บทที่ 136 : การตื่น (1)
นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นในมิติในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง แสงสว่างขนาด 9.9 ฟุตไม่ได้ขยายออกอีก แต่มันกลับหลอมรวมเข้าด้วยกัน
“อั่ก!”
จ้าวเฟิงคำรามอย่างเจ็บปวดขณะที่กอบกุมดวงตาซ้ายของเขาไว้และทรุดลงบนพื้นดัง ‘ตุบ’
ความเจ็บปวดจากดวงตาซ้ายของเขาได้มุ่งตรงไปยังวิญญาณของเขา
เพียงแค่ไม่กี่นาที ร่างของเด็กหนุ่มก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วโมง ความเจ็บปวดนั้นจึงได้เริ่มจางหายไป
จ้าวเฟิงส่งจิตของเขาลงไปในมิติในดวงตาซ้าย ก่อนจะพบแสงสีครามบริสุทธิ์แผ่กว้าง แสงนั้นไม่ได้ซีดจางอีกต่อไปและดึงดูดสายตานัก
กลุ่มแสงสีครามยังคงเปลี่ยนแปลงและดูราวกับกำลังฟูมฟักบางสิ่ง
เด็กหนุ่มคลายมือออกก่อนจะพบกับโลหิตบนฝ่ามือ เขาหยิบกระจกออกมาและพบว่าส่วนลึกในดวงตาของเขาได้กลายเป็นสีเขียวครามไป
“อย่าแปลกนักจะได้ไหม…” จ้าวเฟิงภาวนา
การเปลี่ยนแปลงของดวงตาซ้ายของเขานั้นไม่สามารถถูกควบคุมได้โดยเขา สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงโคจรปราณแท้วายุเงิน
ปราณแท้นั้นเป็นพลังที่เหนือกว่าพลังภายใน เพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ของปราณแท้ก็สามารถทำลายพลังภายในของผู้ฝึกตนในขอบเขตแห่งการกรวบรวมได้
ในขณะที่จ้าวเฟิงโคจรปราณแท้ของเขาอย่างช้าๆ เขาก็ยังได้ให้ความสนใจกับพลังภายในลมหายใจหวนในจุดตันเถียนของเขา
พลังภายในนั้นคล้ายกับกลิ่นอาย ในขณะที่ปราณแท้นั้นสามารถมองเห็นได้ ในตอนนี้ พลังภายในลมหายใจหวนในจุดตันเถียนของเด็กหนุ่มได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นปราณแท้แล้ว
เขารู้ว่าหลังจากที่ร่างกายของคนผู้หนึ่งเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว คุณสมบัติร่างกายของคนผู้นั้นจะเพิ่มสูงขึ้นและพลังภายในของพวกเขาจะกลายเป็นปราณแท้
เพื่อที่จะเพิ่มความเร็วในการเปลี่ยนแปลงนั้น จ้าวเฟิงได้หลอมรวมปราณแท้วายุเงินจำนวนเล็กน้อยลงในพลังภายในของเขา หากพลังภายในทั่วไปเจอสถานการณ์เช่นนี้ มันย่อมถูกทำลายในทันที แต่พลังภายในลมหายใจหวนนั้นหลอมรวมได้เป็นอย่างดีกับทุกสิ่ง และปริมาณของปราณแท้ได้เหนือกว่าปริมาณของพลังภายในแล้ว
ภายในจุดตันเถียนของจ้าวเฟิง พลังภายในลมหายใจหวนของเขาถูกเปลี่ยนแปลงไปสู่ระดับสูงและมีปริมาณมากขึ้น
เด็กหนุ่มใช้เวลาทั้งวัน พลังภายในของเขาจึงลดลงครึ่งหนึ่งและกลายเป็นปราณแท้
นั่นหมายความว่าตอนนี้มีพลังปราณแท้สองแบบในร่างของจ้าวเฟิง
หนึ่งมาจากวิชาเสริมกายาของเขา ปราณแท้วายุเงิน และอีกหนึ่งมาจากเคล็ดลมหายใจหวนของเขา ปราณแท้ลมหายใจหวน
จ้าวเฟิงได้เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณทั้งในด้านของร่างกายและพลังภายใน ในสถานการณ์เช่นนี้หมายความว่าเขามีปริมาณของปราณแท้เป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับผู้อื่นที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องการเคล็ดวิชาปราณใหม่แล้ว” จ้าวเฟิงคิด
มันนับว่าโชคดีแล้วที่เคล็ดลมหายใจหวนสามารถเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ทั้งที่เป็นเพียงวิชาครึ่งมนุษย์ ในขณะที่วิชากำแพงเงินนั้นเป็นวิชาเสริมกายามนุษย์ซึ่งสามารถฝึกฝนจนเข้าระดับสิบเอ็ดได้
จ้าวเฟิงประมาณว่าเขาไม่อาจเข้าสู่ระดับสิบเอ็ดได้ในระยะเวลาอันใกล้ และวิชาเก้ากำแพงทองแปรผันก็ไม่มีวี่แววเช่นกัน
เช้าวันที่สอง จ้าวเฟิงได้นำกระจกออกมาส่องและรู้สึกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น
ดวงตาซ้ายของเขาได้กลายเป็นสีครามทั้งดวงราวกับปีศาจ
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ผมที่เคยเป็นสีดำของเขาก็กลายเป็นสีครามเช่นกัน
“นี่… ข้าคงไม่ได้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปใช่หรือไม่?” จ้าวเฟิงรู้สึกเย็นวาบเมื่อคิดเช่นนั้น
เขารับได้ที่ผมของเขากลายเป็นสีคราม เพราะในโลกมนุษย์นั้น ผู้คนมีสีผมที่แตกต่างหลากหลายได้เพราะพวกเขาย้อม
แต่ที่เขากังวลนั้นคือดวงตาสีครามของเขา
เด็กหนุ่มภาวนาให้มันกลับไปเป็นสีเดิม แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเท่าใด มันก็ไม่กลับไปเป็นเช่นเดิม
ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงได้นำริบบิ้นสีดำมาพันรอบดวงตาข้างซ้ายไว้
“ดีขึ้นหน่อย…”
เด็กหนุ่มมองเงาสะท้อนในกระจก เขาดูน่ากลัวเมื่อมีดวงตาเพียงข้าง แต่เส้นผมสีครามของเขากลับดูดีมาก
หากเขาไม่นำเอาริบบิ้นสีดำออก รูปลักษณ์ของเขาถือว่าสามารถรับได้
ตึก! ตึก!
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าส่วนลึกในดวงตาของเขากระตุกและบอลสีครามในมิตินั้นดูราวกับกำลังฟักบางสิ่ง
สัญชาตญาณบอกจ้าวเฟิงว่าดวงตาซ้ายของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นและไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาจะถูกฆ่าในฐานะของสัตว์ประหลาดโดยสำนักหรือไม่
“ไม่! ข้าอยู่ที่นี่รอความตายไม่ได้ ข้าควรจะหาที่ที่เงียบสงบอยู่”
จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะออกจากสวนของเขา
เขาเดินอย่างรวดเร็วและไม่คิดจะเอ่ยพูดคุยกับผู้ใด
“เป็นกลิ่นอายที่น่าสะพรึงอันใดเช่นนี้! จ้าวเฟิงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้วหรือ?”
“ผมของเขากลายเป็นสีครามและมีผ้าปิดตาด้วย! เขาจำเป็นต้องน่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ!”
ศิษย์สายนอกใกล้ๆ สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างของเด็กหนุ่ม ความจริงนั้น ในวินาทีที่จ้าวเฟิงทะลวงขั้น ว่าที่ศิษย์สายในใกล้ๆ ก็ได้รับรู้ถึงมันแล้ว
“การเข้าถึงขอบเขตก่อกำเนิดปราณด้วยร่างกาย… เขาทำมันได้!”
โฮวหยวนออกมาเช่นกัน หัวใจของเขาสั่นสะท้านเมื่อเขาเห็นจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงในตอนนี้อาจกระทั่งสามารถจัดการผู้ฝึกตนในนภาที่หนึ่งของขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ด้วยร่างกายเปล่าๆ
ปึก! ปึก!
ร่างของจ้าวเฟิงทะยานขึ้นสู่อากาศและหายไปในหุบเขาที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาก็พบถ้ำ และเพื่อที่จะขัดขวางผู้ใดก็ตามที่อาจตามเขามา เขาได้นำริบบิ้นออกและกวาดตามองรอบด้านด้วยดวงตาซ้ายของเขาเพื่อสำรวจถึงผู้อื่น
ฟู่วว
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกและนอนลงบนพื้นเพื่อรอการเปลี่ยนแปลงของดวงตาซ้ายของเขา
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ตึก! ตึก! ตึก!
ดวงตาซ้ายของเขาเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
บอลสีครามในมิติในดวงตาซ้ายของเขาพลันกลายเป็นน้ำวนและเริ่มที่จะหมุนกลับด้าน
“อ๊ากกกกกก”
โลหิตไหลออกจากดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มพร้อมกับที่เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและดิ้นอยู่บนพื้น
โชคดีที่ไม่มีผู้ใดอยู่รอบๆ หรือไม่เช่นนั้นทั้งสำนักคงได้ยินเสียงของเขา
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงนั้นราวกับหลุมไร้จุดจบที่กำลังดูดเลือดของเขาอยู่ หากกระบวนการนี้คงอยู่ถึง 30 ลมหายใจ เขาย่อมสิ้นชีวิต แต่โชคดีที่มันคงอยู่เพียงแค่ 10 ลมหายใจเท่านั้น
ในที่สุด
การเปลี่ยนแปลงของดวงตาซ้ายได้เสถียรและในมิติสีทมิฬ แสงสีครามได้ปรากฏขึ้นและเริ่มหมุนวนอย่างช้าๆ
ยิ่งคนผู้หนึ่งเข้าใจจุดศูนย์กลางของมันเท่าใด ความรู้สึกเก่าแก่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
จากนั้นเส้นของของเหลวสีเขียวจางที่ไม่อาจมองเห็นได้ก็เริ่มไหลออกจากดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มและหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา
“นี่… นับว่าเป็นโลหิตหรือไม่?”
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าเลือดของเขาเริ่มเดือดพล่านราวกับว่าเขากำลังสืบทอดบางอย่าง
มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ จ้าวเฟิงมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เขาได้รับนั้นกระทั่งมากกว่ายามที่อยู่ในขอบเขตแห่งการรวบรวม
ในไม่กี่ลมหายใจต่อมา ดวงตาซ้ายก็หยุดให้ทุกสิ่ง
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกพร้อมกับที่ความรู้สึกเต้นตุบของดวงตาซ้ายของเขาจะเริ่มเชื่องช้าลง
“มันจบแล้วเหรอ?”
จ้าวเฟิงพึมพำ ทว่าสัญชาตญาณได้บอกเขาว่ามันไม่ได้ธรรมดาเช่นนั้น เขาพยายามเปิดดวงตาซ้ายออกตามสัญชาตญาณ ทว่าเขากลับพบว่าเปลือกตาของเขาหนักอึ้ง และแม้จะใช้พลังทั้งหมดของเขา เปลือกตาของเขาก็เปิดขึ้นได้เพียงเล็กน้อย
มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่าดวงตานี้ไม่ใช่ของเขา
เป็นไปได้อย่างไร?
จ้าวเฟิงเริ่มหงุดหงิด เขาไม่ต้องการจะเป็นไอ้ตาเดียวและเสียดวงตาซ้ายลึกลับนี้ไป
เปิด!
เปิดดดดดด!
จ้าวเฟิงใช้พลังทั้งหมดของเขา และสิ่งที่เกิดขึ้นก็มีเพียงแค่เปลือกตาของเขาสั่นเล็กๆ
ในที่สุด เด็กหนุ่มก็ได้โคจรวิชากำแพงเงินและใช้พลังทั้งหมดที่เขามีในร่าง
วิ้งงง!
โลหิตสีเขียวซีดจางได้ปรากฏขึ้นในโลหิตสีแดงของเขา และจ้าวเฟิงรู้สึกว่าร่างกายของเขาพัฒนาขึ้น
ปราณแท้วายุเงินและปราณแท้ลมหายใจหวนของเขาต่างเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เขาปลดปล่อยกลิ่นอายเหนือกว่าราวกับว่าเขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไป
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกสงสัยแล้วว่าเขานั้นยังคงเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่
“เปิด… ข้าสั่งให้เจ้าเปิด!”
จ้าวเฟิงตวาด และภายใต้พลังที่เพิ่มขึ้นจากโลหิตสีเขียวซีดนั้น ดวงตาก็ได้เปิดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งลมหายใจ
เมื่อดวงตาสีครามนั้นเปิดออกอย่างเต็มที่ เด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับสวรรค์สั่นสะท้าน
“เกิดอันใดขึ้น?”
จ้าวเฟิงไม่รู้ว่าเป็นเขาเองที่สั่นสะท้านหรือว่าสวรรค์ได้สั่นสะท้าน ทว่าเขาก็ยังคงเปิดดวงตาของเขาต่อไป เขากลัวว่าหากเขาไม่เปิดมันให้เต็มที่ในครานี้ เขาอาจไม่มีโอกาสอีกต่อไป
ยิ่งดวงตาของเขาเปิดออกมากเท่าใด เขาก็รู้สึกว่าสวรรค์ได้สั่นสะท้านมากขึ้นเท่านั้น
มันดูราวกับว่าแรงสั่นสะเทือนนั้นมาจากอวกาศเอง ทว่าเมื่อจ้าวเฟิงเห็นศิษย์ของสำนักที่ห่างออกไป มันราวกับว่าพวกเขาไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
หรือมีเพียงแค่เขา?
จ้าวเฟิงไม่รู้ว่าในขณะที่เขาเปิดดวงตาของเขานั้น เหล่าผู้ฝึกตนในสำนักจันทร์สลายที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหรือสูงกว่าต่างรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน
ภายในสิ่งก่อสร้างสีเขียวคราม
“พรวด!”
บุรุษหล่อเหลาในชุดขาวพลันกระอักโลหิตออกคำโตและตื่นขึ้นจากการฝึกตน
“เกิดบัดซบอันใดขึ้น?”
ใบหน้าของไฮ่หยุนขาวซีดและหัวใจสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกจากก้นบึ้งของวิญญาณและสายเลือดของเขา
ในเวลาเดียวกัน
ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและสูงกว่าในทวีปครามต่างรู้สึกว่าวิญญาณและสายเลือดของพวกเขาสั่นสะท้าน
ยิ่งพลังฝึกตนของพวกเขาสูงเท่าใด ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น และเหล่าผู้ที่อยู่ในระหว่างการปิดด่านฝึกตนล้วนกระอักโลหิตออกมา
กระทั่งวินาทีที่ความสั่นสะเทือนนั้นจางหายไป และเป็นวินาทีที่จ้าวเฟิงได้เปิดดวงตาซ้ายของเขาออกอย่างเต็มที่
คว้างงง
เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับว่าศีรษะของเขาสั่นสะท้านและประกายแสงได้เปล่งประกายออกจากส่วนลึกในดวงตาสีครามของเขา
ประกายแสงนั้นราวกับพุ่งผ่านเทือกเขาและผ่านสำนักจันทร์สลาย หายไปในเมฆาสีขาวเบื้องบน
จ้าวเฟิงไม่อาจอธิบายถึงแสงนั้นได้ มันราวกับว่ามันมีพลังที่จะมองทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้