บทที่ 221 : โบยบิน
ภายในห้องศิลา
หนึ่งมนุษย์หนึ่งแมวนั่งบนพื้น โคจรลมปราณ
ครั้นวันต่อมา น้ำในกระติกก็หมักออกมาเป็นเหล้าที่มีดีกรีสูง ภายในปรากฏกลิ่นอายของจิตวิญญาณออกมา
แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นเหล้าชั้นจิตวิญญาณ แต่ด้วยดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง เขาก็ยังคงสามารถบอกได้ว่าเหล้านี้สามารถพัฒนาร่างกายของผู้ที่อยู่ในขอบเขตกำเนิดปราณได้
เขายังค้นพบว่ายิ่งเหล้าในกระติกนั้นยิ่งหมักนานมากเท่าใด เหล้านั้นก็จะมีระดับสูงเท่านั้น และกระทั่งมีโอกาสที่จะผลิตเหล้าจิตวิญญาณจริงๆ ขึ้นได้
ทว่ากระบวนการนั้นต้องใช้ระยะเวลาราวๆ หนึ่งเดือน
จ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยตกลงกันแบ่งเหล้านี้ออกคนล่ะครึ่ง
ความต้องการเหล้าของแมวตัวน้อยนั้นแทบจะเทียบเท่าได้กับความต้องการสมบัติของมันเลยทีเดียว
หลังจากนั้น
มนุษย์และแมวก็โคจรปราณอย่างเงียบงันอยู่ภายในห้องศิลา
จ้าวเฟิงสร้างความเสถียรให้กับระดับพลังของเขา ขณะพยายามนำประสิทธิภาพของของเหลวลึกลับออกมาให้มากขึ้น
เพราะแมวขโมยตัวน้อยได้กินศพแมลงเข้าไปทั้งตัว มันจึงยังย่อยไม่หมด
สองวันต่อมา
กลิ่นอายที่แพร่กระจายออกจากทั้งจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยเพิ่มขึ้น
จ้าวเฟิงไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสัตว์เลี้ยงของเขา แต่มันก็คงไม่เกิดปัญหามากในการที่มันจะรับมือกับศิษย์หลักในสำนัก
“เหลือเวลาเพียงสิบวันก่อนจะถึงงานพันธมิตร ทั้งภารกิจของข้าก็ยังไม่เสร็จสิ้น”
จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะกลับ
มนุษย์และแมวทะยานขึ้นในอากาศ ออกจากพื้นที่สีเงินไป
เด็กหนุ่มกวาดตามองหลุมศพเบื้องล่าง ทว่ามิกล้าที่จะเข้าใกล้
มันเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่มี ‘คำสาปร้อยหลุมศพ’ ที่สร้างขึ้นจากพวกมัน แม้ว่าร่างในหลุมศพเหล่านี้จะไร้ซึ่งชีวิต พวกมันก็ยังคงส่งกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงออกมา ยืนยันว่าพวกมันล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหรือสูงกว่ายามที่มีชีวิตอยู่
ยิ่งคนผู้หนึ่งเข้าใกล้หลุมศพมากเท่าใด พลังกัดกร่อนลึกลับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อกลับไปยังพื้นที่โครงกระดูกสีขาว
จ้าวเฟิงได้เผชิญหน้ากับการโจมตีของโครงกระดูกสีขาวอีกครั้ง
ฝ่ามือวายุอัสนี!
จ้าวเฟิงใช้พลังทั้งหมดของเขา ภายใต้การรวมตัวกันของสายลมและสายฟ้า โครงกระดูกที่อยู่ด้านหน้าเขาทั้งหมดได้สลายกลายเป็นฝุ่น
ในเวลานั้นเอง กระทั่งโครงกระดูกในนภาที่เจ็ดยังถูกจัดการโดยเด็กหนุ่มได้โดยง่าย
หลังจากออกจากพื้นที่กระดูก พื้นที่ที่เต็มไปด้วยม่านหมอกก็ปรากฏขึ้น
“หลุมศพคงเป็นใจกลางของสถานที่แห่งนี้ พื้นที่กระดูกสีขาวคือวงใน และพื้นที่หมอกเป็นวงนอก”
จ้าวเฟิงสรุป
หลังจากเข้าไปในเขตหมอก ประสาทสัมผัสจะถูกรบกวน และพวกเขาจะสูญเสียการรับรู้ทิศทางไป การที่จะหลบหนีไปได้สำเร็จหรือไม่ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับโชค
เมื่อคนเข้าสู่พื้นที่โครงกระดูก พวกเขาก็จะได้รับผลกระทบจากคำสาป
ฟุ่บ!
ผ้าคลุมเงาหยินโบกสะบัด จ้าวเฟิงกลายเป็นเส้นแสงสีครามที่มักจะส่งเสียงของประกายสายฟ้าอยู่เนืองๆ มุ่งหน้าตรงไปยังชายขอบของพื้นที่หมอก
ทันใดนั้น
จ้าวเฟิงราวกับรับรู้ได้ถึงบางอย่าง เด็กหนุ่มพลันซ่อนตัวหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
วินาทีต่อมา กลิ่นอายทรงพลังสองกลิ่นอายก็ได้เข้ามาในพื้นที่หมอก
หนึ่งในนั้นคือชายชราชุดเทา ในขณะที่อีกคนคือหญิงชราผู้หนึ่ง
ทั้งสองมีบรรยากาศของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงโอบล้อม ที่กระทั่งสามารถต่อต้านพลังลึกลับในพื้นที่หมอกได้
แน่นอนว่าทั้งสองย่อมอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
“แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพนั้นนับว่าสมแก่ชื่อของมันโดยแท้ ประสาทสัมผัสวิญญาณของข้าสามารถรับรู้ได้เพียงหนึ่งหลาเท่านั้น”
ชายชราชุดเทาถอนหายใจ
“เจ้ายังต้องการไปต่อหรือ? คำสาปของแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพมิใช่บางสิ่งที่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะสามารถต่อต้านได้ ในอดีต เหล่าผู้ที่หลบหนีออกจากที่นี่ได้ล้วนถูกสาปและเสียสติไปก่อนจะสิ้นชีพในเวลาไม่กี่ปี…”
หญิงชราโน้มน้าว
จ้าวเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้รู้สึกว่าหัวใจของตนบีบรัดแน่น เขามิคาดว่าคำสาปจาก ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ จะน่าพรั่นพรึงเพียงนั้น กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่สามารถรอดไปจากที่แห่งนี้ได้ก็ยังคงตายในที่สุด
ยังคงมีคำสาปหลงเหลืออยู่บนตัวของเขาหรือไม่?
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะมีดวงตาซ้ายลึกลับ เขาก็ไม่มั่นใจ
นอกจากนั้น จากท่าทีของทั้งสอง สองคนเบื้องหน้าเขาย่อมแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสในสำนักอย่างแน่นอน
“ตาแก่ผู้นี้เหลือเวลาชีวิตเพียงสิบปี และมันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะสามารถทะลวงผ่านชั้นนายเหนือที่แท้จริงและขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ในดินแดนแห่งฝุ่นนี้ จากบันทึกใน ‘วิหารโบราณ’ หากข้าสามารถออกจากที่แห่งนี้ได้ โอกาสที่ข้าจะสำเร็จจะสูงขึ้นสิบเท่าเป็นอย่างน้อย”
ผู้อาวุโสชุดเทาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
จ้าวเฟิงมองตามผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสองไป ไม่กล้าที่จะใช้ดวงตาซ้ายเฝ้ามอง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าประสาทสัมผัสของผู้ที่อยู่ในบริเวณนี้จะถูกจำกัดก็ตาม
มันเป็นเพราะเหตุผลนี้ สองคนนั้นจึงไม่รับรู้ถึงตัวตนของจ้าวเฟิงที่มีความช่วยเหลือจากผ้าคลุมเงาหยินอยู่ด้วย
ชั่วครู่ต่อมา
จ้าวเฟิงได้ยินเสียงตะโกนดังลั่น ผู้อาวุโสชุดเทาได้เข้าไปสู่พื้นที่แห่งกระดูกแล้ว
“สองคนนั้นคงเป็นผู้อาวุโสของ ‘วิหารโบราณ’ เพื่อจะรอดูสถานการณ์”
จ้าวเฟิงไม่ได้กระทำการผลีผลามใดๆ
พื้นที่แห่งหมอกเป็นข้อได้เปรียบของเขา เขาไม่หวาดกลัวที่จะถูกพบที่นี่
ชั่วครู่ต่อมา
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากพื้นที่แห่งกระดูก
ฟิ้ว
เสียงของบางสิ่งบินแหวกอากาศได้ดังขึ้น จากนั้นเขาจึงเห็นว่าผู้อาวุโสชุดเทาล่าถอยออกจากพื้นที่แห่งกระดูก
หญิงชราพลันไปถึงข้างกายของอีกฝ่ายและเอ่ยถามถึงสถานการณ์
ผู้อาวุโสชุดเทาเต็มไปด้วยความหวาดผวา ร่างกายไม่อาจหยุดสั่นได้ ชายชราใบหน้าเขียวคล้ำ รีดเค้นคำพูดออกมาได้ในที่สุด “คำสาปได้ครอบครองร่างกายของข้า พลังชีวิตของข้ากำลังเหือดแห้ง…”
จากนั้น
ผู้อาวุโสชุดเทาจึงนั่งขัดสมาธิบนพื้นและกินยาจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งเข้าไปโดยมีหญิงชราช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ
ใบหน้าของจ้าวเฟิงแปลกประหลาด ชายชราผู้นั้นโดนอันใดเข้าไปกัน?
เด็กหนุ่มยืนจากที่ไกลๆ ใช้ดวงตาซ้ายสำรวจชายชรา
ทว่า
เมื่อยามที่ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงกวาดผ่านร่างของผู้อาวุโสชุดเทา หัวใจของเขาก็หนาวเยือก สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
ดวงตาซ้ายของเขามองเห็นมือสีขาวเปื้อนเลือดที่ไม่อาจมองเห็นล้อมร่างของชายชราเอาไว้
อวัยวะภายในของชายชรากำลังถูกกัดกร่อนโดยมือล่องหนอย่างต่อเนื่อง
ภาพนั้นทำให้ทั่วกายของเด็กหนุ่มขนลุกชัน
กระทั่งหญิงชราที่อยู่ข้างกายของผู้อาวุโสชุดเทายังรู้สึกไม่ดีนัก และยังคงรักษาระยะห่างกับอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับโคจรปราณแท้ของนาง
ยามเมื่อหญิงชราเข้าไปใกล้ มือสีขาวล่องหนก็จะโจมตีนางเช่นกัน
แน่นอนว่าแม้พวกเขาจะไม่เห็นมือเหล่านั้น พวกเขาก็ยังคงรู้สึกถึงการคุกคามของพวกมันได้โดยสัญชาตญาณ
ดวงตาของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความสงสาร ชายชราชุดเทาอาจไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินครึ่งปีแล้ว
“แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพนับว่า… เป็นสถานที่ต้องห้ามโดยแท้”
จ้าวเฟิงหวาดกลัวเล็กๆ เขาไม่เคยคาดคิดว่าแมวขโมยตัวน้อยจะนำเขามายังสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้
หากเขารู้สถานการณ์ที่นี่ก่อนหน้า เด็กหนุ่มย่อมมิกล้าเข้าไปแม้ว่าจะมีความกล้ามากกว่านี้สักร้อยเท่าก็ตาม
จ้าวเฟิงพลันใช้ดวงตาซ้ายของเขาตรวจสอบสถานการณ์ของแมวและตนเอง
ทว่าเขาพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก
เหตุผลที่จ้าวเฟิงไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาปนั้นเป็นเพราะดวงตาซ้ายลึกลับ มันนั้นราวกับเครื่องรางที่ช่วยปัดเป่าพลังแห่งคำสาป
สำหรับแมวขโมยตัวน้อย ความเป็นมาของมันลึกลับ ทั้งมันยังเป็นสิ่งที่นำเขามาที่นี่ตั้งแต่แรก
“แมวขโมยตัวน้อย คราวหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก”
จ้าวเฟิงมองไปยังสัตว์เลี้ยงของเขาอย่างเย็นชาด้วยดวงตาซ้าย
แมวขโมยตัวน้อยสะอึกเย็นเยียบ ผงกศีรษะของมันหลายครั้งก่อนจะนำเหรียญโบราณออกมาเล่นอย่างเศร้าสร้อย
จ้าวเฟิงรู้ว่ามีเพียงดวงตาซ้ายลึกลับที่จะสามารถควบคุมแมวขโมยตัวน้อยนี้ได้ หรือมิเช่นนั้น ด้วยนิสัยของแมวนี่ กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมันก็ยังมิเห็นอยู่ในสายตา
ไม่นานหลังจากนั้น
ชายชราชุดเทาและหญิงชราพลิ้วกายจากไป
ก่อนที่พวกเขาจะจากไป จ้าวเฟิงได้ยินเสียงของหญิงชราเอ่ยว่า: “นี่เป็นเพราะเจ้าไม่เชื่อข้า ในเวลาพันปีที่ผ่านมา มีเพียงผู้นำลัทธิที่สามารถเข้าไปยังแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพและกลับออกมาโดยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บใดๆ ได้ แต่กระทั่งผู้นำลัทธิยังไม่อาจครอบครองสถานที่แห่งนี้ได้ สิ่งที่เราสามารถทำได้ในยามนี้มีเพียงไปยังแคว้นมังกรเหล็กและหาท่านจ้าวตำหนัก เขานั้นลึกลับยิ่งนัก ทว่ามีความลึกล้ำในเคล็ดพลังจิตมาก บางทีอาจมีหนทาง…”
ชั่วครู่ต่อมาหลังจากที่ทั้งสองจากไป
ร่างของจ้าวเฟิงก็ปรากฏขึ้นพร้อมด้วยดวงตาที่หรี่ลง “ผู้นำลัทธินั่นใช่ผู้นำลัทธมารจันทราชาดหรือไม่?”
เขาไม่ได้รั้งอยู่นานและเดินทางผ่านพื้นที่แห่งหมอกออกไป
สองวันต่อมา
จ้าวเฟิงพบปักษามงกุฎเงินสองเศียรในป่าเมฆาคล้อย
ปักษามงกุฎเงินสองเศียรนั้นคือจ้าวแห่งท้องฟ้าที่มีพลังที่ไม่อาจเทียบได้สำหรับพวกที่อยู่ในนภาที่หก
ทว่าพลังของจ้าวเฟิงในยามนี้นั้นมีมากขึ้นอย่างน้อยสองเท่าตัวจากยามที่เขาออกจากสำนัก เพียงแค่การรั้งสายคันศรหลัวซุยหนึ่งครึ่ง เขาก็สามารถจัดการปักษามงกุฎเงินสองเศียรได้หนึ่งตัว
ภารกิจต้องการทั้งหมดสี่ศีรษะ
ไม่ช้าจ้าวเฟิงก็พบอีกตัวหนึ่ง
ครานี้เด็กหนุ่มไม่ได้ยิงมันลงมา กลับกัน เขาใช้พลังจิตควบคุมปักษามงกุฎเงินสองเศียร
หากคนจากวิหารโบราณอยู่ที่นี่ พวกเขาย่อมนิ่งอึ้งเป็นแน่
จ้าวเฟิงที่อยู่ในนภาที่ห้าสามารถควบคุมสัตว์อสูรที่อยู่ในนภาที่หกได้ นี่นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งแล้ว นอกจากนั้นปักษามงกุฎเงินสองเศียรมีสองหัว หมายความว่ามีความยากในการควบคุมกว่าปกติสองเท่า
จ้าวเฟิงนั่งบนปักษามงกุฎเงินสองเศียรและกลับไปยังเทือกเขานภาจันทร์
“สัตว์อสูรสองหัวนั่นคืออันใดกัน?”
ศิษย์ในเทือกเขานภาจันทร์ลนลานและกระทำตัวราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง
ปักษามงกุฎเงินสองเศียรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจเอาชนะได้ กระทั่งว่าคนผู้นั้นเป็นศิษย์สายในก็ตาม
ยามเมื่อพวกเขาเห็นร่างของจ้าวเฟิงบนแผ่นหลังของปักษา ดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพ กระทั่งชื่นชม
เมื่อกลับมาถึงสำนัก จ้าวเฟิงเตรียมจะฆ่าปักษามงกุฎเงินสองเศียรให้เร็จ
ทว่าคาดไม่ถึง รองหัวหน้าตำหนักหลายคนได้แย่งชิงกันประมูลปักษามงกุฎเงินสองเศียรตัวนี้
มันจะเท่เพียงใดในการครอบครองปักษามงกุฎเงินสองเศียร? มันอาจเป็นพาหนะที่ดีที่สุดรองจากอินทรียักษ์ทองหม่น
ส่วนสำคัญนั้นคือมันมีจ้าวเฟิง ‘นักฝึกสัตว์’ ที่สามารถควบคุมสมองของปักษามงกุฎเงินสองเศียรได้ ทำให้มันง่ายขึ้นที่จะฝึกนกตัวนี้
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
จ้าวเฟิงได้ขายปักษามงกุฎเงินสองเศียรให้กับรองหัวหน้าตำหนักหลี่ และไม่เพียงเขาจะได้รับรางวัลภารกิจที่ทำสำเร็จ เขายังได้รับผลึกเริ่มต้นจำลองนับหมื่นผลึกเพิ่ม นับว่ายิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว
ใบหน้าของรองหัวหน้าตำหนักหลี่แดงซ่าน เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่ามันไม่ง่ายที่จะได้ครอบครองผลึกเริ่มต้น เวลาสองสามวันต่อมา จ้าวเฟิงได้ใช้เคล็ดพลังจิตเพื่อช่วยในการฝึกฝนปักษามงกุฎเงินสองเศียร
วันนี้
ศิษย์หลักเป่ยม่อก็ได้กลับมาจากด้านนอก พลังฝึกตนของเขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่ห้า
ทว่าเมื่อเป่ยม่อเห็นจ้าวเฟิง สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงกลายเป็นความไม่อยากเชื่อ
เพราะพลังฝึกตนของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นกระทั่งสูงกว่าของเขาเล็กน้อย เข้าสู่นภาที่ห้าสมบูรณ์แบบ ไม่ห่างไกลจากนภาที่หกมากนัก
“ดูเหมือนว่าความพยายามของข้าและความเสี่ยงเหล่านั้นจะคุ้มค่า”
จ้าวเฟิงคิดอย่างสบายใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเหนือกว่าเป่ยม่อ
ในยามนี้
เหลือเวลาไม่กี่วันก่อนจะถึงงานพันธมิตร
“ยังคงเหลือเวลาอีก 5-6 วันก่อนที่งานสิบสามสำนักพันธิมตรจะเริ่มต้นขึ้น ทว่าสถานที่จัดนั้นอยู่ห่างไกลจากเทือกเขานภาจันทร์ ดังนั้นเราจะออกจากสำนักในอีกสองวัน”
ผู้อาวุโสหนึ่งเรียกจ้าวเฟิงและหยางกานไปหา
ยามเมื่อสายตาของผู้อาวุโสหนึ่งจับจ้องไปยังจ้าวเฟิง ดวงตาก็ส่องประกายยินดี
สีหน้าของหยางกานแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามิคาดว่าศิษย์น้องของเขาจะอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่นภาที่หกแล้ว
จ้าวเฟิงยืน สองมือไพล่หลัง เรือนผมสีเขียวครามพลิ้วไหวไปกับสายลม รอยยิ้มวาดอยู่บนริมฝีปาก ความมั่นใจที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฏขึ้นจากเขา ทำให้เด็กหนุ่มดูลึกลับยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากกลับมาสู่สำนัก เขามั่นใจสำหรับงานพันธมิตรยิ่งนัก
นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งมิให้เขาโบยบินได้อีก