บทที่ 207 : จุดจบ
มันเป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงได้ใช้พลังจิตโจมตีแบบเป็นแบบแผนจริงๆ และมันประสบความสำเร็จเกินคาด
ทั้งผู้อาวุโสหนึ่งและหลี่ฟูหลวนล้วนกล่าวถูกต้อง พรสวรรค์ที่แท้จริงของจ้าวเฟิงคือสิ่งนี้
ในเวลาเพียงสองสามวัน เขาก็ได้เริ่มเข้าใจรูปแบบพื้นฐานของเคล็ดควบคุมจิตใจแล้ว หากร่างในชุดคลุมยังมีชีวิตอยู่ มันอาจต้องฆ่าตัวตายด้วยการเอาหัวไปโขกกับเต้าหู้แล้ว หากโครงกระดูกลึกลับรู้ มันอาจไม่ล่าถอยอย่างรวดเร็วและนำตัวจ้าวเฟิงไปไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด
ในยามนั้น ระหว่างแมกไม้
“เหตุใดเจ้าจึงทรยศสำนักจันทร์สลาย?”
“ผู้เฒ่านี้ถูกบังคับ”
ใบหน้าของผู้เฒ่าเคราขาวเต็มไปด้วยความเคารพและหวาดกลัว
คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากัน สถานการณ์ดูจะซับซ้อนกว่าที่คาด ไม่เพียงชายชราจะถูกบีบบังคับให้ทรยศสำนักจันทร์สลาย อีกฝ่ายกระทั่งเกิดความหวาดกลัวและเชื่อฟังต่อวิหารโบราณ
เคล็ดควบคุมจิตใจนั้นลึกล้ำอย่างมาก และมันกระทั่งสามารถควบคุมจิตใจของผู้อื่นได้ ทว่าจ้าวเฟิงเพียงเริ่มเรียนรู้มัน และระดับของเขามิอาจนับได้ว่าใกล้เคียงร่างในชุดคลุมแม้แต่น้อย
“กองกำลังนี้มาจากที่ใด? ความสัมพันธ์ระหว่างวิหารโบราณและลัทธิมารจันทราชาดคือสิ่งใด?”
“ผู้เฒ่านี้เพียงทำตามคำสั่งและมิรู้ถึงที่มา รวมทั้งการคงอยู่ของลัทธิมารจันทราชาด…”
ชายชรามีสีหน้างุนงง
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงผู้ส่งสาร และไม่ได้อยู่ในวงใน อีกฝ่ายไม่รู้มากเท่าที่เขารู้
การเอ่ยถามอีกรอบได้ยืนยันความเคลือบแคลงของเด็กหนุ่ม
ผู้เฒ่าเคราขาวเป็นเพียงสมาชิกวงนอกที่ถูกควบคุมโดยลัทธิมารจันทราชาด และเป็นเพียงเหยื่อล่อ เป็นเบี้ยตัวหนึ่ง
จากที่ชายชรารู้ ทั้งสิบสามสำนักได้ถูกแทรกซึมโดยลัทธิมารจันทราชาด ทว่าทั้งหมดล้วนถูกจำกัดให้กลายเป็นเพียงศิษย์สายนอกเท่านั้น
ครึ่งวันต่อมา
ภายในห้องหนังสือของตำหนักกว่านจวิน
“ข้ามิอยากเชื่อว่าเจ้าได้กลายเป็นศิษย์หลัก ทั้งยังมีผู้อาวุโสหนึ่งคอยหนุนหลังในเวลาเพียงครึ่งปี”
ดวงตาของเจ้าเมืองกว่านจวินเต็มไปด้วยความยินดีและประหลาดใจ เขามิคาดว่าจ้าวเฟิงจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์เพียงนี้ยามที่เขาส่งอีกฝ่ายไปยังเทือกเขานภาจันทร์
ในยามนั้น เจ้าเมืองกว่านจวินคิดว่าโอกาสนั้นมีต่ำกว่าห้าสิบในร้อยส่วน และมันนับว่าดีที่สุดแล้ว
บัดนี้ ในเวลาเพียงครึ่งปี จ้าวเฟิงได้กลายเป็นศิษย์หลัก และกำลังจะเข้าร่วมในงานสามสำนัก
นอกจากจ้าวเฟิงแล้ว ในห้องยังคงปรากฏร่างของชายชราเคราขาวด้วย
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเอ่ยบอกเจ้าเมืองกว่านจวินเกี่ยวกับภารกิจ และเมื่อได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็ตื่นตะลึงไป ไม่เพียงจ้าวเฟิงจะแสดงความแข็งแกร่งออกมา ทว่ายังเกี่ยวกับแขนขาของลัทธิมารจันทราชาดด้วย
“ข้ามิอยากเชื่อว่ายังคงมีผู้ที่อยู่ในระดับหัวหน้าหมู่ตึกหลงเหลืออยู่ภายในแคว้นเมฆา”
เจ้าเมืองกว่านจวินอึ้งตะลึง
จนกระทั่งบัดนี้ จ้าวเฟิงยังคงไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของโครงกระดูกลึกลับ จะอย่างไรก็ตาม ดวงตาซ้ายของเขาก็ทำได้เพียงมอง มิใช่รับฟัง
จากท่าทีของผู้คุ้มกันศพโลหิตที่มีต่อโครงกระดูก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นอาจเป็นหัวหน้าหมู่ตึกก็เป็นได้
ก่อนหน้ายามที่ลัทธิมารจันทราชาดยังอยู่ที่จุดสูงสุด มันมีทั้งหมด 108 หมู่ตึก โดยที่ไม่ว่าจะเป็นหมู่ตึกใดก็อาจทำลายสิบสามสำนักได้
ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงไม่คิดว่าโครงกระดูกจะกระทั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า หัวหน้าตำหนัก
“ท่านอาจารย์ วิหารโบราณเป็นสำนักเช่นใดกัน?” จ้าวเฟิงพลันเอ่ยถามขึ้น
สีหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวินเคร่งเครียด
“วิหารโบราณครองอันดับสองจากทั้งสิบสามสำนัก และเป็นสำนักที่ลึกลับที่สุด ตัวสำนักได้อยู่บางแห่งในส่วนลึกของป่าเมฆาคล้อย แทบไม่มีผู้ใดรู้ตำแหน่งที่ตั้งที่แท้จริง”
“ลึกลับยิ่ง”
จ้าวเฟิงเดาะลิ้นอย่างช่วยไม่ได้
สำนักที่สามารถหลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของป่าเมฆาคล้อย
“จุดแข็งของวิหารโบราณคือพลังจิต และแม้ว่ามันจะไม่ปกตินัก พวกเขาก็จะรับศิษย์เพียงไม่กี่คนต่อหนึ่งรุ่น จำนวนคนของวิหารโบราณนั้นมิเกินหนึ่งร้อย อาจกระทั่งน้อยกว่า…” เจ้าเมืองกว่านจวินอธิบาย
จ้าวเฟิงจมลึกในห้วงภวังค์ เหล่าผู้ที่มีพรสวรรค์ในเส้นทางแห่งพลังจิตนั้นหายากยิ่ง ยากเสียจนพวกเขาสามารถรับคนได้เพียงไม่กี่คนต่อหนึ่งรุ่น มันราวกับการตามหาผู้คนที่มีพรสวรรค์ในระดับเดียวกับเป่ยม่อ
“ทว่าอย่าได้ดูแคลนวิหารโบราณไป แม้ว่าพวกเขาจะรับศิษย์ไม่มาก พลังโดยรวมกลับอยู่ที่ลำดับสองจากสิบสามสำนัก ร่างในชุดคลุมลึกลับในวันนั้นที่ได้ควบคุมกองทัพสัตว์อสูรและโจมตีนครกว่านจวินก็เป็นหนึ่งในคนของวิหารโบราณ” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยเพิ่มด้วยความเคร่งเครียด กังวลถึงสำนักนี้อย่างชัดเจน
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มยามที่ได้ยินเกี่ยวกับร่างในชุดคลุม ทว่ามิได้เอ่ยสิ่งใด หากเจ้าเมืองกว่านจวินรู้ว่าร่างในชุดคลุมถูกจัดการโดยเขา ผู้ใดจะรู้เล่าว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร?
ทว่าความลึกลับของวิหารโบราณได้สร้างความเคลือบแคลงแก่จ้าวเฟิง
เขามักจะรู้สึกถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่างสำนักวิหารโบราณและลัทธิมารจันทราชาด
ตามหลักเหตุผลแล้ว สำนักลึกลับที่สันทัดในด้านพลังจิตย่อมไม่ถูกควบคุมโดยง่าย หรือมิเช่นนั้นสิบสามสำนักย่อมถูกทำลายย่อยยับไปแล้ว
ในด้านของการแทรกซึม สำนักวิหารโบราณก็นับว่ายากเย็นที่สุด
แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นการคาดเดาและวิเคราะห์ของจ้าวเฟิง ไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ใดๆ ดังนั้นแล้วจึงไม่อาจยืนยันได้
หากเขาเริ่มแพร่กระจายข่าวลือ สำนักจันทร์สลายจะเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันหนักหน่วงจากสำนักวิหารโบราณ
“ท่านอาจารย์ งานสามสำนักจะเริ่มในไม่ช้า ศิษย์คงต้องไปแล้ว”
จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะไม่รั้งอยู่ที่ตำหนักกว่านจวินนานนัก
งานสามสำนักคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้ แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ได้รู้สึกเร่งร้อนอันใด ผู้อาวุโสหนึ่งกลับมิเป็นเช่นนั้น
“ดี ดี! งานสามสำนัก! ดูเหมือนว่าข้าได้ดูแคลนความแข็งแกร่งของเจ้าไปแล้ว”
เจ้าเมืองกว่านจวินไม่อาจเก็บกักความตื่นเต้นเอาไว้ได้ งานสามสำนักเป็นเพียงตำนานสำหรับเขายามเมื่อยังเป็นศิษย์สายนอก
“เฟิงเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าสามารถเข้าร่วมงานสามสำนักได้แล้ว นั่นหมายความว่าเจ้ายังมีโอกาสสูงในการเข้าร่วมงานสิบสามสำนักพันธมิตรในภายหลัง เท่าที่ข้ารู้ งานสามสำนักเป็นเพียงการประลองระหว่างสำนักเพื่อนบ้านทั้งสาม งานสำนักพันธมิตรนั้นคือเวทีที่แท้จริงสำหรับเหล่าอัจฉริยะ มันคือการต่อสู้ของเหล่าอัจฉริยะ กระทั่งเป่ยม่ออาจมิใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์สูงสุดที่นั่น”
ใบหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวินเต็มไปด้วยความหวัง
งานสามสำนักและงานสิบสามสำนักพันธมิตรนั้นเคยเป็นความฝันของเขา ทว่าเพราะขีดจำกัดของพรสวรรค์ จึงไม่มีความฝันใดที่สำเร็จ
“ท่านอาจารย์ ผ่อนคลายเถอะ ศิษย์จะนำชัยชนะกลับมาทั้งหมด” จ้าวเฟิงเอ่ย
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงจากไปพร้อมกับผู้เฒ่าเคราขาวที่ติดตามไปเบื้องหลังราวกับข้ารับใช้
ดวงตาของเจ้าเมืองกว่านจวินพลันมองเห็นห่อของบนโต๊ะ เขาเปิดมันออก ภายในปรากฏยาจิตวิญญาณจำนวนมาก รวมทั้งวิชาจำหนึ่ง และกระทั่งมีอาวุธชั้นมนุษย์ระดับกลางสองชิ้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเจ้าเมืองกว่านจวินพลันแดงก่ำ ทว่าเขามิรู้ว่ามันมาจากความขอบคุณหรือซาบซึ้ง
ในคืนเดียวกัน
“นายท่านของข้า บุคคลลึกลับได้ทิ้งบางอย่างไว้ที่ขั้นบันไดให้กับท่าน”
หนึ่งในกองกำลังกว่านจวินค้อมคำนับก่อนจะส่งกล่องโลหะให้ผู้เป็นนาย
เจ้าเมืองกว่านจวินเปิดมันออก ก่อนจะพบว่ามันมียาจิตวิญญาณและวิชาจำนวนมาก แม้ว่ามันจะไม่มีค่ามากเทียบเท่ากับของที่จ้าวเฟิงให้ มันก็ยังคงมีจำนวนมาก
ใต้กล่องโลหะนั้นปรากฏจดหมายฉบับหนึ่ง
“สักวันข้าจะนำศีรษะของผู้อาวุโสหยุนไห่มอบให้กับท่านอาจารย์
จาก เป่ยม่อ”
เจ้าเมืองกว่านจวินสูดลมหายใจเย็นเยียบและพลันฉีกกระดาษนั้นเป็นผุยผง
“เฟิงเอ๋อร์… ม่อเอ๋อร์… เป็นโชคของข้าที่มีเจ้าสองคนเป็นศิษย์ ข้าไม่มีสิ่งใดให้เสียใจอีกต่อไป หยุนไห่ เจ้าอาจมีชีวิตที่งดงาม ทว่าเจ้าแพ้แล้ว แพ้…”
น้ำตาได้ไหลอาบใบหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวินที่แทบจะเสียสติไป
สำนักจันทร์สลาย
เหลือเวลาเพียงสามวันก่อนที่จะถึงงานสามสำนัก
ในวันนี้ จ้าวเฟิงได้กลับมาและส่งตัวผู้เฒ่าเคราขาวให้กับรองหัวหน้าตำหนักหลี่
“ในเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา ได้มีข่าวเกี่ยวกับการแทรกซึมของลัทธิมารจันทราชาดในสิบสามสำนัก แม้ว่าลัทธิมารจันทราชาดจะพยายามยืนหยัดขึ้นหลายครั้งในเวลาร้อยปีที่ผ่านมา พวกมันก็มักจะถูกจัดการโดยกองกำลังใหญ่ในทวีปเหนือ กองกำลังเล็กๆ เช่นเราเพียงแค่ต้องปกป้องศิษย์หลักของเราเท่านั้น…”
รองหัวหน้าตำหนักหลี่ไม่ได้ตกใจกับผลลัพธ์ของภารกิจ
จ้าวเฟิงตื่นตะลึง มันมีโอกาสที่หัวหน้าหมู่ตึกจะอยู่ที่นี่
“ถูกแล้ว เจ้าเพียงเอ่ยว่ามัน ‘อาจจะ’ ข้าจะรายงานมันไปให้สำนัก ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน เพราะการปรากฏตัวของเจ้า ที่กบดานของลัทธิมารจันทราชาดย่อมเปลี่ยนแปลงไป” รองหัวหน้าตำหนักหลี่เอ่ยอย่างมั่นใจ
ทั้งจ้าวเฟิงและรองหัวหน้าตำหนักหลี่มิรู้ว่าโครงกระดูกลึกลับนั้นไม่ใช่หัวหน้าหมู่ตึก แต่เป็นจ้าวตำหนักผู้หนึ่ง
ลัทธิมารจันทราชาดได้ถูกกล่าวขานไว้ว่ามีทั้งหมด 12 ตำหนัก 108 หมู่ตึก
จ้าวตำหนักนั้นสามารถที่จะสะเทือนทวีปเหนือได้ และสามารถทำลายสำนักเล็กๆ ได้ราวกับเด็กเล่น
โชคดีที่สิบสามสำนักนั้นอ่อนแอจนเกินไปในสายตาของพวกมัน และมันไม่มีประโยชน์อันใดในการทำลายสถานที่แห่งนี้
จ้าวเฟิงคิดว่า แม้กระทั่งระดับสูงของสำนักยังไม่ใส่ใจ เหตุใดข้าจึงต้องกระทำ?
ทว่าเขาก็ยังคงรายงานทุกสิ่งแก่ผู้อาวุโสหนึ่ง
“เจ้าหมายความว่า… หนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักจันทร์เงินอาจถูกควบคุมโดยลัทธิมารจันทราชาด?”
ผู้อาวุโสหนึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเรื่องนี้ เพราะหากมันมีสิ่งมีชีวิตที่น่าพรั่นพรึงเช่นนั้นอยู่จริง จ้าวเฟิงคงไม่อาจล่าถอยมาได้โดยไร้ซึ่งอันตรายใดๆ
ในวันเดียวกัน
สำนักจันทร์สลายได้ส่งผู้อาวุโสสองคนและยอดฝีมือจำนวนมากไปเพื่อสำรวจวิหารโบราณ ทว่าสถานที่แห่งนั้นได้ถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว
มันไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถทำได้
ความสนใจของสำนักจันทร์สลายในยามนี้คืองานสามสำนัก และในเวลานั้น ทั้งสามสำนักจะถกเถียงกันในหลายๆ เรื่อง รวมทั้งวิธีการต่อกรกับสำนักจันทร์เงินด้วย
จ้าวเฟิงไม่ได้ใส่ใจ มันไม่สำคัญว่าโลกจะวุ่นวายเพียงใด มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะแก้ไขทุกอย่าง
ในเวลาเสี้ยวพริบตา สามวันได้ผ่านพ้นไป และจ้าวเฟิงได้มีความพัฒนาในด้านพลังจิตมากขึ้น
ในยามนี้ เขากำลังควบคุมปักษาที่โบยบินอยู่ด้วยดวงตาซ้ายของเขา
เปรี้ยง!
ยามเมื่อปักษาตัวนั้นเข้าไปในระยะของตำหนักยอดนภา มันก็กลับกลายเป็นฝุ่นไปด้วยสายฟ้า
หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน ดูราวกับสำนึกรู้บางอย่าง เมื่อได้ลิ้มรสสายฟ้าด้วยตนเอง ความเข้าใจของเขาในมรดกอัสนีก็ล้ำลึกยิ่งขึ้น
เด็กหนุ่มคลายฝ่ามือของเขาออก ประกายไฟฟ้าเล็กๆ จำนวนมากได้ปรากฏขึ้น
ในที่สุดเขาก็ทำความเข้าใจหนึ่งจากสิบส่วนของชั้นแรกของมรดกอัสนีได้แล้ว
“ศิษย์น้องจ้าว ท่านอาจารย์ต้องการพบเจ้า งานสามสำนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้น”
นอกสอนได้ปรากฏเสียงของหยางก่านขึ้น