูงเผ่าพันธุ์วิญญาณ คิ้วเขาไม่ขมวดเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งอีกฝ่ายมาหาเขาเองถึงที่ นี่พิสูจน์ว่าจ้าวหยูเฟยก็ไม่ตกลงเช่นกัน

เขารู้ว่าความกดดันที่จ้าวหยูเฟยได้รับนั้นไม่น้อยเลย ในเมื่อนางไม่ตกลง เช่นนั้นไยเขาจึงต้องทำตาม!

“ตอนนี้ข้ากำลังถามเจ้า!” ผู้อาวุโสเสื้อคลุมดำจับจ้องสายตามาทันใด

พลังเทพโบราณมหาศาลกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ปลดปล่อยออกมา กระจายไปรอบกายจ้าวเฟิง

สีหน้าของจ้าวเฟิงตกตะลึง อีกฝ่ายเพียงแค่ปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาเล็กน้อย ก็ทำให้เขาราวกับถูกขุนเขายักษ์กดทับ ทั่วร่างไม่อาจขยับได้ ท่าทางเทพโบราณคนนี้จะแข็งแกร่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มากนัก

“เจ้าคิดให้ดีๆ ก็แล้วกัน!”

เห็นจ้าวเฟิงไม่พูดอะไร ผู้อาวุโสเสื้อคลุมดำจึงพูดทิ้งไว้ประโยคหนึ่งแล้วหายวับไปทันใด

บนชั้นเมฆไกลออกไปหลายหมื่นลี้ ประสาทสัมผัสเทพทรงพลังหลายสายเริ่มสนทนากัน

“เจ้าเด็กนั่นปฏิเสธรึ?”

“เฮ้อ แม่เด็กหยูเฟยก็ดื้อรั้นเหลือเกิน!”

“ข้าจะดูสิว่าเจ้าเด็กนี่จะจัดการกับหนังสือท้าประลองพวกนี้อย่างไร…”

เรื่องหนังสือท้าประลอง ผู้นำระดับสูงของเผ่าพันธุ์วิญญาณล้วนเห็นเป็นเอกฉันท์ คิดว่าศิษย์หลักเผ่าพันธุ์วิญญาณเหล่านี้ทำได้ไม่เลวเลย

“ผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ข้าค่อยไปเจรจากับเขาอีกครั้ง เชื่อว่าอีกไม่นานเท่าไหร่เขาจะต้องล้มลงเพราะแรงกดดันพวกนี้…”

……

เรื่องหนังสือท้าประลองก็เป็นหินก้อนใหญ่ที่กดทับอยู่ในใจของจ้าวเฟิงจริงๆ

หากเขาปฏิเสธไปทั้งหมด ปฏิเสธคนที่มาเกี้ยวพาจ้าวหยูเฟยเหล่านี้ เช่นนั้นเขาจะยังมีคุณสมบัติเคียงข้างจ้าวหยูเฟยอยู่หรือ?

“ท่าทางข้าจะต้องทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ให้เร็วที่สุด!”

จ้าวเฟิงพึมพำเสียงต่ำ

เผ่าพันธุ์วิญญาณล้วนคิดว่าอย่างมากเขาก็ทะลวงได้ตำแหน่งเทพขั้นสี่ แต่จ้าวเฟิงมีความมั่นใจว่าจะได้ตำแหน่งเทพขั้นห้าในระดับหนึ่ง หากเขาทะลวงเทพแท้จริงขั้นห้าได้สำเร็จ ต่อให้เป็นเผ่าพันธุ์วิญญาณก็ต้องให้ความสำคัญ อีกทั้งถึงตอนนั้น พลังแท้จริงของเขาก็จะเกิดการแปรสภาพ พลังวิญญาณจะยกระดับอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นเทพแท้จริงขั้นหกเขาก็อาจจะเอาชนะได้!

ความคิดเขาจมดิ่งไปในลูกทรงกลมสีทองลึกลับในมิติเนตรเทพเจ้า

ฟุ่บ! จ้าวเฟิงมาถึงยังห้วงฝันบรรพกาล

หลังจากที่นั่งขัดสมาธิลง เขาโคจร ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’

ครืน แซ่ด แซ่ด! เบื้องหน้าของเขามีผลึกเทพอัสนีเทวะสามชิ้นลอยอยู่ ลายอัสนีเทวะสีขาววาววับนับไม่ถ้วนแผ่กระจายมาจากข้างใน หุ้มล้อมจ้าวเฟิงเอาไว้ รอบกายจ้าวเฟิงกลายเป็นพื้นที่อันตรายของทัณฑ์อัสนีเทวะ

หลายวันหลังจากนั้น เผ่าพันธุ์บรรพกาลสีขาวที่รูปร่างดุจงูตัวหนึ่งมายังข้างกายจ้าวเฟิง หลังจากที่มันโยนแหวนเก็บของวงหนึ่งแล้วก็จากไปทันที

ไม่นานเท่าใดนัก ดวงตาของจ้าวเฟิงก็ลืมขึ้น ห้วงความคิดสำรวจเข้าไปข้างใน

“ไม่เลวเลย ทรัพยากรฝึกฝนพวกนี้ ต่อให้เป็นเทพโบราณก็ยากที่ต้านทานไหว!”

ดวงตาของจ้าวเฟิงฉายประกายวาววับ

ทรัพยากรฝึกฝนพวกนี้ล้วนเป็นทรัพยากรที่เขาบัญชาให้จ้าววั่นรวบรวมมาจากทั่วทุกทิศในห้วงฝันบรรพกาล เพื่อให้เขาใช้ทะลวงขั้น

ขวับ! จ้าวเฟิงหยิบเอาทรัพยากรฝึกฝนข้างในทั้งหมดออกมาทันที

คลื่นพลังมหาศาลทำให้เผ่าพันธุ์บรรพกาลรอบด้านตื่นตระหนกไปชั่วขณะ

จ้าวเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง ดูดสรรพคุณยาในของล้ำค่าพวกนี้อย่างบ้าคลั่ง และทะลวงระดับบริบูรณ์ของเคล็ดวิชาทั้งสอง

วันหนึ่ง กลิ่นอายทั่วร่างของจ้าวเฟิงพลันเพิ่มสูงขึ้น แรงกดดันแก่นแท้อัสนีที่สะเทือนฟ้าดินกลุ่มหนึ่งหอบม้วนไปทั่วทุกทิศ

ฟ้าดินเพียงสะเทือน ทั่วบริเวณร้อยลี้ก็กลายเป็นหลุมไหม้เกรียมมหึมาหลุมหนึ่ง ประกายอัสนีเทวะห้าสีข้างในลุกลามอย่างบ้าคลั่ง

“ในที่สุดเคล็ดวิชาทั้งสองก็สมบูรณ์แล้ว!”

จ้าวเฟิงลืมดวงตาสุกใสขึ้น สีหน้ากระปรี้กระเปร่า

“ถึงเวลาทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว!” จ้าวเฟิงลุกขึ้นยืน หาสถานที่หนึ่งที่เหมาะสมกับการทะลวงขั้น

ในขณะเดียวกัน ในหัวของเขาก็มีจุดสำคัญและเคล็ดลับในการทะลวงขั้นเทพมากมายลอยขึ้นมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!