Skip to content

King of Gods 198

King Of Gods

บทที่ 198 : ท้าประลองศิษย์หลัก (2)

สำนักจันทร์สลาย

ภายในสวนงดงาม

เพี้ยะ! ตูม!…

เด็กหนุ่มสีหนน้าไร้อารมณ์กำลังประลองอยู่กับชายหนุ่มสองคน ในเวลานี้ ประกายแสงได้แล่นวาบผ่านอากาศ และไม่ว่าจะเป็นเศษเสี้ยวพลังงานใดที่หลงเหลือก็ล้วนแล้วแต่สามารถบดทำลายโลหะได้

เด็กหนุ่มไร้อารมณ์สามารถต่อสู้กับคนสองคนได้ในเวลาเดียวกันโดยไม่พ่าย ชั้นน้ำสีน้ำเงินเข้มล้อแมรอบร่างกายของเขาโดยที่มีพลังมหาศาลอยู่ภายใน เพียงแค่ยืนอยู่ข้างมันก็สามารถทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปในขอบเขตก่อกำเนิดปราณกระอักเลือดได้แล้ว

“… มรดกธาราทมิฬนั้นมิน่าแปลกใจเลยที่เป็นมรดกที่ทรงพลังที่สุดในตำหนักยอดนภา”

ผู้อาวุโสหยุนไห่นั่งอยู่ที่ก้อนหินใกล้ๆ เอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชม เด็กหนุ่มสีหน้าไร้อารมณ์ผู้นั้นคือเป่ยม่อ และอีกสองคนคือฉวนเฉินและหยวนจื่อ ทั้งสองล้วนเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหยุนไห่ทั้งสิ้น

ฉวนเฉินมีพลังอยู่ที่ขั้นสุดยอดของนภาที่สี่ และเป็นศิษย์หลักลำดับที่ห้า หยวนจื่ออยู่ในนภาที่ห้าและครองอันดับสามในศิษย์หลัก

ในยามนี้ ทั้งสองไม่อาจที่จะเอาชนะเป่ยม่อที่เด็กที่สุดได้ แม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกัน อีกฝ่ายนั้นได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สี่ และสามารถที่จะกดดันให้ศิษย์พี่ทั้งสองต้องล่าถอยได้

ฉวนเฉินและหยวนจื่อตะลึงงัน ตั้งแต่ที่เป่ยม่อได้ออกจากการทดสอบยอดนภา เขาก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด พลังของทั้งสองที่ร่วมมือกันสามารถสับผู้ฝึกตนทั่วไปในนภาที่สี่จนกลายเป็นชิ้นได้ ทว่ามิอาจทำได้กระทั่งทำลายการป้องกันของเป่ยม่อ

มันราวกับว่ามีน้ำวนไร้ก้นบึ้งล้อมรอบร่างของเด็กหนุ่มสกุลเป่ย ที่ทำให้ทุกการโจมตีเหมือนดั่งการจมลงสู่มหาสมุทร

“ธาราสวรรค์เปิดภูเขา!”

เป่ยม่อโบกมือของเขาพร้อมกับที่ระลอกน้ำสีน้ำเงินเข้มพลันแผ่ขยายออก ส่งร่างของอีกสองคนออกไปพร้อมด้วยเสียง ‘เช้ง’

หยวนจื่อถูกผลักถอยไปกว่าสิบก้าวก่อนที่จะทรงตัวได้ ฉวนเฉินถูกดันออกไปไกลกว่าและเกือบกระอักเลือด

“ขอบคุณ”

ศิษย์หลักลำดับสามและลำดับห้าร่วมมือกันกลับมิอาจเอาชนะเป่ยม่อ!

“ดี! ดี! โม่เอ๋อร์ เจ้าได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก ในเวลาสองปี มิมีผู้ใดในเด็กรุ่นใหม่ที่จะสามารถเทียบเคียงเจ้าได้” ผู้อาวุโสหยุนไห่เอ่ยชม

หยวนจื่อและฉวนเฉินยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าตะลึงงัน

ฉวนเฉินเต็มไปด้วยความเกลียดชังและจนใจ เป่ยม่อนั้นเพียงแข็งแกร่งเท่านี้เพราะอีกฝ่ายได้รับมรดก ทุกครั้งที่เขาคิดเกี่ยวกับมัน เขาจะเกลียดชังจ้าวเฟิง หากมิเป็นเพราะเด็กหนุ่มผู้นั้น บางทีเขาก็อาจได้รับมรดกสักอย่าง

“ม่อเอ๋อร์ อย่าได้ทอดสายตาของเจ้าไปเพียงในสำนักจันทร์สลาย ในงานสามสำนักในอีกครั้งเดือนนั้น เจ้าจะได้แสดงความสามารถของเจ้า ในครานั้น เจ้าจะสร้างชื่อแก่ข้า” ผู้อาวุโสหยุนไห่แย้มยิ้มและเอ่ย

งานสามสำนัก

ฉวนเฉินและหยวนจื่อมองหน้ากันด้วยหัวใจที่บิดเบี้ยว ด้วยความแข็งแกร่งของเป่ยม่อ เขาย่อมสามารถเข้าร่วมงานสามสำนักได้อย่างง่ายดาย ทว่าสำหรับพวกเขานั้นมันคงจะยาก

ในตอนนั้นเอง

“ผู้อาวุโส! มีบางอย่างสร้างความวุ่นวายด้านนอก!” ข้ารับใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา

ฉวนเฉินตวาดออกมา

“ผู้ใดกล้าสร้างปแญหาที่นี่?”

“เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่ง จ้าวเฟิง เขานำกลุ่มคนจำนวนมากมาและค้นหาศิษย์พี่ฉวน จนกระทั่งไล่ล่ามาถึงที่นี่” ข้ารับใช้เอ่ยด้วยความลนลาน

หยวนจื่อหัวเราะ

“ศิษย์น้องฉวน ดูเหมือนว่าจ้าวเฟิงกำลังสร้างปัญหาแก่เจ้าแล้ว”

ไม่ว่าจ้าวเฟิงจะจองหองเพียงใด เขาก็ยังคงเป็นศิษย์ อีกฝ่ายจะกล้าสร้างปัญหาแก่ผู้อาวุโสได้อย่างไร?

“เจ้าเด็กเหลือนี่ย่อมต้องการท้าประลองตำแหน่งศิษย์หลักของข้าเป็นแน่”

สีหน้าของฉวนเฉินมืดทะมึน ทว่าจริงๆ แล้วใจของเขากลับเต็มไปด้วยความกังวล เขารู้ว่าความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงนั้นน่าหวาดกลัวเพียงใด

“เกิดอันใดขึ้น?” ผู้อาวุโสหยุนไห่เอ่ย

“ข้าได้ยินมาว่าจ้าวเฟิงต้องการที่จะท้าประลองศิษย์หลักผู้หนึ่ง ครั้งแรกเขาไปตามหาศิษย์พี่ฉวน ทว่าศิษย์พี่ฉวนไม่ได้อยู่ที่ที่พัก จากนั้นเขาจึงไปหาศิษย์พี่หยวน และไม่พบใครเช่นกัน หลังจากนั้นเขาจึงไปหาเป่ยม่อ…”

“เอาล่ะ! ข้าเข้าใจแล้ว! จากนั้นเขาจึงมาที่ที่พักของข้า” ผู้อาวุโสหยุนไห่เอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ

“ถะ… ถูกแล้วท่านผู้อาวุโส!” ร่างของข้ารับใช้สั่นสะท้าน

ในตอนนั้น บรรยากาศภายในสวนได้ตึงเครียด สีหน้าของศิษย์ทั้งสามของผู้อาวุโสหยุนไห่น่าเกลียดนัก

จ้าวเฟิงจงใจที่จะเลือกศิษย์ของผู้อาวุโสหยุนไห่ เขาคิดหรือว่าพวกเขาอ่อนแอ?

“น่าขัน!”

ใบหน้าของฉวนเฉินเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่าในความเป็นจริงนั้นเขายินดียิ่งนัก หากเป็นเขาเพียงผู้เดียว เขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะตัวบัดซบนั่นได้

ทว่าหากเป็นพวกเขาสามคน…

ฮึ่ม! จ้าวเฟิง! นับว่าวันนี้เจ้าโชคร้ายแล้ว!

“พวกเจ้าสามคนไปได้ แต่อย่าทำให้ข้าเสียหน้า”

ผู้อาวุโสหยุนไห่โบกมือ แม้ว่าเขาจะรู้สึกชังที่จ้าวเฟิงจงใจเลือกศิษย์ของเขา เขาก็ยังอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและย่อมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องของคนรุ่นใหม่

นอกจากนั้น เบื้องหลังของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวผู้นั้นคือผู้อาวุโสหนึ่ง ทั้งเขาและผู้อาวุโสหนึ่งไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างศิษย์ได้อย่างง่ายๆ

ไป! ไปกันเถอะ!

ทั้งสามพุ่งออกจากสถานที่พักของผู้เป็นอาจารย์

หยวนจื่อรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในใจ อีกสองคนนั้นดูราวกับว่าเกลียดชังจ้าวเฟิง

ด้านนอกตึกนั้นมีกลุ่มคนอยู่จริง และผู้นำก็คือจ้าวเฟิง

“สรุปแล้วพวกเจ้าก็หลบซ่อนอยู่ที่นี่” จ้าวเฟิงพูดขึ้นอย่างเข้าใจ

หลังจากที่เขาออกจากการปิดด่านฝึกตน เขาย่อมท้าประลองศิษย์ของผู้อาวุโสหยุนไห่ก่อนอย่างแน่นอน ทว่าสิ่งแปลกประหลาดนั้นคือทั้งฉวนเฉินหยวนจื่อและเป่ยม่อล้วนไม่ได้อยู่ที่ที่พัก

หลังจากไถ่ถามไปทั่ว เขาก็พบว่าทั้งสามได้หลบซ่อนอยู่ที่ที่พักของผู้อาวุโสหยุนไห่

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าหลบซ่อน!?”

ฉวนเฉินและอีกสองคนรู้สึกชังและขุ่นเคือง ทั้งสามได้ถูกเรียกมาโดยอาจารย์ของพวกเขาเพื่อมาประลองกัน

เหล่าผู้ที่ไม่รู้เรื่องนี้อาจคิดว่าพวกเขาหวาดกลัวจ้าวเฟิง

“สู้” จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นก่อนจะหมุนตัวไปยังลานประลอง

เขาไม่ได้กังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่ติดตามไป พวกเขาได้อยู่เบื้องหน้าที่พักของผู้อาวุโส มันเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสามจะไม่สู้

ไม่ช้า ณ ตำหนักกลาง ลานประลอง

มันถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ศิษย์สายในประลองกัน จ้าวเฟิงทะยานขึ้นไปบนอากาศและพลิ้วกายลงบนลาน

ในตอนนั้น มันได้มีศิษย์สายในสองคนต่อสู้กันอยู่แล้ว

“อ๊า!”

เมื่อทั้งสองเห็นเด็กหนุ่มผมครามตาเดียวที่ส่งกลิ่นอายของนภาที่สี่ออกมา พวกเขาก็รีบลนลานออกไปจากลานประลองทันที

ไม่ช้า

กลิ่นอายของนภาที่สี่และสูงกว่าอีกจำนวนหนึ่งก็มาถึง

ฉวนเฉินและอีกสองคนมองหน้ากัน พวกเขาดูราวกับกำลังตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนสู้ก่อน

ฉวนเฉินรู้สึกหวาดกลัวเล็กๆ และไม่ได้เสนอตัวเอง

“ให้พวกเจ้าสามคนเข้ามาทีเดียวเป็นเช่นไร!?” จ้าวเฟิงเอ่ยเยาะ

“หุบปาก!”

“จองหอง!”

เป่ยม่อและฉวนเฉินตวาดออกมาพร้อมกัน

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงย่อมไม่ต้องการที่จะสู้กับทั้งสามพร้อมกัน เขาไม่ได้จองหองเพียงนั้น และแม้ว่าเขาจะต้องการ ทั้งสามก็ไม่ทำเช่นนั้น

“ศิษย์น้องฉวน เจ้าไปก่อนแล้วทดสอบความแข็งแกร่งของเขา” หยวนจื่อเอ่ยสั่ง

“ได้”

แม้ว่าฉวนเฉินจะไม่เต็มใจ เขาก็ยังคงตอบรับ

บนลานประลอง

จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับฉวนเฉิน

มันมีศิษย์จำนวนมากที่มาถึงหลังจจากได้ยินว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้น

ดวงตาสองคู่ต่างมีความรู้สึกซับซ้อน

โดยเฉพาะฉวนเฉิน ก่อนหน้ายามที่เขาไปยังตำหนักกว่านจวิน เขาเหนือกว่าเพียงใดกัน?

ในยามนั้น เขาไม่แม้แต่จะมองไปยังจ้าวเฟิงตรงๆ เขาไม่แม้แต่จะจดจำอีกฝ่ายได้เสียด้วยซ้ำ บัดนี้ หัวของชายหนุ่มเจ็บแปล๊บ มีความกังวลและหวาดกลัว

มันมิใช่ว่าจ้าวเฟิงและฉวนเฉินไม่เคยสู้กันมาก่อน พวกเขาได้ปะทะกันมาแล้วในการทดสอบ ทว่าในที่สุดแล้ว ฉวนเฉินก็ถูกหลอก

“ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่ฉวนเฉิน ท่านต้องการให้ข้าออมมือให้หรือไม่?”

ดวงตาของจ้าวเฟิงแหลมคมเพียงใดกัน? เขาจับประกายล่าถอยในดวงตาของฉวนเฉินได้แล้ว อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมีความตั้งใจสู้จริงๆ

“หุบปาก! นี่ไม่ใช่การต่อสู้ด้วยวาจา!” ฉวนเฉินตวาด

เขาชักดาบของเขาและวาดไปทางจ้าวเฟิงปรากฏรอยบาดขึ้นบนพื้นลานประลองสีดำ หินนี้นั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าอาวุธชั้นมนุษย์ระดับต่ำเสียอีก

“เป็นการโจมตีที่ทรงพลังอันใดเช่นนี้!”

เหล่าศิษย์ด้านล่างเดาะลิ้น

อาวุธที่ฉวนเฉินถืออยู่ในขณะนี้คืออาวุธมนุษย์ระดับกลางลและตัวเขาเองก็ได้ฝึกวิชาชั้นมนุษย์ระดับสูง ยามที่เขาต่อสู้กับเป่ยม่อก่อนหน้า เขาไม่ได้ใช้อาวุธ

“ฮี่ฮี่ฮี่ ท่านเชื่อว่าข้าจะสามารถชนะได้ด้วยเพียงการ ‘ใช้วาจา’ เช่นนั้นหรือ?” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงแผ่วเบา

ฟุ่บ!

ร่างของเด็กหนุ่มพลันหายไปพร้อมกับที่เขาหลบการโจมตีนั้น

“อย่าได้จองหองไป หากเจ้ามีความสามารถ ก็อย่าได้ใช้มือของเจ้า” ฉวนเฉินตวาด

“แน่นอน ข้าจะแสดงให้ท่านดู”

จ้าวเฟิงยืนเอามือไพล่หลัง สูดลมหายใจลึก

กี๊

เด็กหนุ่มเปิดปากของเขาออกก่อนที่พลังจิตล่องหนจะพุ่งไปยังร่างของคู่ต่อสู้ ทุกที่ๆ การโจมตีพลังจิตเสียงนั้นไปจะปรากฏเสียงราวกับฟ้าผ่า

เฮือก!

ราวกับว่าฉวนเฉินได้ถูกฟ้าผ่า ร่างของเขาสั่นสะท้าน โลหิตในกายเดือดพล่าน กระบวนท่าก่อนหน้าแทบทำให้เขากระอักเลือด

การโจมตีพลังจิตเสียงของจ้าวเฟิงได้มุ่งตรงไปยังดวงวิญญาณ และใช้แสงสั่นสะเทือนรุนแรงในการช๊อตร่างกาย

หลังจากได้รับมรดกอัสนี จ้าวเฟิงก็ใช้มันเป็นพื้นฐานให้กับทุกอย่าง กระทั่งการโจมตีพลังจิตเสียงนี้ก็ยังมีเสียงครืนครางของสายฟ้า

นอกจากนั้น ฉวนเฉินไม่ได้มีแรงใจมุ่งมั่นอันใด เขาอ่อนแอกว่าเป่ยม่อและหลินฝานนัก ดังนั้นเพียงแค่การโจมตีพลังจิตเพียงครั้งเดียวก็ได้ทำให้ชายหนุ่มสะดุดและเกือบกระอักโลหิต

กี้! กี้!

ฉวนเฉินพลันกระอักโลหิตออกคำโตพร้อมกับที่ใบหน้ากลายเป็นขาวซีด พลังจิตนับเป็นจุดอ่อนของเขาอยู่แล้ว และบัดนี้การโจมตีด้วยเสียงของจ้าวเฟิงก็แข็งแกร่งกว่ายามที่อยู่ในการทดสอบ โดยเฉพาะหลังจากที่หลอมรวมมันเข้ากับมรดกอัสนีเล็กน้อย

“นี่เป็นไปได้อย่างไร!?”

“ศิษย์น้องจ้าวไม่แม้แต่จะขยับมือ เพียงแค่ปากของเขาก็ทำให้ฉวนเฉินกระอักเลือดได้แล้ว!”

เหล่าผู้ชมนิ่งอึ้ง

“ศิษย์น้องฉวน ใช้ปราณแท้ของเจ้าปกป้องใบหูและส่วนเปราะบางอื่นๆ” หยวนจื่อเอ่ย

เขารู้ว่าการโจมตีพลังจิตเสียงของจ้าวเฟิงนั้นใช้เสียงในการโจมตี

“ด้วยความตั้งมั่นอันอ่อนแอของเขา แม้ว่าเขาจะใช้ปราณแท้ในการป้องกัน มันก็สามารถกันได้เพียงสิบถึงยี่สิบส่วนในร้อยส่วนของความเสียหายเท่านั้น” จ้าวเฟิงเอ่ย

ในการโจมตีพลังจิตเสียงนั้น ส่วนที่เป็นพลังจิตคือสิ่งที่ยากจะต่อต้าน มันทำให้คนผู้หนึ่งลนลาน และภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น พวกเขาจะสามารถป้องกันได้อย่างเต็มที่ได้อย่างไร?

หากเป็นผู้อื่นที่มีพลังใจอันแรงกล้าและพลังฝึกตนสูง ผลของการโจมตีพลังจิตเสียงของจ้าวเฟิงย่อมมีพลังลดลงอย่างน้อยกึ่งหนึ่ง

โชคร้ายนักที่ฉวนเฉินมิใช่ ในทางกลับกัน เขากลับหวาดกลัวจ้าวเฟิงมากยิ่งขึ้นไปอีก

กี้… กี้… กี้…

จ้าวเฟิงพ่นการโจมตีออกไปอีกสองสามครั้ง

ตุบ!

โลหิตไหลออกจากหูและจมูกของฉวนเฉินก่อนที่ชายหนุ่มจะสลบไป

“อ่อนแอยิ่ง”

จ้าวเฟิงสั่นศีรษะและคิดว่าเขานั้นมีพรสวรรค์ในเส้นทางแห่งพลังจิตโดยแท้ แต่กระทั่งตำหนักยอดนภาก็ไม่มีมรดกที่เหมาะสมแก่เขา

มรดกอัสนีเป็นเพียงตัวเลือกที่ดีที่สุดลำดับสองสำหรับเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!