บทที่ 215 : พลังฝึกตน
คำชี้แนะของอ้าวเยว่เทียนต่อจ้าวเฟิงนั้นทั้งเถรตรงและหยาบคาย
การตอบสนองของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นเป็นเช่นเดียวกับเป่ยม่อ ไร้ความรู้สึกและคำตอบรับใดๆ ราวกับว่าเขาเป็นเพียงหุ่นไม้ตัวหนึ่ง
ศิษย์ที่ได้รับการชี้แนะจากอ้าวเยว่เทียนล้วนยอมรับมันไม่ว่ามันจะเลวร้ายเพียงใด
อีกทั้งในสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนล้วนถูกอ้าวเยว่เทียนพูดจาดูถูกไม่มีชิ้นดี
คนจากสำนักจันทร์เงินนั้นกระทั่งแย้มยิ้มและเอ่ยชื่นชมเขา
ผู้แข็งแกร่งกำหนดชะตา
นี่คือกฎของยุทธภพ
ขนาดการผายลมของผู้แข็งแกร่งก็ยังนับว่าหอม
อ้าวเยว่เทียนยืนอยู่บนจุดสูงสุด มีคุณสมบัติที่จะชี้แนะผู้อื่น ตักเตือนจุดด้อยของแต่ละคน
“ศิษย์น้องจ้าว ศิษย์น้องเป่ย ศิษย์น้องเยว่กล่าวได้ถูกต้อง เราควรยอมรับและเรียนรู้จากมัน มีเพียงเท่านั้นที่เราจะพัฒนาได้”
หยางกานคิดว่าจ้าวเฟิงและเป่ยม่อไม่ยินดี และเริ่มที่จะเอ่ยให้กำลังใจทั้งสอง
แม้ว่าทุกคนจะคิดว่าอ้าวเยว่เทียนนั้นเย่อหยิ่ง พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเอ่ยได้ถูกต้อง
ทว่าหยางกานไม่รู้ว่าเหตุผลที่จ้าวเฟิงและเป่ยม่อไม่เอ่ยตอบนั้นไม่ใช่เพราะทั้งสองไม่ยินดี แต่เป็นเพราะพวกเขาเกียจคร้านเกินกว่าที่จะเอ่ยตอบ
เป่ยม่อมักจะไร้อารมณ์อยู่เสมอ และเขารู้ว่าสิ่งที่อ้าวเยว่เทียนเอ่ยนั้นมีเหตุผล
ทว่าเขาไม่ชมชอบอีกฝ่ายเพราะเขาได้ท้าประลอง ทว่าอีกฝ่ายกลับดูแคลนเขาเกินกว่าที่จะต่อสู้
นี่นับว่าได้สร้างความขุ่นเคืองแก่เป่ยม่อ
สำหรับจ้าวเฟิง
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบอ้าวเยว่เทียน เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยอ้างไร้สาระ
ฝ่ามือวายุอัสนีนั้นแต่เดิมเป็นเพียงวิชาที่ไม่สมบูรณ์ และแม้เด็กหนุ่มพยายามที่จะพัฒนามัน เขาก็ไม่กล้าใช้มรดกอัสนีทั้งหมดของเขากับมัน ดังนั้นแล้วมันจึงดูหยาบกระด้าง
นั่นเป็นเหตุผลให้อ้าวเยว่เทียนเอ่ยว่าการใช้สายฟ้าของเด็กหนุ่มนั้นเป็นการกระทำลวกๆ
นอกจากนั้น
อ้าวเยว่เทียนได้เอ่ยว่าวิชาพลังจิตของจ้าวเฟิงนั้นย่ำแย่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคนของวิหารโบราณ
จ้าวเฟิงเรียนรู้วิชาพลังจิตนานเท่าใดกัน?
ความพัฒนาที่เขาได้รับในเวลาไม่กี่วัน เทียบกับของคนอื่นนับสิบปี
หากอัจฉริยะจากวิหารโบราณรับรู้ พวกเขาย่อมค้นหาเต้าหู้ชิ้นหนึ่งและฆ่าตัวตายด้วยมัน
ทว่าอ้าวเยว่เทียนไม่ได้รู้ลึกนัก และเขาได้เทียบพลังจิตของจ้าวเฟิงที่เรียนรู้มาเพียงไม่กี่วัน กับอัจฉริยะจากวิหารโบราณ เป็นเช่นการเปรียบเทียบเด็กหัดเดินกับผู้ใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
“ดูเหมือนว่าสิ่งที่อ้าวเยว่เทียนเอ่ยจะ เป็นความจริงทั้งหมด ทว่าผู้คนไม่ชมชอบการได้ยินความจริงนัก โดยเฉพาะการเอ่ยมันอย่างหยาบคายเช่นนั้น”
จ้าวเฟิงนับถือดวงตาที่เฉียบแหลมของอีกฝ่าย
นั่นหมายความว่า
จุดอ่อนของทุกคนได้ถูกพบเห็นโดยหัวหน้าศิษย์แห่งสำนักวิญญาณจันทร์ผู้นี้
ความแข็งแกร่งและประสบการณ์ของเขานั้นเหนือกว่าผู้อื่นนัก มันยังเป็นสาเหตุให้เขาดูแคลนการเข้าร่วมงานสามสำนักด้วย
ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถเป็นหนึ่งในสี่ดาราได้
จ้าวเฟิงไม่ได้ไม่พอใจแม้แต่น้อย สิ่งที่อ้าวเยว่เทียนเอ่ยเป็นความจริง แต่อีกฝ่ายไม่ได้รู้ลึกนัก และได้ดูถูกเขา
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่อ้าวจะอธิบายเพิ่มได้หรือไม่?”
ความสนใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวเฟิง
เขาสงสัยถึงสิ่งที่อ้าวเยว่เทียนเอ่ยถึงเกี่ยวกับ “การเอาชนะคู่ต่อสู้ เพียงหนึ่งการมองนั้น”
“หลินทงคือผู้ที่ลึกลับและน่าสะพรึงที่สุดในสี่ดารา เขามีสายเลือดที่พิเศษ ทั้งยังฝึกฝนวิชาที่ล้ำค่าที่สุดของวิหารโบราณ เนตรลบสวรรค์ ยามเมื่อเขาใช้เนตรลบสวรรค์ เพียงหนึ่งการมองก็ทำให้คู่ต่อสู้พังทลายลง”
ยามเมื่ออ้าวเยว่เทียนเอ่ยถึงหลินทง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวล
“เพียงมองหนึ่งครั้งก็ชนะ น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!”
“แปลกยิ่ง มันจะมีวิชาเช่นนั้นในโลกนี้ได้อย่างไร?”
เหล่าศิษย์ล้วนอุทานออกมา
“เพียงแค่เขาใช้เนตรลบสวรรค์ก็ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านได้ ความจริงแล้ว กระทั่งผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดก็ไม่อาจป้องกันการมองหนึ่งครั้งของเขาได้”
อ้าวเยว่เทียนสูดลมหายใจลึก
เนตรลบสวรรค์?
จ้าวเฟิงพึมพำอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะได้รับเคล็ดควบคุมจิตใจมา มันย่อมไม่มีทางดีเทียบเท่ากับเนตรลบสวรรค์ได้
คนสามารถจินตนาการได้ว่าหลินตงประสบความสำเร็จสูงนักในด้านพลังจิต
“หากหลินทงครองอันดับสองยังน่ากลัวเพียงนี้ อย่างนั้นชางหยูเยว่ผู้ครองอันดับหนึ่งจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”
ทุกคนเต็มไปด้วยกังวลและหวาดระแวงต่อสี่ดารา
อ้าวเยว่เทียนคือตัวอย่าง เขาเพียงแสดงส่วนหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งในครานี้
และในสี่ดารานั้น อ้าวเยว่เทียนครองอันดับสุดท้าย
ชางหยูเยว่ หลินทง สวี๋จึเสวี๋ยน และอ้าวเยว่เทียน
ทุกคนต่างจดจำชื่อทั้งสี่นี้ ในบรรดาศิษย์ที่ปรากฏตัวอยู่ แทบจะทุกคนล้วนมีสิทธิที่จะเข้าร่วมงานพันธมิตร และการเข้าใจสถานการณ์ของคู่ต่อสู้ก่อนนับเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
งานน้ำชาได้สิ้นสุดลง ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่างานสามสำนักได้สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน
“เอาล่ะทุกคน เราจะเจอกันในอีกห้าเดือนในงานพันธมิตร”
อ้าวเยว่เทียนยืนขึ้นและประกาศ
ในคืนเดียวกัน ทุกคนยังพักอยู่ที่สำนักวิญญาณจันทร์
ใกล้บ่อน้ำ จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยเดินเคียงข้างกัน ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ร่างของทั้งสองราวกับยืดยาวออก
จ้าวเฟิงคำนวณเวลา และพบว่าเขาเพิ่งจะอายุสิบห้าปี
ในทวีปนี้ อายุสิบหกหมายถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในขณะที่อายุสิบห้านั้นหมายความว่าเขายังคงเป็นเด็กอยู่
ทว่าจ้าวเฟิงมักจะเยือกเย็น ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขาแก่กว่าอายุจริง
“ศิษย์พี่จ้าวเฟิง ท่านมั่นใจหรือว่าดวงตาของท่านไม่เป็นอันใด?”
จ้าวหยูเฟยคุ้นเคยกับการเรียกอีกฝ่ายเช่นนี้ แม้ว่านางจะแก่กว่าเด็กหนุ่มก็ตาม
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบางและนำที่ปิดตาโลหะออก เผยดวงตาสีเขียวครามบริสุทธิ์
ยามเมื่อจ้าวหยูเฟยเห็นดวงตาข้างนั้น หัวใจของนางได้สั่นสะท้าน พลังสายเลือดของนางราวกับรับรู้ได้ถึงบางอย่าง
ตึก ตึก ตึก…
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าโลหิตในดวงตาข้างซ้ายของเขาไหลวนเร็วขึ้น
เด็กหนุ่มใส่ที่ปิดตากลับเข้าไปในไม่ช้า
“ที่แท้ศิษย์พี่จ้าวเฟิงเองก็มีพลังสายเลือด เช่นเดียวกับศิษย์พี่อ้าว”
จ้าวหยูเฟยมีความรู้สึกแปลกใจและอิจฉา
ในอดีต จ้าวเฟิงนั้นมีพรสวรรค์ธรรมดา ทว่าเขาสามารถเพิ่มพลังฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางสงสัยนัก
ทว่าบัดนี้ความสงสัยนั้นได้รับคำตอบแล้ว
ที่แท้จ้าวเฟิงมิใช่คนธรรมดา ทว่ามีสายเลือดที่หายาก
และจากการมองนั้น มันดูเหมือนว่าพลังสายเลือดของเด็กหนุ่มจะแข็งแกร่งยิ่งนัก
“มิมีสิ่งใดที่ต้องอิจฉา ภายในของเจ้าเองก็ดูจะมีกลิ่นอายของสายเลือดที่พิเศษ นี่คือสิ่งที่ข้ารู้สึกได้”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
“จริงหรือ?”
จ้าวหยูเฟยอุทานออกมาด้วยความดีใจ ในความจริงนั้น นางเองก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดต่อการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเช่นกัน
ทั้งสองพูดคุยกันสักพักก่อนจะกลับไป
ในคืนนั้น
เมื่อดูร่างของจ้าวเฟิงค่อยๆ ห่างออกไป ความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของนาง
“ข้าเป็นอันใดสำหรับเขากัน?”
เช้าวันที่สอง
คนของสำนักจันทร์สลายปีนกลับขึ้นไปบนหลังของ”อินทรียักษ์ทองหม่น”เพื่อเดินทางกลับ
“มันยังคงเหลือเวลาอีกห้าเดือนสำหรับงานสิบสามสำนักพันธมิตร พวกเจ้าทุกคนต้องเตรียมตัว”
เสียงของผู้อาวุโสหนึ่งดังขึ้น
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิและเริ่มฝึกตนระหว่างเดินทางกลับ
เป่ยม่อและหยางกานเองก็ราวกับได้รับผลกระทบและใช้เวลาทั้งหมดในการทำความเข้าใจและสำนึกรู้
งานสามสำนักในครานี้ได้ทำให้อีกสองสำนักมองสำนักจันทร์สลายใหม่
ทว่าหยางกานและอีกสองคนเองก็ได้ถูกกระตุ้นโดยงานสามสำนัก
แรงกดดันที่อ้าวเยว่เทียนสร้างต่อพวกเขานั้นมากมายยิ่ง โดยเฉพาะชื่อของดาราที่แข็งแกร่งทั้งสี่
หยางกานไม่อาจยอมรับได้ว่าเขาสามารถติดเพียงหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกในงานพันธมิตรเท่านั้น
สำหรับเป่ยม่อ เขามีความรู้สึกโกรธเคืองต่ออ้าวเยว่เทียน ไม่มีผู้ใดเคยดูแคลนเกินกว่าจะต่อสู้กับเขา
จ้าวเฟิงไม่ค่อยได้รับผลกระทบเท่าใด ทว่าจับจุดและทิศทางของตนเองได้แล้ว
“จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของข้าคือพลังฝึกตนของข้านั้นต่ำเกินไป”
จ้าวเฟิงคิดในใจ
แม้ว่าเขาจะเด็กที่สุดในงานสามสำนักครานี้ และแสดงความสามารถได้ดีเยี่ยม เขาก็ยังคงถูกจำกัดด้วยพลังฝึกตนของเขา
ดังนั้นแล้ว
เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าเขาต้องมุ่งไปในทิศทางใดอย่างชัดเจน
หนึ่ง พลังฝึกตน มันคือพื้นฐานของทุกสิ่ง และเป็นสิ่งที่จำกัดเขาไว้
สอง มรดกอัสนี มันคือแก่นแท้ของวิชาของเขา และมันที่ว่างให้ขยับขยายอย่างมาก
สาม การค้นพบวิชาพลังจิต
จ้าวเฟิงมั่นใจในข้อที่สามว่าพรสวรรค์ในด้านพลังจิตของเขานั้นสูงส่งนัก
แน่นอนว่ามันคือการยกระดับของดวงตาข้างซ้ายด้วย
จ้าวเฟิงได้มีความคิดที่จะหลอมรวมวิชาพลังจิตเขากับความสามารถของดวงตาซ้ายของเขาอยู่แล้ว
หนึ่งในสี่ดารา “หลินทง” ผู้ที่ฝึกฝนเนตรลบสวรรค์ มีความสามารถในการเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยการมองครั้งหนึ่ง มันเป็น”วิชาเนตรจิต”
และมันได้สร้างสำนึกรู้แก่จ้าวเฟิง
เมื่อกลับไปยังสำนัก
จ้าวเฟิงพลันปิดด่านฝึกตน
เผชิญหน้ากับเวทีที่แท้จริงของโลกนี้ เขาไม่กล้าที่จะประมาท
ความจริงนั้น ไม่ใช่เพียงเขาที่ฝึกฝนอย่างหนัก ทุกคนที่เข้าร่วมงานพันธมิตรเองก็เช่นกัน
เวลาห้าเดือน ไม่สั้นไม่ยาว
สำหรับเหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ทุกๆ ย่างก้าวในพลังฝึกตนล้วนยากลำบากขึ้น
เหมือนกับอ้าวเยว่เทียนและหยางกานที่เข้าสู่นภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณจะพบว่ามันยากยิ่งนัก มิต้องเอ่ยถึงการทะลวงขั้น กระทั่งจะมีการพัฒนาเล็กน้อยก็ถือว่าลำบากแล้ว
เมื่อเทียบกับพวกเขา
จ้าวเฟิงที่อยู่เพียงนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ มีช่องว่างให้พัฒนามากกว่า
หลังจากกลับมายังสำนัก
เพียงแค่หนึ่งเดือน จ้าวเฟิงก็ได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สี่ได้สำเร็จ
หลังจากการทดสอบยอดนภา จ้าวเฟิงได้มีทรัพยากรจำนวนมาก
และในฐานะของศิษย์หลักผู้หนึ่ง สำนักก็ได้มอบหลายสิ่งให้แก่เขา
โดยเฉพาะในช่วงนี้ สำนักได้ให้ความช่วยเหลือพวกเขามากว่าเดิมนัก
จ้าวเฟิงสามารถฝึกตนในบ่อพันบุปผาได้อย่างต่อเนื่อง
บ่อพันบุปผานั้นได้ถูกครอบคลุมด้วยค่ายกลกลั่นจิตวิญญาณ ทั้งตัวบ่อน้ำเองก็ได้ดึงดูดพลังงานจำนวนนับไม่ถ้วน
ประสิทธิภาพในการฝึกตนในบ่อพันบุปผานั้นสูงส่งยิ่ง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
มันเหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือนก่อนจะถึงงานสิบสามสำนักพันธมิตร
จ้าวเฟิงได้เข้าสู่นภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
แต่หลังจากเข้าสู่นภาที่ห้า ความพัฒนาในด้านพลังฝึกตนของเขาก็ได้เข้าสู่คอขวด เริ่มช้าลงกว่าเมื่อก่อน
ในครานี้ จ้าวเฟิงได้ทำความเข้าใจ”มรดกอัสนี” ระดับแรกไปกว่าสามสิบถึงสี่สิบส่วนจากร้อยส่วน มันไม่ใช่ชายขอบของสายฟ้าอีกต่อไป ทว่าสัมผัสได้ว่าเป็นส่วนลึกยิ่ง
ในทางกลับกัน ฝ่ามือวายุอัสนีของเขาก็สมบูรณ์มากขึ้นอีก ทั้งเด็กหนุ่มยังเข้าสู่ระดับหกได้สำเร็จ
ระดับหกคือระดับสูงสุด ชีวิตของจ้าวเฟิงไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่น้อยยามเมื่อเขาเข้าสู่ระดับนี้ และมันไม่มีโอกาสที่เขาจะดึงดูดสายฟ้ามา
ในด้านพลังจิต
เคล็ดควบคุมจิตใจของเขาได้ถูกเรียนรู้อย่างทะลุปรุโปร่งเมื่อสองเดือนก่อน
และเขาได้อ่านตำราที่มีประโยชน์ต่อพลังจิตไปจำนวนหนึ่ง
พลังฝึกตน มรดกอัสนี และพลังจิตล้วนเข้าสู่คอขวด
วันนี้
จ้าวเฟิงออกจากการปิดด่านฝึกตน