Skip to content

King of Gods 244

King Of Gods

บทที่ 244 : สวรรค์มักหลงเหลือหนทางไว้ให้

กลุ่มคนจากแคว้นมังกรโลหะเหล่านี้ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนสำหรับการดูแคลนคู่ต่อสู้ของพวกเขา

จ้าวเฟิงใช้พลังจิตเสียงโจมตีของเขาออกอย่างฉับพลัน เป็นเช่นเสียงคำรามของสายฟ้าที่พังแนวรับของศัตรูลง

ศัตรูสองสามคนสิ้นชีวิตลงในทันที เกินครึ่งได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

สองผู้นำเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย :เด็กหนุ่มเบื้องหน้าพวกเขาผู้นี้นับว่าอันตรายโดยแท้

ทว่ามันสายเกินไป

ก่อนที่พวกเขาจะทันตั้งสติได้ ดวงตาของจ้าวเฟิงก็ส่องประกายพร้อมกับใช้พลังสายเลือดอีกครั้ง

ฟุ่บ!

ผ้าคลุมเงาหยินโบกสะบัดในขณะที่จ้าวเฟิงกลายเป็นเส้นแสงสีเขียวคราม พุ่งตรงไปยังศัตรู

ความเร็วเช่นนี้ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ ชัดเจนแล้วว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้ออมมือไว้ก่อนหน้า

วายุอัสนีทำลายล้าง

ใบหน้าของจ้าวเฟิงมืดทะมึน ดูราวกับเทพแห่งอัสนียามที่ประกายสายฟ้าได้ปรากฏขึ้นล้อมร่างของเขา

คนกลุ่มนี้ที่เพียงได้สติขึ้นจากพลังจิตเสียงโจมตีได้ถูกกลืนกินไปโดยสายฟ้ารุนแรง แขนขากระตุกสั่น

ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายรุนแรงของสายฟ้าก็ได้กดดันพวกเขาลง

เพราะการที่จ้าวเฟิงได้ใช้พลังสายเลือดของเขาในเวลาที่พอดี นอกจากสองผู้นำแล้ว คนอื่นๆ จึงไม่อาจตอบโต้ได้

เปรี้ยง

ฝ่ามือวายุอัสนีของจ้าวเฟิงที่ได้เข้าสู่ระดับเจ็ดพลันคร่าชีวิตของหนึ่งในผู้นำในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในทันที

ผู้นำอีกคนบาดเจ็บสาหัสและหลบหนีอย่างลนลาน

ฟุ่บ

ร่างของจ้าวเฟิงพุ่งวาบผ่านอากาศ ทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลังจำนวนมาก

“อ๊ากกก!”

ทุกภาพติดตาจะคร่าหนึ่งชีวิตของผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ด

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา

ทั้งกลุ่มได้ถูกฆ่าจนหมดสิ้น

ทั้งมิตรและศัตรูต่างก็สูดลมหายใจเย็นเยียบ

มันคือการฆ่าเพียงฝ่ายเดียว

ในที่สุด

เหลือเพียงผู้นำในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่มีชีวิตรอด ครึ่งร่างของเขาถูกเผาไหม้เกรียมไปและอยู่ในความหวาดผวาอย่างหนัก

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงที่กวาดผ่านไปทางร่างของเขา

ราวกับว่าดวงตานั้นสามารถมองจิตใจของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง

จิตใจของเขาสั่นไหว และแม้ว่าเขาจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของความตาย เขาก็ไม่ได้ตระหนักว่ามันคือช่วงเวลาสุดท้ายที่เขาจะได้มองดูโลกใบนี้

ตุบ!

ผู้นำในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงร่วงหล่นจากกลางอากาศ กระดูกแตกหักจากแรงกระแทก

เคล็ดพลังจิตจากเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่าเนตรลบสวรรค์ของหลินทง ไม่มีคนผู้ใดที่มีพลังฝึกตนในระดับเดียวกับเขาที่สามารถป้องกันการมองของเขาได้

ผู้นำคนนั้นได้บาดเจ็บสาหัสและหวาดกลัวอย่างมากจึงไม่อาจที่จะต่อต้านได้

ในเวลาสั้นๆ เพียงสิบลมหายใจ ทั้งกลุ่มได้ถูกฆ่าโดยจ้าวเฟิงเพียงคนเดียว

หลังจากที่กวาดล้างทั้งกลุ่มแล้ว สำนักจันทร์สลายจึงได้มาถึง ไม่รู้ว่าเวลาที่พอดิบพอดีนี้เป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวจงใจ

คนจากสำนักจันทร์สลายยินดีอย่างมาก ขวัญกำลังใจเพิ่มสูงขึ้นจากเหตุการณ์นี้

ผู้ไล่ล่าจากแคว้นมังกรโลหะเต็มไปด้วยความหนาวเยือก สามคนในขั้นมนุษย์แท้จ้องมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความหวาดระแวง

“มุ่งตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือต่อไป”

จ้าวเฟิงนำทางต่อไป

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเด็กหนุ่มสามารถเห็นได้ห่างไกลออกไปหลายร้อยลี้ มันแทบจะเรียกได้ว่าท้าทายอำนาจสวรรค์

หลังจากฆ่าคนกลุ่มนั้น มันก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถหยุดพวกเขาได้อีกต่อไป

มีเพียงอันตรายที่ตามติดมาจากเบื้องหลังเท่านั้น

ผู้อาวุโสหยุนไห่และผู้ฝึกตนอีกสองคนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังคงไล่ล่าพวกเขาอย่างไม่หยุดหย่อน

ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ใช้พลังทั้งหมดของพวกเขา ทำได้เพียงป้องกันการไล่ล่าของทั้งสามได้อย่างกล้ำกลืน

คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเขาหากัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

ตราบเท่าที่ทั้งสามยังคงไล่ล่าพวกเขา ดูเหมือนว่าสำนักจันทร์สลายจะไม่สามารถหลบหนีไปได้สำเร็จ

ไม่ว่าเขาจะรวดเร็วเพียงใด เขาก็ไม่ได้รวดเร็วไปกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และไม่อาจหลบหนีไปได้นานนัก

หากมีเพียงแค่สามคนนั้น อันตรายย่อมไม่มากมายนัก ทว่าเขาหวาดกลัวว่ากำลังสนับสนุนจากแคว้นมังกรโลหะจะมาถึงเสียก่อน

มีเพียงสองวิธีเท่านั้น

หนึ่ง: ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ขัดขวางทั้งสามในขณะที่คนที่เหลือแยกย้ายกันหลบหนี

สอง: ฆ่าหรือทำให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสเพื่อบีบบังคับให้คนเหล่านั้นล่าถอย

จนกระทั่งบัดนี้ เหลือคนเพียงน้อยนิดที่ไล่ล่าพวกเขานอกจากสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

“ต้องฆ่าหนึ่งในผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง”

จ้าวเฟิงยังคงวิเคราะห์โอกาสของพวกเขา และพบว่าโอกาสที่มันจะสำเร็จนั้นน้อยนัก

หากมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเพียงสองคนที่ไล่ล่าพวกเขาและต่อสู้กันแบบสองต่อสองกับสำนักจันทร์สลาย จ้าวเฟิงประเมินว่ามีโอกาสที่จะสำเร็จเพียงกึ่งหนึ่ง

ทว่าปัญหานั้นคือมันมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสามคนที่ไล่ล่าพวกเขา ซึ่งสามารถกดดันสองคนจากสำนักจันทร์สลายได้อย่างง่ายดาย

อีกทั้งการที่จ้าวเฟิงเพิ่งฆ่ากลุ่มศัตรูเหล่านั้นได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้อยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้แล้ว ทำให้การที่จะเอาชนะคงเป็นไปได้ยากนัก

ดังนั้นแล้ว โอกาสที่จะฆ่าหนึ่งในสามคนสำเร็จนั้นต่ำนัก และอาจต้องเดิมพันด้วยชีวิตของเขา จะอย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสหยุนไห่ต้องการให้จ้าวเฟิงตายอย่างแน่นอน และอาจไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปโดยง่าย

การวิเคราะห์เหล่านี้ได้พุ่งวาบอยู่ในสมองของเด็กหนุ่ม

ความจริงนั้น หากจ้าวเฟิงสามารถคิดเรื่องนี้ได้ ผู้อาวุโสหนึ่งเองก็สามารถคิดได้เช่นกัน

“เฟิงเอ๋อร์ เจ้านำทุกคนหนีกลับไปยังแคว้นเมฆา หากแคว้นเมฆาไม่ปลอดภัย เช่นนั้นจงออกไปจากสิบสามแคว้นเสีย…”

น้ำเสียงเร่งร้อนของผู้อาวุโสหนึ่งดังก้องในศีรษะของจ้าวเฟิง

หัวใจของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวกระตุกวูบ ผู้อาวุโสหนึ่งต้องการใช้แผนแรก ทว่ามันจะสำเร็จหรือ?

“กำราบเทพวายุ!”

น้ำเสียงลึกล้ำดังขึ้นมาจากที่ห่างไกล

ในเสี้ยววินาที ลำแสงสีเขียวเส้นแล้วเส้นเล่าได้พุ่งตรงไปยังสามยอดฝีมือโดยมีร่างของผู้อาวุโสหนึ่งเป็นศูนย์กลาง บีบบังคับให้อีกฝ่ายล่าถอย

กลิ่นอายของผู้อาวุโสหนึ่งพลันพุ่งสูงขึ้น ปราณจิตวิญญาณแท้ของเขาดูราวกับกำลังเผาไหม้

“ไอ้แก่โง่เง่า มิต้องการรักษาชีวิตแล้วหรือ? เจ้ากำลังเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้”

ผู้อาวุโสหยุนไห่ตื่นตะลึงและถูกโจมตีโดยหนึ่งในลำแสง ทำให้ความเร็วของเขาลดลงอย่างมาก

ในเวลาเดียวกัน

กลิ่นอายของแม่เฒ่าลิ่วเยว่ก็ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แสงสีเขียวได้ปรากฏขึ้นเกี่ยวกระหวัดรอบร่างของสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงราวกับรากของต้นไม้

ด้วยการเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้ของผู้อาวุโสหนึ่งทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป

ผู้อาวุโสหยุนไห่และพวกถูกบีบบังคับให้ตกอยู่ใสถานการณ์เข้าตาจน

ในเวลาเดียวกันกับที่ผู้อาวุโสหนึ่งเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้ของตน ชายชราก็ยังนำอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางออกมาและพุ่งความสนใจไปยังผู้อาวุโสหยุนไห่

สองคนจากแคว้นมังกรโลหะมีอาวุธชั้นจิตวิญญาณของตนและสามารถต่อต้านได้ ทว่าผู้อาวุโสหยุนไห่ไม่มี ดังนั้นแล้วร่างของเขาจึงได้ปรากฏรอยเลือดขึ้นหลายแห่ง

“ผู้อาวุโสหนึ่ง!”

“ท่านอาจารย์!”

คนที่เหลือจากสำนักจันทร์สลายอุทานออกมา

โดยเฉพาะหยางกาน ดวงตาของชายหนุ่มเปียกชื้น มือสั่นสะท้าน

“ผู้อาวุโสหนึ่งกำลังเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้ของเขา มันคือพื้นฐานพลังของเหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เมื่อใช้มันจะมีโอกาสในการที่พลังฝึกตนจะลดลง”

ลมหายใจของรองหัวหน้าตำหนักได้ถี่กระชั้นขึ้น หยาดน้ำได้ไหลทะลักออกจากดวงตาของพวกเขา

“ทุกคนตามข้ามา”

น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นในศีรษะของทุกคน

ผู้พูดคือจ้าวเฟิง คำของเขาดูราวกับมีพลังที่คลุมเครืออยู่ประการหนึ่ง

“จ้าวเฟิง เจ้าเลือดเย็นขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?”

“ผู้อาวุโสหนึ่งคืออาจารย์ของเจ้านะ! เราไม่อาจทิ้งเขาไปได้!”

หยางกานและรองหัวหน้าตำหนักกรีดร้องออกมา

“ไป!”

น้ำเสียงของผู้อาวุโสหนึ่งดังก้องในศีรษะของทุกคน

“หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าถ่วงเขาเอาไว้ ท่านอาจารย์ย่อมสามารถล่าถอยได้อย่างง่ายดาย”

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองผ่านหยางกานและคนอื่นๆ

หลังจากเอ่ยจบเด็กหนุ่มก็หมุนตัวและจากไป

หัวใจของหยางกานและทุกคนสั่นสะท้าน ทว่าไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะแรงกดดันจากเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าหรือความเย็นชาของจ้าวเฟิง

แม้ว่าทุกคนจะไม่พอใจ พวกเขาก็ยังคงเชื่อฟังคำของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว

อีกฝ่ายคือผู้ที่ได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและได้ครอบครองชัยชนะในงานพันธมิตร เขาได้ให้ความรู้สึกเชื่อมั่นและพึ่งพาได้แก่ทุกคน

ทว่า

การกระทำของจ้าวเฟิงนั้นเย็นชาเกินไป ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความกังวลใดๆ

“เพื่อหลบหนีเอาตัวรอด เจ้ากระทั่งไม่สนใจแม้ชีวิตของอาจารย์”

หนึ่งในรองหัวหน้าตำหนักพึมพำ

จ้าวเฟิงดูแคลนเกินกว่าที่จะอธิบาย

ด้วยการใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า จ้าวเฟิงได้เข้าสู่สภาวะเยือกเย็นและมีเหตุผล ละทิ้งอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ไป

ภายใต้สถานการณ์นี้ จ้าวเฟิงได้ใช้การกระทำที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ทุกสิ่งที่ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ทำนั้นเพื่อให้พวกเขาหลบหนีไป หรือมิเช่นนั้นด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา การหลบหนีย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น

“ยิ่งเราหนีไปได้ไกลเท่าใด ท่านอาจารย์และแม่เฒ่าลิ่วเยว่ก็จะล่าถอยได้เร็วขึ้นเท่านั้น และลดการใช้ปราณต้นกำเนิดลง”

สมองของจ้าวเฟิงปลอดโปร่ง

ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าและส่งก้อนแสงตรงไปยังร่างขอผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่

“หืมม?”

ทั้งผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่พบร่องรอยของพลังจิตที่สร้างสัมพันธ์บางอย่างขึ้นระหว่างพวกเขาและจ้าวเฟิง

“เจ้าเด็กนี่ ขนาดอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ยังมีความคิดรอบคอบยิ่งนัก”

ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่สบตากันและพบความชื่นชมและอบอุ่นในแววตาของอีกฝ่าย

จ้าวเฟิงดูเย็นชา ทว่าเขาได้ทิ้งรอยพลังจิตเอาไว้ที่สองผู้อาวุโสอย่างลับๆ

ดังนั้นทั้งสองฝั่งจึงยังคงสามารถช่วยเหลือกันได้

จ้าวเฟิงไม่ได้ละทิ้งสองผู้อาวุโส กลับกัน เขามีความรอบคอบเหนือกว่าผู้อื่นทั้งหมด

หนี

จ้าวเฟิงนำกลุ่มและมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ซับซ้อนแห่งหนึ่ง

ตราบเท่าที่พวกเขาหลบหนีไปได้ ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ย่อมไม่ตกอยู่ในอันตรายมากนัก

หลายชั่วโมงต่อมา

ทั้งกลุ่มได้ออกจากทะเลสาบผนึกมังกรและเข้าสู่เทือกเขาซับซ้อนที่เต็มไปด้วยป่า

จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกมา พวกเขาปลอดภัยแล้ว และด้วยเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า เขาสามารถรับรู้ได้ว่าทั้งผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ยังคงมีชีวิตอยู่

ทว่าในยามนั้นเอง

หน้าผากของจ้าวเฟิงกระตุกพร้อมกับที่เขารับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจบางอย่าง

ในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกน่าขยะแขยงได้พุ่งสูงขึ้น

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยได้ปรากฏตัวขึ้นและเปิดปากของมันขณะที่มันมองไปรอบๆ

“เด็กน้อย เจ้ามี ‘ตราผี’ อยู่บนร่าง ข้าสามารถรับรู้ถึงมันได้ห่างออกไปนับพันลี้”

ผู้อาวุโสตัวเตี้ยที่ถือไม้เท้าอันหนึ่งยืนอยู่บนต้นไม้เบื้องหน้า เขาปรากฏตัวขึ้นราวกับภูตผีจากความว่างเปล่า

“เจ้าคือใคร?”

หัวใจของสำนักจันทร์สลายทุกคนหนาวเยือก คนตัวเตี้ยผู้นี้ได้ตามพวกเขามาทันโดยที่พวกเขาไม่แม้แต่จะรู้ตัว

มีเพียงจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยที่รับรู้ได้ถึงบางอย่าง

“ตราผี?”

จ้าวเฟิงขบฟันแน่น ความรู้สึกน่าขยะแขยงเลวร้ายนี้ได้ถูกทิ้งไว้โดยโครงกระดูกลึกลับ

กระทั่งบัดนี้ เขาก็ยังไม่อาจทำลายตราผีนี้ได้ มันยากที่จะจินตนาการว่าโครงกระดูกลึกลับนั่นอยู่ในระดับใด

“ตาแก่ผู้นี้คือผู้อาวุโสลำดับที่สี่แห่งวิหารโบราณ และมาที่นี่เพื่อจับตัวเจ้าภายใต้คำสั่งของผู้อาวุโสหลัก เด็กเหลือขอ เจ้าจะอยู่เฉยๆ และให้ข้าจับตัวเจ้าเสียแต่โดยดี หรือว่าเจ้าจะทำให้ข้าต้องลงมือ?” ผู้อาวุโสร่างเตี้ยเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าราวกับว่าชัยชนะได้อยู่ในกำมือของเขา

ป่าได้ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน

ลมหายใจของคนทุกคนจากสำนักจันทร์สลายได้กลับกลายเป็นขมขื่นในขณะที่กลิ่นอายแห่งความตายได้โอบล้อมพวกเขา

พวกเขาจะอยู่เฉยๆ และรอให้อีกฝ่ายจับตัวไปจริงๆ หรือ?

จ้าวเฟิงรู้สึกขมขื่นขณะที่สมองของเขาวิเคราะห์สถานการณ์ ทว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขานับสิบคนย่อมไม่อาจหลบหนีไปได้

เว้นเสียแต่พวกเขาจะมีคนในระดับจ้าวเฟิงหรือชางหยูเยว่สักสองสามคน พวกเขาอาจมีโอกาสต่อกรกับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้

หรือบางที ภายใต้สถานการณ์วุ่นวาย จ้าวเฟิงจึงจะมีโอกาสรอดชีวิต

ทว่า ปัญหานั้นคือเป้าหมายของผู้อาวุโสร่างเตี้ยคือตัวเขา

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยโยนเหรียญทองแดงของมันแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนเช่นนี้ สามารถบอกได้ว่ามันโลภมากเพียงใด

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยเก็บเหรียญของมันไปอย่างตื่นเต้น ราวกับว่าได้ค้นพบสิ่งน่ายินดี

จ้าวเฟิงแทบจะตีมัน ศัตรูอยู่เบื้องหน้าพวกเขา แต่มันทำเพียงเล่นสนุกไปเรื่อย

ครืนนนน

ในยามนั้นเอง ท้องฟ้าได้แปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่น ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อย

ซ่า ซ่า ซ่า ซ่า

สายฝนได้เริ่มโปรยปรายลงจากท้องนภา เสียงครืนครางของอัสนีได้ดังขึ้น

ฝนตกลงในเวลานี้?

หัวใจของทุกคนจากสำนักจันทร์สลายร่วงหล่น

“เข้าหน้าพายุฝนแล้ว?”

จ้าวเฟิงพึมพำกับตนเอง ความขมขื่นในใจจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยความยินดี “สวรรค์มักหลงเหลือหนทางไว้ให้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!