บทที่ 244 : สวรรค์มักหลงเหลือหนทางไว้ให้
กลุ่มคนจากแคว้นมังกรโลหะเหล่านี้ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนสำหรับการดูแคลนคู่ต่อสู้ของพวกเขา
จ้าวเฟิงใช้พลังจิตเสียงโจมตีของเขาออกอย่างฉับพลัน เป็นเช่นเสียงคำรามของสายฟ้าที่พังแนวรับของศัตรูลง
ศัตรูสองสามคนสิ้นชีวิตลงในทันที เกินครึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
สองผู้นำเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย :เด็กหนุ่มเบื้องหน้าพวกเขาผู้นี้นับว่าอันตรายโดยแท้
ทว่ามันสายเกินไป
ก่อนที่พวกเขาจะทันตั้งสติได้ ดวงตาของจ้าวเฟิงก็ส่องประกายพร้อมกับใช้พลังสายเลือดอีกครั้ง
ฟุ่บ!
ผ้าคลุมเงาหยินโบกสะบัดในขณะที่จ้าวเฟิงกลายเป็นเส้นแสงสีเขียวคราม พุ่งตรงไปยังศัตรู
ความเร็วเช่นนี้ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ ชัดเจนแล้วว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้ออมมือไว้ก่อนหน้า
วายุอัสนีทำลายล้าง
ใบหน้าของจ้าวเฟิงมืดทะมึน ดูราวกับเทพแห่งอัสนียามที่ประกายสายฟ้าได้ปรากฏขึ้นล้อมร่างของเขา
คนกลุ่มนี้ที่เพียงได้สติขึ้นจากพลังจิตเสียงโจมตีได้ถูกกลืนกินไปโดยสายฟ้ารุนแรง แขนขากระตุกสั่น
ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายรุนแรงของสายฟ้าก็ได้กดดันพวกเขาลง
เพราะการที่จ้าวเฟิงได้ใช้พลังสายเลือดของเขาในเวลาที่พอดี นอกจากสองผู้นำแล้ว คนอื่นๆ จึงไม่อาจตอบโต้ได้
เปรี้ยง
ฝ่ามือวายุอัสนีของจ้าวเฟิงที่ได้เข้าสู่ระดับเจ็ดพลันคร่าชีวิตของหนึ่งในผู้นำในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในทันที
ผู้นำอีกคนบาดเจ็บสาหัสและหลบหนีอย่างลนลาน
ฟุ่บ
ร่างของจ้าวเฟิงพุ่งวาบผ่านอากาศ ทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลังจำนวนมาก
“อ๊ากกก!”
ทุกภาพติดตาจะคร่าหนึ่งชีวิตของผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ด
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา
ทั้งกลุ่มได้ถูกฆ่าจนหมดสิ้น
ทั้งมิตรและศัตรูต่างก็สูดลมหายใจเย็นเยียบ
มันคือการฆ่าเพียงฝ่ายเดียว
ในที่สุด
เหลือเพียงผู้นำในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่มีชีวิตรอด ครึ่งร่างของเขาถูกเผาไหม้เกรียมไปและอยู่ในความหวาดผวาอย่างหนัก
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงที่กวาดผ่านไปทางร่างของเขา
ราวกับว่าดวงตานั้นสามารถมองจิตใจของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง
จิตใจของเขาสั่นไหว และแม้ว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความตาย เขาก็ไม่ได้ตระหนักว่ามันคือช่วงเวลาสุดท้ายที่เขาจะได้มองดูโลกใบนี้
ตุบ!
ผู้นำในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงร่วงหล่นจากกลางอากาศ กระดูกแตกหักจากแรงกระแทก
เคล็ดพลังจิตจากเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่าเนตรลบสวรรค์ของหลินทง ไม่มีคนผู้ใดที่มีพลังฝึกตนในระดับเดียวกับเขาที่สามารถป้องกันการมองของเขาได้
ผู้นำคนนั้นได้บาดเจ็บสาหัสและหวาดกลัวอย่างมากจึงไม่อาจที่จะต่อต้านได้
ในเวลาสั้นๆ เพียงสิบลมหายใจ ทั้งกลุ่มได้ถูกฆ่าโดยจ้าวเฟิงเพียงคนเดียว
หลังจากที่กวาดล้างทั้งกลุ่มแล้ว สำนักจันทร์สลายจึงได้มาถึง ไม่รู้ว่าเวลาที่พอดิบพอดีนี้เป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวจงใจ
คนจากสำนักจันทร์สลายยินดีอย่างมาก ขวัญกำลังใจเพิ่มสูงขึ้นจากเหตุการณ์นี้
ผู้ไล่ล่าจากแคว้นมังกรโลหะเต็มไปด้วยความหนาวเยือก สามคนในขั้นมนุษย์แท้จ้องมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความหวาดระแวง
“มุ่งตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือต่อไป”
จ้าวเฟิงนำทางต่อไป
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเด็กหนุ่มสามารถเห็นได้ห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้ มันแทบจะเรียกได้ว่าท้าทายอำนาจสวรรค์
หลังจากฆ่าคนกลุ่มนั้น มันก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถหยุดพวกเขาได้อีกต่อไป
มีเพียงอันตรายที่ตามติดมาจากเบื้องหลังเท่านั้น
ผู้อาวุโสหยุนไห่และผู้ฝึกตนอีกสองคนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังคงไล่ล่าพวกเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ใช้พลังทั้งหมดของพวกเขา ทำได้เพียงป้องกันการไล่ล่าของทั้งสามได้อย่างกล้ำกลืน
คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเขาหากัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
ตราบเท่าที่ทั้งสามยังคงไล่ล่าพวกเขา ดูเหมือนว่าสำนักจันทร์สลายจะไม่สามารถหลบหนีไปได้สำเร็จ
ไม่ว่าเขาจะรวดเร็วเพียงใด เขาก็ไม่ได้รวดเร็วไปกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และไม่อาจหลบหนีไปได้นานนัก
หากมีเพียงแค่สามคนนั้น อันตรายย่อมไม่มากมายนัก ทว่าเขาหวาดกลัวว่ากำลังสนับสนุนจากแคว้นมังกรโลหะจะมาถึงเสียก่อน
มีเพียงสองวิธีเท่านั้น
หนึ่ง: ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ขัดขวางทั้งสามในขณะที่คนที่เหลือแยกย้ายกันหลบหนี
สอง: ฆ่าหรือทำให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสเพื่อบีบบังคับให้คนเหล่านั้นล่าถอย
จนกระทั่งบัดนี้ เหลือคนเพียงน้อยนิดที่ไล่ล่าพวกเขานอกจากสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
“ต้องฆ่าหนึ่งในผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง”
จ้าวเฟิงยังคงวิเคราะห์โอกาสของพวกเขา และพบว่าโอกาสที่มันจะสำเร็จนั้นน้อยนัก
หากมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเพียงสองคนที่ไล่ล่าพวกเขาและต่อสู้กันแบบสองต่อสองกับสำนักจันทร์สลาย จ้าวเฟิงประเมินว่ามีโอกาสที่จะสำเร็จเพียงกึ่งหนึ่ง
ทว่าปัญหานั้นคือมันมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสามคนที่ไล่ล่าพวกเขา ซึ่งสามารถกดดันสองคนจากสำนักจันทร์สลายได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้งการที่จ้าวเฟิงเพิ่งฆ่ากลุ่มศัตรูเหล่านั้นได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้อยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้แล้ว ทำให้การที่จะเอาชนะคงเป็นไปได้ยากนัก
ดังนั้นแล้ว โอกาสที่จะฆ่าหนึ่งในสามคนสำเร็จนั้นต่ำนัก และอาจต้องเดิมพันด้วยชีวิตของเขา จะอย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสหยุนไห่ต้องการให้จ้าวเฟิงตายอย่างแน่นอน และอาจไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปโดยง่าย
การวิเคราะห์เหล่านี้ได้พุ่งวาบอยู่ในสมองของเด็กหนุ่ม
ความจริงนั้น หากจ้าวเฟิงสามารถคิดเรื่องนี้ได้ ผู้อาวุโสหนึ่งเองก็สามารถคิดได้เช่นกัน
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้านำทุกคนหนีกลับไปยังแคว้นเมฆา หากแคว้นเมฆาไม่ปลอดภัย เช่นนั้นจงออกไปจากสิบสามแคว้นเสีย…”
น้ำเสียงเร่งร้อนของผู้อาวุโสหนึ่งดังก้องในศีรษะของจ้าวเฟิง
หัวใจของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวกระตุกวูบ ผู้อาวุโสหนึ่งต้องการใช้แผนแรก ทว่ามันจะสำเร็จหรือ?
“กำราบเทพวายุ!”
น้ำเสียงลึกล้ำดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล
ในเสี้ยววินาที ลำแสงสีเขียวเส้นแล้วเส้นเล่าได้พุ่งตรงไปยังสามยอดฝีมือโดยมีร่างของผู้อาวุโสหนึ่งเป็นศูนย์กลาง บีบบังคับให้อีกฝ่ายล่าถอย
กลิ่นอายของผู้อาวุโสหนึ่งพลันพุ่งสูงขึ้น ปราณจิตวิญญาณแท้ของเขาดูราวกับกำลังเผาไหม้
“ไอ้แก่โง่เง่า มิต้องการรักษาชีวิตแล้วหรือ? เจ้ากำลังเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้”
ผู้อาวุโสหยุนไห่ตื่นตะลึงและถูกโจมตีโดยหนึ่งในลำแสง ทำให้ความเร็วของเขาลดลงอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน
กลิ่นอายของแม่เฒ่าลิ่วเยว่ก็ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แสงสีเขียวได้ปรากฏขึ้นเกี่ยวกระหวัดรอบร่างของสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงราวกับรากของต้นไม้
ด้วยการเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้ของผู้อาวุโสหนึ่งทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
ผู้อาวุโสหยุนไห่และพวกถูกบีบบังคับให้ตกอยู่ใสถานการณ์เข้าตาจน
ในเวลาเดียวกันกับที่ผู้อาวุโสหนึ่งเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้ของตน ชายชราก็ยังนำอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางออกมาและพุ่งความสนใจไปยังผู้อาวุโสหยุนไห่
สองคนจากแคว้นมังกรโลหะมีอาวุธชั้นจิตวิญญาณของตนและสามารถต่อต้านได้ ทว่าผู้อาวุโสหยุนไห่ไม่มี ดังนั้นแล้วร่างของเขาจึงได้ปรากฏรอยเลือดขึ้นหลายแห่ง
“ผู้อาวุโสหนึ่ง!”
“ท่านอาจารย์!”
คนที่เหลือจากสำนักจันทร์สลายอุทานออกมา
โดยเฉพาะหยางกาน ดวงตาของชายหนุ่มเปียกชื้น มือสั่นสะท้าน
“ผู้อาวุโสหนึ่งกำลังเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้ของเขา มันคือพื้นฐานพลังของเหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เมื่อใช้มันจะมีโอกาสในการที่พลังฝึกตนจะลดลง”
ลมหายใจของรองหัวหน้าตำหนักได้ถี่กระชั้นขึ้น หยาดน้ำได้ไหลทะลักออกจากดวงตาของพวกเขา
“ทุกคนตามข้ามา”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นในศีรษะของทุกคน
ผู้พูดคือจ้าวเฟิง คำของเขาดูราวกับมีพลังที่คลุมเครืออยู่ประการหนึ่ง
“จ้าวเฟิง เจ้าเลือดเย็นขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?”
“ผู้อาวุโสหนึ่งคืออาจารย์ของเจ้านะ! เราไม่อาจทิ้งเขาไปได้!”
หยางกานและรองหัวหน้าตำหนักกรีดร้องออกมา
“ไป!”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสหนึ่งดังก้องในศีรษะของทุกคน
“หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าถ่วงเขาเอาไว้ ท่านอาจารย์ย่อมสามารถล่าถอยได้อย่างง่ายดาย”
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองผ่านหยางกานและคนอื่นๆ
หลังจากเอ่ยจบเด็กหนุ่มก็หมุนตัวและจากไป
หัวใจของหยางกานและทุกคนสั่นสะท้าน ทว่าไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะแรงกดดันจากเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าหรือความเย็นชาของจ้าวเฟิง
แม้ว่าทุกคนจะไม่พอใจ พวกเขาก็ยังคงเชื่อฟังคำของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
อีกฝ่ายคือผู้ที่ได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและได้ครอบครองชัยชนะในงานพันธมิตร เขาได้ให้ความรู้สึกเชื่อมั่นและพึ่งพาได้แก่ทุกคน
ทว่า
การกระทำของจ้าวเฟิงนั้นเย็นชาเกินไป ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความกังวลใดๆ
“เพื่อหลบหนีเอาตัวรอด เจ้ากระทั่งไม่สนใจแม้ชีวิตของอาจารย์”
หนึ่งในรองหัวหน้าตำหนักพึมพำ
จ้าวเฟิงดูแคลนเกินกว่าที่จะอธิบาย
ด้วยการใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า จ้าวเฟิงได้เข้าสู่สภาวะเยือกเย็นและมีเหตุผล ละทิ้งอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ไป
ภายใต้สถานการณ์นี้ จ้าวเฟิงได้ใช้การกระทำที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ทุกสิ่งที่ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ทำนั้นเพื่อให้พวกเขาหลบหนีไป หรือมิเช่นนั้นด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา การหลบหนีย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น
“ยิ่งเราหนีไปได้ไกลเท่าใด ท่านอาจารย์และแม่เฒ่าลิ่วเยว่ก็จะล่าถอยได้เร็วขึ้นเท่านั้น และลดการใช้ปราณต้นกำเนิดลง”
สมองของจ้าวเฟิงปลอดโปร่ง
ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าและส่งก้อนแสงตรงไปยังร่างขอผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่
“หืมม?”
ทั้งผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่พบร่องรอยของพลังจิตที่สร้างสัมพันธ์บางอย่างขึ้นระหว่างพวกเขาและจ้าวเฟิง
“เจ้าเด็กนี่ ขนาดอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ยังมีความคิดรอบคอบยิ่งนัก”
ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่สบตากันและพบความชื่นชมและอบอุ่นในแววตาของอีกฝ่าย
จ้าวเฟิงดูเย็นชา ทว่าเขาได้ทิ้งรอยพลังจิตเอาไว้ที่สองผู้อาวุโสอย่างลับๆ
ดังนั้นทั้งสองฝั่งจึงยังคงสามารถช่วยเหลือกันได้
จ้าวเฟิงไม่ได้ละทิ้งสองผู้อาวุโส กลับกัน เขามีความรอบคอบเหนือกว่าผู้อื่นทั้งหมด
หนี
จ้าวเฟิงนำกลุ่มและมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ซับซ้อนแห่งหนึ่ง
ตราบเท่าที่พวกเขาหลบหนีไปได้ ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ย่อมไม่ตกอยู่ในอันตรายมากนัก
หลายชั่วโมงต่อมา
ทั้งกลุ่มได้ออกจากทะเลสาบผนึกมังกรและเข้าสู่เทือกเขาซับซ้อนที่เต็มไปด้วยป่า
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกมา พวกเขาปลอดภัยแล้ว และด้วยเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า เขาสามารถรับรู้ได้ว่าทั้งผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ยังคงมีชีวิตอยู่
ทว่าในยามนั้นเอง
หน้าผากของจ้าวเฟิงกระตุกพร้อมกับที่เขารับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจบางอย่าง
ในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกน่าขยะแขยงได้พุ่งสูงขึ้น
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยได้ปรากฏตัวขึ้นและเปิดปากของมันขณะที่มันมองไปรอบๆ
“เด็กน้อย เจ้ามี ‘ตราผี’ อยู่บนร่าง ข้าสามารถรับรู้ถึงมันได้ห่างออกไปนับพันลี้”
ผู้อาวุโสตัวเตี้ยที่ถือไม้เท้าอันหนึ่งยืนอยู่บนต้นไม้เบื้องหน้า เขาปรากฏตัวขึ้นราวกับภูตผีจากความว่างเปล่า
“เจ้าคือใคร?”
หัวใจของสำนักจันทร์สลายทุกคนหนาวเยือก คนตัวเตี้ยผู้นี้ได้ตามพวกเขามาทันโดยที่พวกเขาไม่แม้แต่จะรู้ตัว
มีเพียงจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยที่รับรู้ได้ถึงบางอย่าง
“ตราผี?”
จ้าวเฟิงขบฟันแน่น ความรู้สึกน่าขยะแขยงเลวร้ายนี้ได้ถูกทิ้งไว้โดยโครงกระดูกลึกลับ
กระทั่งบัดนี้ เขาก็ยังไม่อาจทำลายตราผีนี้ได้ มันยากที่จะจินตนาการว่าโครงกระดูกลึกลับนั่นอยู่ในระดับใด
“ตาแก่ผู้นี้คือผู้อาวุโสลำดับที่สี่แห่งวิหารโบราณ และมาที่นี่เพื่อจับตัวเจ้าภายใต้คำสั่งของผู้อาวุโสหลัก เด็กเหลือขอ เจ้าจะอยู่เฉยๆ และให้ข้าจับตัวเจ้าเสียแต่โดยดี หรือว่าเจ้าจะทำให้ข้าต้องลงมือ?” ผู้อาวุโสร่างเตี้ยเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับว่าชัยชนะได้อยู่ในกำมือของเขา
ป่าได้ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน
ลมหายใจของคนทุกคนจากสำนักจันทร์สลายได้กลับกลายเป็นขมขื่นในขณะที่กลิ่นอายแห่งความตายได้โอบล้อมพวกเขา
พวกเขาจะอยู่เฉยๆ และรอให้อีกฝ่ายจับตัวไปจริงๆ หรือ?
จ้าวเฟิงรู้สึกขมขื่นขณะที่สมองของเขาวิเคราะห์สถานการณ์ ทว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขานับสิบคนย่อมไม่อาจหลบหนีไปได้
เว้นเสียแต่พวกเขาจะมีคนในระดับจ้าวเฟิงหรือชางหยูเยว่สักสองสามคน พวกเขาอาจมีโอกาสต่อกรกับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้
หรือบางที ภายใต้สถานการณ์วุ่นวาย จ้าวเฟิงจึงจะมีโอกาสรอดชีวิต
ทว่า ปัญหานั้นคือเป้าหมายของผู้อาวุโสร่างเตี้ยคือตัวเขา
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยโยนเหรียญทองแดงของมันแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนเช่นนี้ สามารถบอกได้ว่ามันโลภมากเพียงใด
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยเก็บเหรียญของมันไปอย่างตื่นเต้น ราวกับว่าได้ค้นพบสิ่งน่ายินดี
จ้าวเฟิงแทบจะตีมัน ศัตรูอยู่เบื้องหน้าพวกเขา แต่มันทำเพียงเล่นสนุกไปเรื่อย
ครืนนนน
ในยามนั้นเอง ท้องฟ้าได้แปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่น ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อย
ซ่า ซ่า ซ่า ซ่า
สายฝนได้เริ่มโปรยปรายลงจากท้องนภา เสียงครืนครางของอัสนีได้ดังขึ้น
ฝนตกลงในเวลานี้?
หัวใจของทุกคนจากสำนักจันทร์สลายร่วงหล่น
“เข้าหน้าพายุฝนแล้ว?”
จ้าวเฟิงพึมพำกับตนเอง ความขมขื่นในใจจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความยินดี “สวรรค์มักหลงเหลือหนทางไว้ให้”