บทที่ 219 : คนโลภ
โครงกระดูกทั้งสามล้วนมีพลังเทียบเท่าได้กับศิษย์ที่สามารถเข้าร่วมงานสามสำนักได้
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของทั้งสาม กระทั่งจ้าวเฟิงยังถูกผลักดันให้ล่าถอยออกไปสองสามก้าว
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ดาบกระดูกทั้งสามฟาดฟันตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง เงาด้านหลังมลายหายไปในทันที
ฟุ่บ
ประกายสายฟ้าแล่นวูบในอากาศ ร่างๆ หนึ่งปรากฏขึ้นห่างออกไปหลายหลา
มันคือวิชาที่จ้าวเฟิงสร้างขึ้น ‘ย่างก้าวอัสนีมายา’ ใช้ภาพมัจฉามายาเป็นพื้นฐานแล้วหลอมรวมมรดกอัสนีเข้าไป
จ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะใช้วิชานี้ในงานสามสำนัก เพราะเขายังไม่คุ้นเคยกับวิชานี้เท่าใดนัก
ทว่าในเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ย่างก้าวอัสนีมายาของเขาได้สมบูรณ์แล้ว
โครงกระดูกทั้งสามมีพลังเทียบเท่านภาที่หก ทว่าไม่อาจกระทั่งแตะชายเสื้อของเด็กหนุ่มได้
ฝ่ามือวายุอัสนี!
ประกายสายฟ้าหลอมรวมกันที่ใจกลางฝ่ามือของจ้าวเฟิง สร้างเสียงคล้ายฟ้าร้องดังขึ้น
ตูมมม แคร่ก!
โครงกระดูกมนุษย์ทั้งสามพลันถูกผลักถอยโดยหนึ่งฝ่ามือของเขา
โครงกระดูกด้านหน้าสุดพลันกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำในขณะที่อีกสองตัวนั้นพังทลายจนไม่อาจจดจำรูปลักษณ์เก่าได้
แข็งแกร่งยิ่ง!
จ้าวเฟิงมองไปยังฝ่ามือของเขาอย่างยินดี
ฝ่ามือวายุอัสนีระดับหกนั้นน่าสะพรึงโดยแท้ มันแทบจะฆ่าโครงกระดูกที่เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนในนภาที่หกสามตัวได้ในเสี้ยววินาที!
ในพื้นที่ลึกลับนี้ จ้าวเฟิงไม่จำเป็นต้องปกปิดมรดกอัสนีของเขา
โครงกระดูกอีกสองตัวล้วนยับเยิน จ้าวเฟิงโบกมือ โยนกระแสไฟฟ้าไปยังพวกมัน
แคร่ก แคร่ก!
โครงกระดูกรูปร่างเหมือนมนุษย์ทั้งสองพังเป็นชิ้นๆ
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออก แม้ว่าโครงกระดูกทั้งสามจะดูแข็งแกร่ง แต่ก็ถูกพลังฝ่ามือวายุอัสนีของเขาควบคุมไว้ได้
การฆ่าสิ่งมีชีวิตในนภาที่หกสามตัวนั้นค่อนข้างจะฟังดูเกินเลยไปเสียหน่อย
เมื่อมองจากอีกมุมมองหนึ่ง จ้าวเฟิงจะสามารถฆ่าหยางกานสามคนในฝ่ามือด้วยได้หรือ? แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ มันดูจะไม่เป็นเช่นนั้น
หลังจากจัดการโครงกระดูกทั้งสามแล้ว จ้าวเฟิงก็เดินต่อไป
มันยังคงเหลืออีกหนึ่งร้อยหลาจึงจะถึงหลุมศพ
และเพราะเด็กหนุ่มนั้นระมัดระวังตัว เขาจึงให้ความสนใจกับชั้นกระดูกสีขาวใต้เท้าของเขาอย่างมาก
แคร่ก แคร่ก
โครงกระดูกสีขาวบนพื้นเริ่มที่จะขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง โครงกระดูกรูปร่างเหมือนมนุษย์เริ่มที่จะลุกขึ้น
“ตายซะ!”
ก่อนที่พวกมันจะสามารถปรากฏตัวขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ จ้าวเฟิงก็ใช้ฝ่ามือวายุอัสนีของเขา จัดการพวกมันตัวแล้วตัวเล่า
วิชาเคลื่อนไหวของเขา ‘ย่างก้าวอัสนีมายา’ จะสร้างประกายสายฟ้าขึ้นในอากาศทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว
กระทั่งโครงกระดูกมนุษย์สามถึงสี่ตัวปรากฏขึ้นตัวขึ้นพร้อมกัน จ้าวเฟิงก็สามารถฆ่าพวกมันได้ก่อนที่พวกมันจะลุกขึ้น
มันราวกับว่าเด็กหนุ่มกำลังเล่นเกมทุบตัวตุ่น เมื่อใดที่ตัวหนึ่งปรากฏขึ้น เขาก็จะโจมตีมัน
จ้าวเฟิงทำให้มันดูเหมือนง่าย
ทว่าหากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นในนภาที่ห้า พวกเขาย่อมพบว่ามันยากลำบากยิ่ง
จะอย่างไร ความเร็วของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวก็มากมายนัก ทั้งพลังของฝ่ามือวายุอัสนียังรุนแรง หนึ่งฝ่ามือสามารถทำลายโครงกระดูกหนึ่งตัว
ทีละเล็กทีละน้อย เด็กหนุ่มค่อยๆ มุ่งหน้าตรงไปยังหลุมศพอย่างเชื่องช้า
หนึ่งร้อยหลา…. เก้าสิบหลา… แปดสิบหลา…
ร่างของจ้าวเฟิงคืบคลานเข้าไปไกลทีละนิ้วพร้อมกับกวาดตาสำรวจรอบด้านและใต้เท้าของเขาอย่างละเอียด
ความแข็งแกร่งของโครงกระดูกในยามนี้เพิ่มขึ้น ส่วนมากอยู่ในนภาที่ห้าหรือหก ครั้งหนึ่งปรากฏตัวขึ้นนับสิบ
ทว่าโชคดีที่ย่างก้าวอัสนีมายาของจ้าวเฟิงนั้นรวดเร็วนัก โครงกระดูกเหล่านั้นจึงไม่อาจกระทั่งสัมผัสชายเสื้อของเขาได้
หลังจากเข้าไปในรัศมี 50 หลา จ้าวเฟิงก็พบโครงกระดูกมนุษย์ที่มีพลังเทียบเท่านภาที่เจ็ด
โครงกระดูกมนุษย์นี้สูงสองถึงสามหลา ในมือถือหอกหนาที่สร้างขึ้นจากกระดูก ยามเมื่อมันเหวี่ยงหอกจะปรากฏสายลมสีดำขึ้นครอบคลุมระยะนับสิบหลา
จ้าวเฟิงรู้สึกย่ำแย่ในครานี้ หากเขาถูกโจมตีตรงๆ เขาย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสหากไม่ตาย
นอกจากนั้น พลังป้องกันของโครงกระดูกมนุษย์ในนภาที่เจ็ดก็เพิ่มสูงขึ้นอีกระดับ
ฟุ่บ ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงใช้ย่างก้าวอัสนีมายาของเขาจนสุดขีดความสามารถและจัดการโครงกระดูกที่อ่อนแอกว่า ก่อนที่จะใช้ฝ่ามือวายุอัสนีของเขาต่อสู้กับโครงกระดูกตัวสุดท้าย
มังกรอัสนีวายุคลั่ง!
จ้าวเฟิงหลอมรวมสายลมและสายฟ้าเข้าด้วยกัน ส่งมังกรอัสนีคำรามตรงไปยังโครงกระดูกในนภาที่เจ็ด
กระดูกบนร่างของมันกลับกลายเป็นสีดำพร้อมกับปรากฏรอยแตกขึ้นหลายแห่ง
ไม่นาน โครงกระดูกในนภาที่เจ็ดที่ก็ล้มลง
จ้าวเฟิงหอบหายใจเล็กๆ ก่อนที่จะเดินหน้าต่อ
โครงกระดูกในนภาที่เจ็ดตัวหนึ่งและโครงกระดูกที่อ่อนแอกว่าจำนวนมากจะปรากฏขึ้นทุกๆ หลายหลา
ทำให้ฝีเท้าของเด็กหนุ่มต้องหยุดชะงักลง
อีกห้าสิบหลาสุดท้าย ทุกๆ สิบหลาจะปรากฏพลังมหาศาลสกัดกั้นเขาไว้
จ้าวเฟิงมองไปยังหลุมศพ ไม่กล้าที่จะกระโจนไปอย่างประมาท มีเพียงการเดินไปบนพื้นทีละนิดเท่านั้นจึงจะปลอดภัย
เมื่อเห็นท้องฟ้ามืดมิดลง เด็กหนุ่มก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กๆ
แต่เมื่อคิดดูแล้ว เป้าหมายของเขาในการออกมาก็คือการหาประสบการณ์การต่อสู้มิใช่หรือ?
พื้นที่ลึกลับเบื้องหน้าเขาอาจเต็มไปด้วยโชคลาภ โดยเฉพาะภายในหลุมศพ มันอาจมีสมบัติอยู่ภายใน ทว่าจ้าวเฟิงเข้าใจ ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเร่งรีบเพียงใด มันก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถกระทำได้
“ค่อยๆ ไปช้าๆ เถอะ”
หัวใจของจ้าวเฟิงค่อยๆ สงบนิ่งลงขณะที่เขานั่งลงบนพื้นและกินยาจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง
เมื่อพลังของเขาเข้าสู่สถานะพร้อมอีกครั้ง เขาจึงไปต่อ
ระยะสามสิบหลาสุดท้าย โครงกระดูกส่วนมากอยู่ในนภาที่เจ็ด
จ้าวเฟิงคืบคลานไปข้างหน้าช้าๆ อย่างระมัดระวัง
ย่างก้าวอัสนีมายาได้ลื่นไหลขึ้น ทั้งเด็กหนุ่มดูจะมีความพัฒนาในการใช้มรดกอัสนีอีกด้วย
แรกเริ่ม จ้าวเฟิงสามารถรับมือกับโครงกระดูกในนภาที่เจ็ดได้เพียงหนึ่งหรือสองตัวอย่างกล้ำกลืน บัดนี้มันได้เพิ่มขึ้นเป็นสามหรือสี่ตัวแล้ว
การเผชิญหน้ากับโครงกระดูกในนภาที่เจ็ดสี่ตัวพร้อมกันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้
มรดกอัสนี รวมทั้งการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงได้พัฒนาขึ้น พลังและความลื่นไหลต่อเนื่องของฝ่ามือวายุอัสนีเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
“มีเพียงแค่ผ่านการต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้นที่คนจะพัฒนามากที่สุด”
จ้าวเฟิงลอบยินดีอยู่ภายใน
สามวันต่อมา
จ้าวเฟิงเข้าไปสู่ระยะสิบหลาก่อนจะถึงหลุมศพ
ในยามนี้ โครงกระดูกที่น่าหวาดกลัวกว่าเก่าได้ปรากฏตัวออกมา กระดูกของมันมีประกายแสงสีเงิน ทั้งกลิ่นอายของมันยังเทียบเท่าได้กับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
สีหน้าของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงพร้อมกับตัดสินใจที่จะโจมตีก่อน เขาส่งฝ่ามือวายุอัสนีที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างออกไปอย่างรุนแรง
ทว่าโครงกระดูกที่ส่องประกายสีเงินนั้นสามารถลุกขึ้นยืนได้ แม้ว่าจะรับการโจมตีมากมายเข้าไปโดยตรงแต่ก็ไม่เป็นอะไรเลย
ตูมมม
แรงที่น่าพรั่นพรึงได้ส่งร่างของจ้าวเฟิงให้กระเด็นลอยออกไป กระอักเลือดออกมาคำโต
“หลังจากเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู้ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พลังโจมตีและป้องกันของมันล้วนเพิ่มขึ้น”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก จากนั้นจึงกระตุ้นพลังสายเลือดของเขา
พรึ่บ
ผ้าคลุมเงาหยินโบกสะบัด ร่างของจ้าวเฟิงได้กลายเป็นเส้นแสงสีครามที่มักจะปรากฏประกายสายฟ้าขึ้นเป็นระยะ
โครงกระดูกสีเงินนั้นราวกับถูกพายุขนาดเล็กพัดผ่าน
ความจริงแล้ว ความเร็วของจ้าวเฟิงมาจากการใช้ย่างก้าวอัสนีมายาและผ้าคลุมเงาหยิน ทำให้ความเร็วของเด็กหนุ่มเทียบเท่าได้กับนภาที่เจ็ด
ทว่า กระทั่งภายใต้สถานการณ์นี้ เขาก็ไม่อาจที่จะสลัดโครงกระดูกสีเงินออกไปได้
ยามเมื่อสิ่งมีชีวิตได้เข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ความสามารถของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้ว่ามันจะเป็นเพียงขั้นครึ่งก้าวก็ตาม
แม้ว่าจุดเด่นของโครงกระดูกสีเงินจะไม่ใช่ความเร็ว มันก็ยังคงรวดเร็วกว่าผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดทั่วไปอยู่เล็กน้อย
มีเพียงหลังจากที่เด็กหนุ่มทะยานตัวออกจากระยะหนึ่งร้อยหลา โครงกระดูกสีเงินจึงหยุดลงก่อนที่จะกลับไปยังสถานที่ที่มันจากมา
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออก ดูเหมือนว่าโครงกระดูกนี้จะไม่ยอมออกจากอาณาเขตแห่งนี้โดยง่าย
หลังจากพักผ่อนอยู่สองสามชั่วโมง อาการบาดเจ็บของจ้าวเฟิงก็หายดีทั้งหมด พลังเข้าสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
เด็กหนุ่มกลับไปเพื่อท้าทายโครงกระดูกสีเงินอีกครั้ง
ชั่วขณะต่อมา
พรวด!
จ้าวเฟิงกระอักโลหิตและกลับออกไป
ล้มเหลวอีกครั้ง
จ้าวเฟิงพยายามทั้งหมดเจ็ดหรือแปดครั้ง ใช้เวลาไปกว่าสองวัน ทว่ายังคงไม่อาจประมือกับโครงกระดูกสีเงินได้
แน่นอนว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นในระหว่างเวลาสองวันที่ผ่านมา ทำให้เขาสามารถแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับมันได้บ้าง
“มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะมันแบบซึ่งๆ หน้า หากโครงกระดูกนี้มีความเร็วเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตทั่วไปที่มีพลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และไม่ถูกจำกัดด้วยเขตแดน เช่นนั้นข้าย่อมต้องตายเป็นแน่แล้ว”
จ้าวเฟิงยอมแพ้ที่จะสู้กับอีกฝ่ายแบบซึ่งๆ หน้า
ไม่ช้าเด็กหนุ่มก็เกิดความคิดหนึ่งและนำคันศรหลัวซุยออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด
เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะส่งพลังสายเลือดและปราณแท้เข้าไปในคันศรหลัวซุย
ผึง ฟุ่บ ฟุ่บ
ศรหลัวซุย สามดอกพุ่งวาบส่องประกายเย็นเยียบตรงไปยังข้อต่อและจุดสำคัญของโครงกระดูก
หลังจากถูกโจมตี โครงกระดูกก็ไล่ตามมา ทว่าด้วยความเย็นที่มาพร้อมกับศรทำให้ความเร็วของมันลดลง
จ้าวเฟิงที่ยืนห่างออกไปห้าสิบหลาพลันวิ่งออกไปจากเขตหนึ่งร้อยหลาทันที
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ศรหลัวซุยย้อนกลับมาโดยอัตโนมัติพร้อมกับที่โครงกระดูกสีเงินกลับไปยังที่ที่มันจากมา
“ฮี่ฮี่”
จ้าวเฟิงดึงคันศรหลัวซุยออกมา จากนั้นจึงส่งการโจมตีไปยังหลังของโครงกระดูกตอนที่ความเร็วของมันยังคงลดลงอยู่
ไม่ช้า
จ้าวเฟิงได้ยิงศรออกไปนับสิบดอกแล้ว
สี่ชั่วโมงต่อมา
โครงกระดูกสี่เงินล้มลงบนพื้น จะอย่างไรก็ตาม จ้าวเฟิงก็ได้หลอมรวมพลังสายเลือดของเขาเข้าไปในคันศรหลัวซุยและไม่ว่าจะเป็นศรดอกใดก็ล้วนสามารถคุกคามผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดได้
เวลาสองสามวันต่อมา
จ้าวเฟิงจัดการพื้นที่สิบหลาสุดท้าย รวมทั้งโครงกระดูกสีเงินและโครงกระดูกในนภาที่เจ็ดอีกหลายตัว
ในที่สุด
เด็กหนุ่มมาถึงยังหน้าหลุมศพ
เบื้องหน้าเขาคือหลุมศพนับร้อยที่หันหน้าไปยังตรงกลาง ราวกับว่าพวกมันกำลังโค้งคำนับแด่จักรพรรดิ
เมี้ยว เมี้ยว!
ดวงตาสีดำของแมวขโมยตัวน้อยกลอกไปมา
จ้าวเฟิงคิดว่าด้วยนิสัยของแมวขโมยตัวน้อยแล้ว ในหลุมศพพวกนั้นย่อมมีสมบัติจำนวนมากเป็นแน่
เมื่อคิดถึงยามนี้ เขาก็ได้ใช้ดวงตาซ้ายสำรวจหลุมศพใกล้ๆ
ดวงตาซ้ายของเขาสามารถมองทะลุผ่านกำแพงและเห็นสภาพเบื้องล่างได้
ตัวอย่างเช่น ภายในนั้นได้ปรากฏโลงศพโลงหนึ่งพร้อมกับสมบัติที่จำนวนมากภายในหลุมศพที่ปิดอยู่
ทว่า ศพในหลุมศพนั้นล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังยามที่พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้วก็ยังคงปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมา ทำให้มนุษย์ไม่อาจหายใจได้
ศพเหล่านี้ยามมีชีวิตอยู่ล้วนอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเป็นอย่างน้อย
จ้าวเฟิงไม่ได้กระทำการผลีผลามใดๆ หลุมศพที่นี่แปลกประหลาดและชั่วร้ายนัก
ในพิ้นที่นี้ ถึงจะเหมือนหลุมฝังศพก็จริง ทว่ามันก็ดูราวกับว่าพวกเขากำลังทำความเคารพอยู่
ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนต้องรู้สึกระแวดระวังและกระวนกระวายเมื่อเข้ามาที่นี่
ทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้เงียบงันนัก ราวกับว่ากำลังรอวันที่มีคนผู้หนึ่งจะมาเป็นพยานให้กับเกียรติยศและชื่อเสียงในอดีตกาลของพวกเขา
จ้าวเฟิงสามารถยืนยันได้ว่ามันไม่มี ‘สิ่งมีชีวิต’ ใดที่นี่ และไม่มีอันตรายใดๆ ทว่าโครงกระดูกก่อนหน้านั้นก็ไม่มีชีวิตเช่นกัน ผู้ใดเล่าจะรู้ว่ามีอันตรายอื่นใดอีกหรือไม่?
เพียงแค่จ้าวเฟิงกำลังลังเล
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยพลิกตัวกลางอากาศอย่างคล่องแคล่วก่อนที่จะทิ้งตัวลงสู่หินของหลุมศพ จากนั้นจึงกระโจนไปยังใจกลาง
แมวขโมยตัวน้อยนั้นไม่ได้ถูกโจมตีแม้แต่น้อย
ไม่มีอันตราย?
จ้าวเฟิงประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นท่าทีสดชื่นกระฉับกระเฉงของแมวตัวน้อยแล้ว หัวใจของเขาก็กระตุก ด้วยนิสัยของแมวนั่น มันย่อมนำทุกอย่างไปหากเขาไม่ติดตามไปอย่างใกล้ชิด
……………………………….
หมายเหตุ: ชื่อที่เปลี่ยนไป
คันศร/ศรโหลวฮัว = คันศร/ศรหลัวซุย