บทที่ 145 : การหายตัวไปของจ้าวเฟิง
ไม่กี่วันต่อมา กลุ่มของหวงอวิ๋น ซู่เหริน เซี่ยวซุน จ้าวเฟิง และหลินฟ่านก็ได้ไปถึงยังที่อยู่ของตระกูลซิ่ง
มันเป็นหุบเขาใกล้ๆ ชายแดนของจักรวรรดิ และพวกเขาไม่ได้ติดต่อกับภายนอกมากนัก คนธรรมดาอาจไม่สามารถค้นหาสถานที่นี้ได้พบ แต่เมื่อสำนักจันทร์สลายได้ควบคุมจักรวรรดินี้ ไม่มีกองกำลังใดในจักรวรรดิที่จะสามารถหลบซ่อนจากสายตาของพวกเขาได้
ห่างอกไป 1-2 ลี้ ทั้งห้าได้ยืนอยู่เหนือหุบเขาและมองลงไปเบื้องล่าง ทั้งพื้นที่นั้นเงียบงันเสียจนน่ากลัว มันราวกับว่าทุกคนได้ตายตกไปหมดแล้ว
กลุ่มของทั้งห้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแปลกประหลาดจนไม่กล้าที่จะกระทำการผลีผลามใดๆ จากรายงานได้กล่าวไว้ว่าสถานที่แห่งนี้ได้ถูกครอบคลุมด้วยโรคติดต่อ และคนกว่าครึ่งได้ตายลง
นอกจากนั้น หัวหน้าตระกูล ‘ซิ่งเฉิน’ ก็ได้ตายด้วยอุบัติเหตุ
“จ้าวเฟิง หลินฟ่าน พวกเจ้าเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ด้านล่าง” หัวหน้ากลุ่มหวงอวิ๋นเอ่ยสั่ง
ในทั้งห้านั้น หวงอวิ๋นมีพลังฝึกคนสูงที่สุด ทั้งยังเป็นหัวหน้า ในระหว่างทางเขาได้สั่งให้จ้าวเฟิงและหลินฟ่านทำงานที่แย่ที่สุดส่วนมาก
ประกายความเกลียดชังแล่นวาบในแววตาของซู่เหรินขณะที่เขาจ้องไปยังทิศที่จ้าวเฟิงและหลินฟ่านไป ทั้งสองแยกทางกันก่อนจะเข้าไปด้านในจากคนล่ะทิศ
ปึก!
จ้าวเฟิงทะยานขึ้นไปยังสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดและกวาดตาสำรวจพื้นที่ เขาเผยอที่ปิดตาออกเล็กๆ กระทั่งเสี้ยวหนึ่งของดวงตาสีครามของเขาปรากฏและมองไปรอบพื้นที่ของตระกูลซิ่ง
ฟุ่บ!
ในเสี้ยววินาที ‘แผนที่’ ก็ได้ปรากฏขึ้นในสมองของเขา ความเข้าใจในภูมิประเทศของพื้นที่ของตระกูลซิ่นในบัดนี้ของเด็กหนุ่มกระทั่งเหนือกว่าผู้ที่เกิดที่นี่บางคนเสียอีก
รายงานได้กล่าวว่าโรคติดต่อนั้นร้ายแรงถึงตายสำหรับผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นเจ็ดแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวม ทว่ามันไม่มากมายสำหรับผู้ที่เหนือกว่านั้น
เพราะเขาอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ โรคติดต่อธรรมดาจึงไม่ส่งผลต่อพวกเขา ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงมุ่งตรงไปภายในหุบเขาโดยไร้ซึ่งความลังเล
เขาเพียงแค่กำลังแสดงให้หวงอวิ๋นและซู่เหรินดูว่าเขาได้ทำงานของเขา
ภายในหุบเขามันมีเพียงแค่ความเงียบงัน นานๆ ครั้งจึงปรากฏร่างของผู้คนที่ขั้นเจ็ดแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวม ทว่าพวกเขาต่างเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายนอนราบอยู่บนพื้นดิน
จ้าวเฟิงกวาดตามองคนเหล่านั้นด้วยดวงตาซ้ายและพบประกายแสงสีม่วงจางบนอวัยวะของพวกเขาและกำลังดูดกลืนพลังชีวิตอยู่
เมื่อเขามุ่งตรงไปลึกยังใจกลาง เขาก็พบกับสิ่งก่อสร้างที่กินพื้นที่ไปสองสามเฮคเตอร์พร้อมด้วยผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่จำนวนมาก
มีหลายคนที่อยู่ในขั้นเจ็ดหรือสูงกว่า และดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงนั้นกระทั่งพบชายชราที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
“หากข้าถูกต้อง เขาคงเป็นหัวหน้าข้ารับใช้ที่ดูแลตระกูลซิ่งและผู้ที่ส่งรายงานมายังพวกเรา” จ้าวเฟิงคิด
ไม่ช้า หลินฟ่านได้มาจากอีกฝั่งหนึ่งและเริ่มพูดคุยกับหัวหน้าข้ารับใช้แห่งตระกูลซิ่ง
“ข้าเป็นหัวหน้าข้ารับใช้ของตระกูลซิ่ง สกุลหลี่ และข้าซาบซึ้งใจนักที่เห็นพวกท่านที่นี่”
เมื่อรู้ถึงเหตุผลที่ทั้งสองมา น้ำตาแห่งความยินดีก็ไหลชื้นบนใบหน้าของชายชรา จากนั้นเขาจึงเริ่มเอ่ยอธิบายถึงโรคติดต่อและการตายของหัวหน้าตระกูล
โรคติดต่อนี้เริ่มขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน และมันได้เข้ามาภายในหุบเขาโดยที่ไม่มีผู้ใดรับรู้ บัดนี้มันได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ โชคดีที่ตระกูลซิ่งนั้นอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากผู้อื่น ดังนั้นโรคนี้จึงไม่ได้แพร่กระจายออกไป การตายของหัวหน้าตระกูลซิ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน
“มันเป็นยามราตรีและหัวหน้าตระกูลได้ออกไปเพียงลำพัง เสียงต่อสู้ดังขึ้นจากในป่า เมื่อพวกเราไปถึง หัวหน้าตระกูลก็ได้สิ้นชีพแล้ว…” หัวหน้าข้ารับใช้เอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา
ในที่สุด ชายชราก็ได้คุกเข่าและเอ่ยขอร้อง
“ข้าขอร้องพวกท่านทั้งสองให้ช่วยหาสาเหตุของโรคติดต่อและคนฆ่า!”
จ้าวเฟิงจมลงให้ห้วงความคิดหลังจากได้ยินเช่นนั้น จากเบื้องหน้านั้นมันดูเหมือนว่าการตายของหัวหน้าตระกูลได้อยู่ในช่วงเดียวกับโรคติดต่อที่แพร่ระบาด
คนที่อยู่เบื้องหลังย่อมมีอำนาจและอาจมาจากจักรวรรดิข้างเคียงเมื่อเขาสามารถแพร่กระจายโรคนี้ ทั้งยังฆ่าผู้ที่อยู่ในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ นี่นับว่าแตกต่างจากการวิเคราะห์ของรายงาน
เหตุใดคนจึงฆ่าหัวหน้าตระกูลและสร้างความลำบากแก่ตระกูลซิ่ง? จ้าวเฟิงพลันคิดถึงคำสองคำออกมา ล้างแค้น!
ไม่ช้า
หวงอวิ๋นและอีกสองคนก็ได้มาถึงยังใจกลางสิ่งก่อสร้าง จ้าวเฟิงและหลินฟ่านได้เอ่ยบอกข้อมูลที่พวกเขาไปสำรวจมาแก่อีกฝ่าย
“ไปยังบริเวณที่การต่อสู้เกิดขึ้น”
ประกายแสงแล่นวาบในดวงตาของหวงอวิ๋น บริเวณที่ทั้งสองได้ต่อสู้และร่องรอยทั้งหมดยังไม่ได้ถูกกำจัด หมายความว่ามันถูกเก็บไว้อย่างตั้งใจ
เมื่อยืนอยู่ที่สถานที่เกิดเหตุ จ้าวเฟิงก็มีความรู้สึกแปลกประหลาด เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบๆ ด้วยดวงตาซ้ายอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่ได้เอ่ยอันใด
ดวงตาของหวงอวิ๋นเปล่งประกายระริกและเอ่ยวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว
“จากร่องรอยนั้น ดูเหมือนว่าพลังฝึกตนของฆาตกรจะอยู่ในระดับเดียวกับหัวหน้าตระกูล ขั้นสุดยอดของนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ”
“ศิษย์พี่หวงเอ่ยถูกต้อง”
ซู่เหรินและเซี่ยวซุนพลันเอ่ยเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว ในระหว่างทาง ทั้งสองล้วนเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย
จากนั้นหวงอวิ๋นจึงเอ่ยขอดูศพของหัวหน้าตระกูล ทว่าศพนั้นได้ถูกฝังไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน และนายน้อยทั้งสองต่างต่อต้านไม่ให้ขุดขึ้นมา
ซู่เหรินมองไปยังทั้งสองอย่างเย็นชาก่อนจะกดดันพวกเขาด้วยกลิ่นอายในนภาที่สองของเขา นายน้องทั้งสองนั้นมีพลังฝึกตนเพียงขั้นแปดและเก้าในขอบเขตแห่งการรวบรวม ดังนั้นแล้วพวกเขาจะต่อต้านได้อย่างไร?
ไม่ช้าจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ก็ได้เห็นร่างที่เน่าเปื่อยของหัวหน้าตระกูล มันมีกระดูกหักที่หัวไหล่และซี่โครงเช่นเดียวกับร่องรอยอื่นๆ
พวกเขาไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติกับร่างนั้น อย่างไรก็ตามใบหน้านั้นก็ได้ย่อยยับไปแล้ว มีเพียงดวงตาของจ้าวเฟิงที่ส่องประกายระริก ทว่าเขาก็ยังคงไม่เอ่ยสิ่งใด และแม้เขาจะทำ คนอื่นก็ล้วนแต่ไม่ลำบากรับฟัง
ในวันเดียวกัน ทั้งห้าได้ติดตามร่องรอยอื่นๆ ไป ทว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ
“เราจะอยู่ที่นี่ในคืนนี้ จ้าวเฟิงกับหลินฟ่าน พวกนายเฝ้ายามคืนนี้” หวงอวิ๋นเอ่ยสั่ง
เขาเป็นหัวหน้าและผู้อื่นต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา หัวหน้านั้นกระทั่งมีอำนาจในการแบ่งรางวัล
จ้าวเฟิงสบตากับหลินฟ่านและตัดสินใจที่จะเฝ้ายามด้านนอก
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าพบร่องรอยอันใดหรือไม่?” หลินฟ่านเอ่ยถาม
“ไม่เลย”
จ้าวเฟิงเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม ทว่าหลินฟ่านรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นได้ค้นพบบางอย่าง ในบรรดาคนทั้งสี่ มีเพียงเด็กหนุ่มผมสีครามผู้นี้ที่ไม่อาจอ่านออกได้
ฟุ่บ!
เงาสีดำขยับวูบในหางตาของพวกเขา
“นั่นผู้ใด!?”
หลินฟ่านตวาดลั่นปลุกให้หวงอวิ๋น เซี่ยวซุน ซู่เหริน และกระทั่งนายน้อยทั้งสองและหัวหน้าข้ารับใช้ชราให้ตื่นขึ้น
“เราเห็นเงาสีดำไปทางนั้น!” หลินฟ่านเอ่ยขึ้นในทันที
เงาสีดำ?
ดวงตาของหวงอวิ๋นส่องประกายวาบเมื่อได้ยินเช่นนั้น หากพวกเขาสามารถจับคนฆ่าได้ พวกเขาจะได้รับรางวัลพิเศษ
“ไป! ตามมันไป!”
ร่างของเขาพลันกลายเป็นเงาพร่าเลือนสีเขียวที่ไล่ล่าเงาดำนั้นไป เซี่ยวซุนและหลินฟ่านไม่แม้แต่จะสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของหวงอวิ๋นได้ ชายหนุ่มนั้นนับเป็นยอดฝีมือในนภาที่สอง
ภายใต้การนำของหวงอวิ๋น ผู้อื่นพลันติดตามไปในทันที ไม่ช้าหวงอวิ๋นก็เห็นเงาดำเบื้องหน้าเขาที่เชื่องช้ากว่าเขาเพียงเล็กน้อย
“จะหนีไปที่ใดกัน!?” หวงอวิ๋นตวาดขณะที่เขาโคจรปราณแท้สีแดงเข้มของเขา ทำให้ร่างของเขาเข้าใกล้อีกฝ่ายเข้าไปทุกที
“ชี่ชี่ชี่ชี่ชี่…”
เงาสีดำได้หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดก่อนจะหายไประหว่างแมกไม้ที่หัวหน้าตระกูลได้ตายลง ความหวาดระแวงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวงอวิ๋นขณะที่เขาหยุดอยู่ที่ต้นไม้ตรงหนึ่งและไม่ได้พุ่งเข้าไปในทันที
คนอื่นได้มาถึงในไม่ช้าและพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปอย่างผลีผลามเช่นกัน
“หลินฟ่าน จ้าวเฟิง พวกเจ้าไปตรวจดู เราจะอยู่ด้านหลังเพื่อสนับสนุน” หวงอวิ๋นเอ่ยสั่งอย่างเย็นชา
ความกราดเกรี้ยวพลุ่งพล่านในร่างของหลินฟ่าน หวงอวิ๋นได้ใช้พวกเขาเป็นหน่วยกล้าตายหรือ?
“จะไปหรือไม่ไป? เจ้ากล้าที่จะขัดขืนคำสั่งของหัวหน้ากลุ่มหรือ!?” ซู่เหรินตวาดจากด้านข้างขณะที่เซี่ยวซุนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน
กลุ่มของทั้งห้านั้นจนมุมแล้ว
“พวกท่านให้ข้าเข้าไปก่อนเป็นอย่างไร?” จ้าวเฟิงเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็หยุดชะงัก
ทุกคนเข้าใจว่าเงาดำนั้นต้องวางแผนบางอย่างเอาไว้เพื่อที่จะนำพวกเขามาที่นี่ นอกจากนั้นหัวหน้าตระกูลเองก็ได้ตายที่นี่ด้วย
“หากเรายังคงลังเลเช่นนี้ ฆาตกรจะหนีไป” จ้าวเฟิงแย้มรอยยิ้ม
เส้นผมสีครามของเขาพลิ้วไหวไปกับสายลม เมื่อรวมกับดวงตาข้างเดียวของเขา มันทำให้เด็กหนุ่มดูลึกลับยิ่งนัก
“ได้”
หวงอวิ๋นสบตากับซู่เหรินก่อนจะผงกศีรษะ
หลินฟ่านทำท่าจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าไม่อาจทำได้เมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงกลายเป็นเงาที่เงียบงันที่ได้ทะยานเข้าไปในแมกไม้
“หืมม!? วิชาเคลื่อนไหวของเด็กนั่นค่อนข้างดีเลย”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวงอวิ๋นขณะที่เขาติดตามไป
จ้าวเฟิงได้นำทาง ในขณะที่อีกสี่คนนั้นได้รักษาระยะห่างไว้เบื้องหลัง
พวกเขาทุกคนล้วนอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และมีดวงตาที่ดีมาก ทว่าในยามค่ำคืนนั้น มันย่อมไม่มีทางใกล้เคียงคำว่าดีได้กับในยามกลางวัน
“มันอยู่ตรงนั้น!” จ้าวเฟิงพลันเห็นร่างสีดำและไล่ล่าไปในทันที
“อย่าให้มันหนีไปได้!” หวงอวิ๋นเองก็เห็นร่างนั้นและรู้สึกยินดีอย่างมาก
ฟุ่บ!
ทุกคนรู้สึกเพียงแค่ระยะห่างของจ้าวเฟิงนั้นเพิ่มมากขึ้นก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มจะหลอมรวมเข้าไปในความมืดมิดยามราตรี
“ศิษย์น้องจ้าว!”
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าอยู่ที่ใด?”
ทั้งสี่ตะโกนลั่น ทว่ากลับไม่มีคำตอบใดๆ กลับมาจากค่ำคืนอันมืดมิด
ราวกับว่าจ้าวเฟิงได้ถูกกลืนกินไปโดยความมืด
“หรือจ้าวเฟิงพบจุดจบแล้ว?” ซู่เหรินรู้สึกกังวลและยินดีไปพร้อมกัน
ทั้งสี่ค้นหาบริเวณรอบๆ อยู่เป็นเวลานาน ทว่ากลับไม่ปรากฏร่องรอยของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวแม้แต่น้อย
“มันเป็นเพราะพวกบัดซบอย่างพวกเจ้าที่หวาดกลัวความตาย! ศิษย์น้องจ้าวอายุเพียง 14 ปี แต่พวกเจ้ายังให้เขาไปก่อน!”
หลินฟ่านเอ่ยอย่างโกรธเคือง ทว่าเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการหายไปของจ้าวเฟิง
“หัวหน้าหวง สถานที่นี้แปลกประหลาดนัก เราควรถอยและกลับมาอีกครั้งในตอนเช้า” เซี่ยวซุนเอ่ยแนะนำ
ทั้งหวงอวิ๋นและซู่เหรินต่างผงกศีรษะหลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าอยากหนีหรือ? อย่าแม้แต่จะคิด!” เสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังก้องไปทั่วป่า
ตูมม
ทั้งป่านั้นได้เริ่มสั่นสะท้านราวกับว่าเกิดแผ่นดินไหวขึ้น
ไม่ดีแล้ว!
สีหน้าของทั้งสี่พลันแปรเปลี่ยนไปเป็นขาวซีดในทันใด