Skip to content

King of Gods 18

King Of Gods

บทที่ 18 : อันดับ

“ข้าทำได้” จ้าวเฟิงพยายามหักห้ามใจไม่ให้ตะโกนออกไป

ในตอนนี้ ลำบากเพียงคิดแสงสีเขียวซีดจางก็จะปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา หากไม่ได้มองใกล้พอ ผู้อื่นย่อมไม่อาจสังเกตเห็น นี่เป็นการโคจรพลังภายในของเด็กหนุ่ม เขาไม่เคยคิดเลยว่าความฝันของเขาจะใกล้เพียงนี้

เมื่อผู้หนึ่งโคจรพลังภายในได้ คอขวดของผู้ฝึกตนขั้นสี่ก็แทบจะไม่ปรากฏ

สำหรับจ้าวเฟิง ที่เหลือเป็นเพียงเรื่องของเวลา เขาเพียงแค่ต้องเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นสาม จากนั้นเขาก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสี่และกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงได้

“ยังไม่มีศิษย์สายนอกในพรรคจ้าวคนใดที่สามารถโคจรพลังภายในได้ กระทั่งจ้าวเยว่และจ้าวยี่จาง…” เมื่อคิดถึงตอนนี้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจ

การที่สามารถโคจรพลังภายในได้ในขั้นสามนั้นหมายความว่าไม่ว่าผู้ใดในระดับการฝึกตนของเขาก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้

“พฤกษาโลหิตสองร้อยปีไม่อาจใช้ทิ้งขว้าง” จ้าวเฟิงรู้สึกว่าร่างกายของเขายังคงเหลือเศษเสี้ยวของพฤกษาโลหิตดังนั้นเขาจึงเริ่มโคจรพลังภายในอีกครั้ง

พลังภายในนั้นคือการที่พลังของคนผู้หนึ่งถูกบีบอัดอย่างมาก เพื่อรวบรวมพลังภายในของเขา จ้าวเฟิงจึงนั่งโคจรพลังภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน

ในตอนที่เขาก้าวออกจากห้อง เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับทุกลมหายใจของเขาสามารถปลดปล่อยแรงกดดันออกมาได้ภายในเสี้ยววินาที

บิดามารดาของเขาก็รับรู้ถึงมันเช่นกัน

“เฟิงเอ๋อร์ดูเปลี่ยนไปนะ เหมือนว่าเขาจะมีพลังมากกว่าทุกวัน” จ้าวชี่ยิ้ม

“ถึงเวลาที่เขาจะเติบโตแล้ว” กระทั่งผู้เป็นบิดา จ้าวเทียนหยาง ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากตัวของบุตรชาย

ความรู้สึกของพวกเขาไม่ได้ผิดพลาด ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงๆ

หลังจากที่หลอมรวมเข้ากับดวงตาซ้าย โลหิตของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ที่ชัดเจนที่สุดย่อมเป็นความแข็งแกร่งของเขา มันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วบ้าคลั่ง ความสูงและพลังจิตของเขาเองก็พัฒนาขึ้น เมื่อรวมเข้ากับจิตใจของเขา บรรยากาศโดยรอบตัวของเขาจึงแปรเปลี่ยนไป

“กระทั่งท่านพ่อท่านแม่ยังเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลง นั่นหมายความว่าผู้ฝึกตนคนอื่นย่อมสังเกตเห็นได้โดยง่ายว่าข้าโคจรพลังภายในได้แล้ว” จ้าวเฟิงจมลึกลงไปในห้วงความคิด ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนจะถึงงานประลองประจำตระกูล และเป้าหมายของเขาคือการติดหนึ่งในสาม!

“ข้าต้องหาทางซ่อนพลังภายในของข้า” ไม่ช้า วิชาทั้งร้อยก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด

เด็กหนุ่มเลือกวิชา ‘ซ่อนลมหายใจ’ อย่างรวดเร็ว

วิชาซ่อนลมหายใจนั้นไม่ใช่วิชาต่อสู้ มันไม่แม้กระทั่งเพิ่มพลังการฝึกตน สาเหตุที่จ้าวเฟิงเลือกวิชานี้ก่อนหน้านั้นเป็นเพราะมันเป็นวิชาขั้นสุดยอดของระดับกลาง ระดับเดียวกับหมัดมังกรคลั่ง

หากวิชาซ่อนลมหายใจถูกฝึกจนเข้าระดับต่ำ มันจะสามารถซ่อนพลังภายในและระดับการฝึกตนของผู้ฝึกได้ เมื่อเข้าสู่ระดับสูง ผู้ฝึกสามารถควบคุมกลิ่นอายของตนได้ และเมื่อเข้าขั้นสุดยอดทำได้กระทั่งลบกลิ่นอายของตนซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการติดตามและล้วงความลับ กระทั่งสุนัขก็ไม่อาจดมกลิ่นเจอ

จ้าวเฟิงเริ่มฝึกฝนวิชาซ่อนลมหายใจในวันเดียวกัน แม้ว่ามันจะเป็นวิชาระดับกลางขั้นสุดยอด แต่เด็กหนุ่มก็เรียนรู้มันได้อย่างง่ายดาย

เด็กหนุ่มใช้เวลาครึ่งวันอย่างคุ้มค่า เขาฝึกฝนมันจนเข้าขั้นต่ำซึ่งหมายความว่าเขาสามารถปกปิดพลังภายในของเขาได้ กระทั่งผู้ฝึกตนที่แท้จริงที่มีขั้นสี่หรือสูงกว่าก็ไม่อาจค้นพบได้ว่าเขาโคจรพลังภายใน

“ตามในตำรากล่าวไว้ว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามเดือนจึงจะสามารถฝึกเข้าระดับต่ำได้” จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาสามารถเรียนรู้วิชานภาลอยล่องที่เป็นวิชาระดับสูงได้

เมื่อวิชาซ่อนลมหายใจเข้าสู่ระดับต่ำแล้ว เด็กหนุ่มจึงสามารถเดินร่อนไปมาได้อย่างอิสระ

หลังจากผ่านพ้นไปอีก 2-3 วันจึงถึงเวลาเปิดรับสมัครผู้เข้าประลองประจำงานประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูล

“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าสามารถสมัครเข้าประลองได้แล้ว อย่าได้ลืมเสียล่ะ” จ้าวเทียนหยางเอ่ยเตือน

“ขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” จ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความมั่นใจ

จ้าวเทียนหยางพยักศีรษะ

“เจ้าเข้าสู่ขั้นสามแห่งผู้ฝึกตนแล้ว ย่อมสามารถติดหนึ่งในร้อยได้แน่”

“หนึ่งในร้อย?” จ้าวเฟิงหัวเราะพร้อมสั่นศีรษะ บิดามารดาของเขาไม่ได้มั่นใจในตัวเขาเท่าใด เด็กหนุ่มมั่นใจว่าหากเขาไม่ได้อันดับหนึ่ง ก็ย่อมติดหนึ่งในสาม

ไม่ช้า เด็กหนุ่มก็ไปถึงยังสถานที่รับสมัคร

งานประลองประจำตระกูลนั้นจัดขึ้นทุกๆ สามปี และเวลาเปิดรับสมัครนั้นคือก่อนหน้างานประลองเริ่มหนึ่งเดือน

มีศิษย์คนอื่นต่อแถวรออยู่แล้วยามที่เด็กหนุ่มไปถึง

“เจ้าได้ยินหรือไม่? ของรางวัลของปีนี้นับว่าดียิ่งนัก!” หนึ่งในศิษย์พรรคจ้าวเอ่ย

“รางวัล? บอกพวกข้าสิ! เจ้าย่อมเป็นศิษย์สายในเป็นแน่” ศิษย์ที่อยู่รอบๆ เต็มไปด้วยสีหน้าสนอกสนใจขณะมองไปยังผู้พูด

บทสนทนาของพวกเขาเรียกความสนใจจากจ้าวเฟิงได้ในทันที เด็กหนุ่มเบนสายตาไปยังศิษย์สายในที่มีระดับขั้นการฝึกตนที่ขั้นสุดยอดของขั้นสาม จากกลิ่นอายที่เขาปล่อยออกมา อย่างน้อยเขาย่อมมีฝีมือเทียบเท่ากับจ้าวกัง

“ไม่แปลกที่จะเป็นศิษย์สายใน” จ้าวเฟิงคิด

“ศิษย์สายในดาษๆ ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้”

“ผู้ที่ติดหนึ่งใน 50 จะได้เป็นศิษย์สายใน มีสิทธิเข้าไปยังชั้นสองของหอตำรา และสามารถเลือกวิชาระดับสูงได้หนึ่งวิชา ทั้งยังได้รับพฤกษาโลหิตสามร้อยปีอีกต้น ผู้ที่ติดหนึ่งใน 20 สามารถเลือกวิชาระดับสูงได้สองวิชาและได้รับพฤกษาโลหิตสามร้อยปีสองต้น” ศิษย์สายในผู้นั้นหยุดลงชั่วครู่

“ว้าว! พฤกษาโลหิตสามร้อยปี! พรรคนับว่าทุ่มทรัพย์ลงในงานประลองปีนี้นัก”

“วิชาระดับสูง! ศิษย์ธรรมดาอาจไม่มีโอกาสได้แตะต้องมันสักครั้ง” ศิษย์โดยรอบเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง กระทั่งจ้าวเฟิงยังตื่นเต้น

พฤกษาโลหิตสามร้อยปีนั้นราคา 3,000 ทอง แน่นอนว่าการที่จะสามารถเข้าสู่ชั้นสองของหอตำราได้นั้นสร้างความตื่นเต้นให้เขาได้มากกว่า

“หากข้ามีโอกาสเข้าสู่หอตำราชั้นสอง ข้าสามารถนำวิชาระดับสูงออกมาได้จำนวนมาก” จ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ตอนนั้นเองที่ศิษย์สายในผู้นั้นเอ่ยต่อ

“ผู้ที่ติดหนึ่งในสิบสามารถเลือกวิชาระดับสูงได้สองวิชา ทั้งยังได้รับพฤกษาโลหิตห้าร้อยปีด้วย!”

พฤกษาโลหิตห้าร้อยปี!

ศิษย์หลายคนถูมืออย่างหมายมาด พฤกษาโลหิตห้าร้อยปีต้นหนึ่งมีราคาถึงหมื่นเงิน!

“และผู้ที่ติดหนึ่งในสามสามารถเลือกวิชาระดับสุดยอดได้หนึ่งวิชา วิชาระดับสูงสองวิชา ทั้งยังจะได้รับ ‘ยาโลหิตหยุน’ ”

“วิชาระดับสุดยอด!”

“ยาโลหิตหยุน?”

ผู้ที่มีวิชาระดับสุดยอดสามารถพัฒนาระดับการฝึกตนได้ถึงขั้นเก้าแห่งผู้ฝึกตน และสำหรับยาโลหิตหยุนนั้นเป็นยาล้ำค่าที่ช่วยเพิ่มพลังการฝึกตนของผู้ที่กิน

ยาประเภทนี้มีราคามากกว่า50,000เงิน…

“แล้วอันดับหนึ่งเล่า?”คนผู้หนึ่งเอ่ยถาม

“เจ้ากล่าวถูก โดยปกติแล้วที่หนึ่งย่อมได้รับรางวัลพิเศษ” ศิษย์พรรคจ้าวบางคนเอ่ย

“อันดับหนึ่งย่อมได้รับรางวัลพิเศษ ทว่ากระทั่งข้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคือสิ่งใด” ศิษย์สายในผู้นั้นส่ายศีรษะ

อ่า

ศิษย์คนอื่นรู้สึกผิดหวัง ทว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ จึงทำให้พวกเขายิ่งกระตือรือร้นอยากจะค้นหามันยิ่ง

หลังจากที่รออยู่นาน จ้าวเฟิงจึงได้เข้าไปยังที่สมัครและหยิบแผ่นป้ายขึ้น บนแผ่นป้ายนั้นปรากฏเลข 188 อยู่ บัดนี้เขารู้แล้วว่าได้รับเลขที่เท่าใด

พรรคจ้าวนั้นมีศิษย์หลายร้อยที่เข้ารวมงานประลอง ตามกฎนั้นมีที่สำหรับศิษย์สายในที่อายุต่ำกว่า 18 เพียง 50 ที่เท่านั้น

ตอนนี้มีศิษย์สายในเพียง 50 คน

นั่นหมายความว่าศิษย์สายในบางส่วนจะถูกกำจัดและถูกแทนที่ด้วยศิษย์รุ่นใหม่ ดังนั้นแล้วงานประลองนี่จึงนับได้ว่าโหดร้ายนัก

หลังจากที่สมัครเสร็จสิ้น จ้าวเฟิงจึงกลับไปยังบ้านของเขาและฝึกฝนอย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้น

วันเวลาผ่านพ้นไป บัดนี้เวลาแห่งงานประลองได้เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

20 วันก่อนจะถึงงานประลองได้มีการคาดเดาอันดับไว้ก่อนแล้ว และผู้ที่ได้รับอันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์สายในก็คืออัจฉริยะแห่งพรรคจ้าว จ้าวหลินหลง!

จ้าวหลินหลงนั้นได้เข้าสู่ขั้นสี่แห่งผู้ฝึกตนเมื่อสองปีก่อน เขาได้รับอันดับสามในงานประลองครั้งที่แล้ว และตอนนั้นอายุของเขาก็ยังไม่ครบ15ปีเสียด้วยซ้ำ

บัดนี้เขาเป็นหนึ่งในสี่อัจฉริยะแห่งเมืองประกายอรุณ ไม่น่าแปลกใจอันใดที่เขานับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!

อันดับสองนั้นคือจ้าวซี่ อันดับสามจ้าวฮาน อันดับสี่จ้าวฉิน… อันดับที่ยี่สิบเอ็ดคือจ้าวเยว่! เมื่อจ้าวเฟิงเห็นเช่นนั้นก็สูดลมหายใจหนาวเหน็บ จ้าวเยว่ที่เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์สายนอกกลับไม่อาจติดหนึ่งในยี่สิบของศิษย์สายใน

จ้าวยี่จางและจ้าวหยูเฟ่ยได้รับอันดับที่38 และ 40 ตามลำดับ

สำหรับจ้าวกังและจ้าวกวงที่ครองอันดับห้าในบรรดาศิษย์สายนอก พวกเขาได้รับอันดับที่ 49 และ53 ทั้งหมดมี 100 อันดับ จ้าวเฟิงยังคงมองหาต่อไป

ในที่สุด!

อันดับที่สองจากท้าย เด็กหนุ่มจึงพบชื่อของตนเอง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!