บทที่ 248 : ทุกอย่างมีเหตุมีผลในตัวของมัน
ทะเลสาบผนึกมังกร ใจกลางเกาะ
ผู้อาวุโสระดับสูงของทั้งสิบสองสำนักล้วนยอมศิโรราบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น
ท้องฟ้าเหนือเกาะปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งลอยอยู่ ในมือถือพัดเหล็ก ดวงตาแหลมคมราวเหยี่ยว ใบหน้าเรียบเฉย สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือผิวหนังทั่วร่างของเขาได้ส่องประกายราวแร่ธาตุโลหะทอง ไม่เว้นกระทั่งเส้นผมหรือเสื้อผ้า ดูราวกับทำมาโลหะทองก็ไม่ปาน
บรรยากาศรอบกายของเขาเย็นเยียบราวโลหะ ราวกับปรอทที่เทราดลงสู่ที่ว่าง กระทั่งอากาศยังจับตัวแข็ง ไม่มีแม้แต่สายลมพัดโชย
“พวกเราทั้งสิบสองสำนักได้ยอมแพ้และยอมศิโรราบให้แก่มังกรโลหะแล้ว เช่นนั้นพวกท่านจะยังเข่นฆ่าพวกเราอยู่อีกหรือ?”
ผู้อาวุโสหลักจากสำนักดาบเมฆากดความโกรธที่พลุ่งพล่านลง ปาดโลหิตที่ย้อยออกจากริมฝีปาก
ในฐานะของผู้เชี่ยวชาญดาบ ดาบฟ้าคำรามของเขาก่อนหน้าสามารถตัดร่างของยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้น เป็นตัวเขาเองที่ได้รับบาดเจ็บจากพลังอันน่ากลัวนั่น
ผู้อาวุโสทั้งสิบสองรู้สึกไม่พอใจ ทว่ามิกล้าเอ่ยคำพูดใด จิตใจเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ไม่มีมีความคิดที่จะต่อต้านแต่อย่างใด
ขั้นนายเหนือแท้ สำหรับพวกเขาแล้ว มันช่างห่างไกลยิ่งนัก
ผู้อาวุโสหนึ่งสำนักจันทร์สลายเอ่ยอย่างหดหู่ “ในอดีต แคว้นมังกรโลหะและแคว้นสมบัตินภามีผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้เพียงแคว้นล่ะหนึ่งคน ทำให้สามารถรักษาสมดุลเอาไว้ได้ บัดนี้แคว้นมังกรโลหะได้มีขั้นนายเหนือแท้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง เพียงผู้หนึ่งก็สามารถพลิกสถานการณ์ทั้งหมดได้”
การปรากฏตัวขึ้นของขั้นนายเหนือแท้ได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแก่สถานการณ์
พวกเขายืนอยู่เหนือเมฆ ดวงตาราวปักษามองสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย การกระทำและคำพูดของพวกเขาล้วนมีอิทธิพลต่อโชคชะตาของคนนับพันนับหมื่นคน
“นายเหนือแท้เซียวเหยา” ลอยอยู่กลางอากาศ ใบหน้าเรียบเฉย มิเอ่ยคำพูดใด
ชายลึกลับชุดดำและสวมใส่ปิดหน้าจากแคว้นมังกรโลหะนำม้วนสารว่างเปล่ายาวหลายฟุตที่สร้างขึ้นจากวัสดุที่ไม่ธรรมดาออกมา
“ภายใต้พันธะสัญญาโลหิต ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของทั้งสิบสามแคว้น ณ ที่นี้ต้องลงนามในพันธะสัญญาโลหิต”
ชายชุดดำเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
ด้วยพลังของแคว้นมังกรโลหะแล้ว หากจะกำจัดคนเหล่านี้ไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ใด นอกจากนั้น สิบสองสำนักนับว่าหยั่งรากลึกนัก หากจะกำจัดทั้งหมดอย่างถอนรากถอนโคนย่อมมิใช่เรื่องง่าย
วิธีการที่ฉลาดที่สุดคือการปล่อยให้สำนักเหล่านี้มีอำนาจต่อไปเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
ผู้อาวุโสทั้งสิบสองมองหน้ากัน ดวงตาปรากฏความจนใจ
การทำพันธะสัญญาโลหิตนั้นก็เหมือนเช่นการยอมแพ้ และที่สำคัญไปกว่านั้น มันยังมีอำนาจผูกพันอย่างมาก เมื่อพวกเขาใช้โลหิตของตนในการทำสัญญา มันจะสร้างพันธะที่มองไม่เห็นประการหนึ่งขึ้น มิใช่เพียงเศษกระดาษแผ่นหนึ่งอีกต่อไป
หลังจากครึ่งชั่วยาม
ผู้อาวุโสทั้งสิบสองได้ใช้เลือดลงนามใน ‘ม้วนสารพันธะโลหิต’
สำหรับวิหารโบราณนั้น แต่เดิมพวกเขาก็เป็นคนของลัทธิมารจันทราชาดอยู่แล้ว เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นมังกรโลหะ จึงมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ฟุ่บ
‘นายเหนือเถี่ยเซียว’ ได้แปรเปลี่ยนเป็นประกายแสงโลหะ กลืนหายไปกับมวลหมู่เมฆกลางอากาศอย่างรวดเร็ว
คนในระดับนายเหนือแท้มา เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามทุกสิ่งก็จบลง ตั้งแต่ต้นจนจบมีเพียงความเงียบงัน พลังมหาศาลนั้นได้เปลี่ยนแปลงทิศทางของสงครามไป
ข่าวของการยอมแพ้ของทั้งสิบสองสำนักได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสิบสามแคว้นอย่างรวดเร็ว สร้างความเคลื่อนไหวและตื่นตกใจขึ้นทุกที่
ไม่ช้า ทั้งสิบสองสำนักก็กลายเป็นที่ตั้งค่ายของแคว้นมังกรโลหะ ตำแหน่งต่างๆ ของผู้อาวุโสแต่ละคนได้มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงไป
ในสำนักจันทร์สลาย
ผู้อาวุโสหยุนไห่ได้กลายเป็นจ้าวสำนักจันทร์สลายคนใหม่ เป็นกระบอกเสียงของแคว้นมังกรโลหะ
เนื่องจากผู้อาวุโสหนึ่งได้เสียแขนไปจากสงครามและการเผาผลาญแหล่งปราณจิตวิญญาณแท้ ทำให้พลังฝึกตนลดลง เป็นเพียงอันดับสอง
ผู้อาวุโสหยุนไห่ได้รับความเชื่อถือจากแคว้นมังกรโลหะอย่างมมาก เขาได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสคุมกฎ ทำให้มีอำนาจในสำนักอย่างแท้จริง
หลังจากกลายเป็นจ้าวสำนักแล้ว ผู้อาวุโสหยุนไห่ก็ได้เอ่ยคำสั่งอย่างเร่งรีบ: ไล่ล่าคนทรยศจ้าวเฟิง
“เด็กเหลือขอจ้าวเฟิงผู้นี้มิทำตามกฎของสำนัก ไร้ซึ่งความเห็นใจแก่ผู้อาวุโสและคนอื่นๆ หลบหนีจากสำนัก จงจับตัวกลับมายังสำนัก หากขัดขืนก็ฆ่าได้โดยไม่ยกเว้น”
น้ำเสียงโหดเหี้ยมของผู้อาวุโสหยุนไห่ดังก้องขึ้นทั่วทั้งห้องโถง
คำสั่งได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้นสำนักจันทร์สลายยังเสนอรางวัลจำนวนมากสำหรับผู้ที่สามารถฆ่าจ้าวเฟิงได้
เพียงแค่การให้ข้อมูลเกี่ยวกับจ้าวเฟิงก็จะได้นับผลึกเริ่มต้นระดับต่ำหนึ่งหมื่นผลึก กระทั่งสำหรับเหล่าผู้อาวุโสก็มินับว่าเป็นจำนวนที่น้อยแต่อย่างใด
สำหรับผู้ที่สามารถฆ่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้จะได้รับรางวัลเพิ่มอีกมาก มูลค่าสูงกว่านับสิบเท่า
ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่กลายเป็นรอง สถานการณ์โดยรวมของสำนักยังคงเงียบสงบ หากผู้อาวุโสหยุนไห่ไม่อาจหาข้ออ้างที่หนักแน่นได้ก็ย่อมมิกล้าหาเรื่องคนทั้งสอง
ในยามนั้น สำนักจันทร์สลายเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ทว่าผู้อาวุโสหยุนไห่เป็นผู้ที่ใช้วิธีการโหดเหี้ยเด็ดขาด กระทำการอย่างเด็ดเดี่ยว มีความเป็นธรรมในการมอบรางวัลและบทลงโทษ ทำให้ชนะใจคนส่วนหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
ป่าเมฆาคล้อย ป่าหมอก
ในยามนี้ จ้าวเฟิงกำลังทำความเข้าใจในเคล็ดพลังจิต พยายามที่จะทำลาย ‘ตราผี’ บนร่าง
ตราบเท่าที่ตราผียังคงอยู่บนร่างของเขา ความรู้สึกน่าขยะแขยงก็จะไม่หายไป
ทว่าระดับของตราผีนี้สูงนัก เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเด็กหนุ่มนั้นแม้จะสามารถรับรู้ถึงการคงอยู่ของมันได้ แต่การทำลายมันนั้นยังคงยากยิ่ง
“ตราบเท่าที่ ‘ตราผี’ ยังคงอยู่บนร่างของข้า ชีวิตของข้าก็จะไม่ปลอดภัย หากโครงกระดูกลึกลับเป็นจ้าวตำหนักจริงๆ และพลังของมันฟื้นฟูเข้าสู่จุดสูงสุด เกรงว่า…”
ในสมองของจ้าวเฟิงปรากฏเคล็ดพลังจิตทั้งหมดที่เขามีขึ้น ทว่ากลับค่อนข้างไร้ซึ่งหนทาง
หลังจากการสร้างสมดุลให้กับพลังฝึกตนของเขาแล้ว มันก็ผ่านมากว่าหนึ่งเดือน
เคล็ดพลังจิตของจ้าวเฟิงได้มีความก้าวหน้าอย่างมาก เขาสามารถทำความเข้าใจ ‘ตราผี’ ได้บางส่วน
“ ตราผีนี้ควรจะมีพลังในขั้นผู้วิเศษแท้เพื่อทำลาย มันดูคล้ายคลึงกับพลังลึกลับของคำสาปร้อยหลุมศพอยู่เล็กน้อย ทว่าตราผีนั้นไม่ได้สร้างความเสียหาย ทำเพียงเกาะติดอยู่กับร่างกายข้า ดังนั้นเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าจึงไม่ตอบสนองตามสัญชาตญาณ”
จ้าวเฟิงเริ่มได้ร่องรอยบางอย่าง
จากนั้นเขาจึงคิดใช้พลังของื ‘คำสาปร้อยหลุมศพ’ ใช้พิษต้านพิษเพื่อใช้ในการทำลายตราผี
ทว่าการใช้คำสาปร้อยหลุมศพนั้นมีความเสี่ยงอย่างมาก เขาจำเป็นต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากครึ่งวัน
จ้าวเฟิงเข้าไปในเขตคำสาปร้อยหลุมศพอีกครั้ง พลังน่าพรั่นพรึงหดหู่ที่มองไม่เห็นโอบล้อมร่างของเขา พยายามที่เข้ามาภายในร่างจากเบื้องหลัง ทว่าเมื่อเจอกลิ่นอายเก่าแก่ของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า พวกมันก็ล่าถอยไป
เมี้ยว เมี้ยว
ก่อนที่จะทำสิ่งใด เด็กหนุ่มได้ยื่นมือที่ปรากฏแมวขโมยตัวน้อยอยู่บนนั้นออกมา ปล่อยให้มันเสี่ยงทาย
แมวขโมยตัวน้อยผงกศีรษะ ใบหน้าปรากฏความภาคภูมิใจ มันนำเหรียญทองแดงเก่าแก่ออกมาก่อนจะโยนขึ้นกลางอากาศ เหรียญนั้นหมุนพลิกกลับไปมา ก่อนจะร่วงลงบนอุ้งเท้าของมันในที่สุด
หลังจากคว้าจับเหรียญนั้นได้ ใบหน้าของแมวขโมยตัวน้อยก็ปรากฏรอยยับย่นเล็กๆ ครั้งหนึ่งผงกศีรษะ อีกครั้งกลับส่ายศีรษะ
คำตอบได้ปรากฏขึ้นระหว่างแมวขโมยตัวน้อยและจ้าวเฟิง แต่คำตอบที่ได้กลับไม่ชัดเจนนัก กระทั่งแมวขโมยตัวน้อยยังไม่อาจอธิบายได้
“เช่นนั้นคงต้องลองดู”
อย่างน้อยจ้าวเฟิงยังได้รับการทำนายดวงชะตาจากแมวขโมยตัวน้อย บีบหนทางไปต่อให้คับแคบลง
บัดนี้การทำนายดวงชะตาของแมวขโมยตัวน้อยก็ได้โน้มเอียงไปทางสถานการณ์ที่ดี
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าใช้เคล็ดวิชาพลังจิต สัมผัสพลังของตราผี
ในเวลาเดียวกันเด็กหนุ่มก็ได้ใช้พลังสายเลือด โลหิตภายในร่างส่องแสงสีเขียวครามครอบคลุมดวงตาซ้าย มิติในดวงตาซ้ายสีเขียวครามล้ำลึกได้ปิดกั้น
เมื่อปิดกั้นดวงตาแล้ว ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็กลับเป็นสีดำและหม่นแสงลง
หรือพูดอีกอย่างว่าเด็กหนุ่มได้ผนึกพลังของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าไว้ชั่วคราว
ในที่สุด
เมื่อดวงตานั้นถูกผนึก พลังของคำสาปที่มองไม่เห็นก็ได้แทรกซึมเข้าร่างของเด็กหนุ่มจากเบื้องหลัง
ทั่วทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน โคจรพลังสายเลือดปลดปล่อยพลังเสี้ยวหนึ่งจากดวงตาออกมา มิกล้าที่จะผนึกโดยสมบูรณ์
แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น คำสาปก็ยังคงแข็งแกร่งนัก มันได้สัมผัสร่างกายของเด็กหนุ่ม
ทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงเย็นเยียบ ราวกับว่ามีมือเปื้อนโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังฉีกทึ้งเลือดเนื้อของเขาอยู่
ในช่วงระยะเวลาสำคัญนี้ เด็กหนุ่มพลันใช้เคล็ดพลังจิตออก เผยช่องว่างออกอย่างตั้งใจ ล่อล่วงพลังคำสาป
พลังของคำสาปนั้นกระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังต้องล่าถอย ราวกับสายน้ำในบ่อน้ำที่พบช่องว่าง
ช่องว่างที่เด็กหนุ่มเปิดออกนั้น คือตำแหน่งของตราผี
พรึ่บ พรึ่บ
ในนั้นปรากฏเสียงแปลกประหลาดเสียงหนึ่งขึ้น
หากเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเด็กหนุ่มสามารถมองเห็นได้ เขาก็จะพบกับมือขาวซีดเปื้อนเลือดที่ได้ล้วงเข้าไปภายในร่างของเขา
หากเขาไม่ได้ปลดปล่อยพลังบางส่วนของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าออกมา ร่างของเขาย่อมมีพลังของคำสาปเกาะติดไปแล้วแน่แท้
เวลาผ่านไปเล็กน้อย พลังของเด็กหนุ่มอ่อนแรงลงเล็กน้อย สีหน้าขาวซีด
เขาต้องใช้พลังสายเลือดและปราณแท้ในการป้องกันร่างกายของเขา
พลังสายเลือดมีที่อยู่ชัดเจน ทว่าสามารถเคลื่อนย้ายไปบางส่วนได้ อย่างเช่นการปิดกั้นมิติในดวงตาซ้าย
ทว่าปราณแท้ เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังคำสาปกลับค่อยๆ พ่ายแพ้
เมื่อเห็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็แทบจะยอมแพ้ ทว่าเขารับรู้ได้ว่าพลังของ ‘ตราผี’ เองก็ได้อ่อนแอลง
กำลังและปราณแท้ของจ้าวเฟิง รวมทั้งตราผีได้อ่อนแอลงไปพร้อมๆ กัน
โชคดีที่เจ้าเฟิงมีพลังสายเลือดคอยปกป้องอยู่ จึงทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
สามวันต่อมา
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า เลิกปิดกั้นดวงตาซ้าย แสงสีเขียวครามล้ำลึกได้ส่องสว่างอีกครั้ง
ในยามนี้ ตราผีบนร่างของเขาได้หายไปในที่สุด ทว่าปราณแท้ในร่างของเขาเองก็ด้อยลงหนึ่งขั้นเช่นกัน
“มันคุ้มค่าหรือไม่?”
จ้าวเฟิงเอ่ยกระซิบแผ่วเบาขณะมองไปยังแมวขโมยบนไหล่ของเขา
ในขณะที่ทำลายตราผี พลังฝึกตนของเด็กหนุ่มก็ได้ลดลงไปอยู่ที่นภาที่หก
ดวงตาของแมวขโมยตัวน้อยหรี่ลงเล็กๆ ทว่าไม่เอ่ยตอบสิ่งใด
จ้าวเฟิงออกจากแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ ตรวจสอบสภาพร่างกายของเขา พบว่าแม้พลังฝึกตนของเขาจะลดลง มันก็เสถียรขึ้น ความสามารถของเขาสามารถเทียบเท่าได้กับนภาที่เจ็ดหรือสูงกว่า
มันคล้ายกับการสร้างตึกสูง ฐานของตึกต้องมั่นคง มันจึงจะสามารถก่อสร้างขึ้นไปได้สูง
จ้าวเฟิงมีความรู้สึกเช่นนั้น ในงานพันธมิตร การทะลวงขั้นติดต่อกันสองนภาด้วยการช่วยเหลือของยา พลังฝึกตนจะเพิ่มขึ้นในนั้นที ทว่ามันก็สร้างความกระวนกระวายแก่เขาอย่างมาก
ทว่าบัดนี้ เรื่องนี้ไม่มีอีกต่อไป
การทำลายตราผีที่เป็นอันตราย แม้ว่าพลังฝึกตนของเด็กหนุ่มจะลดลงหนึ่งนภา พื้นฐานกลับมั่นคงกว่า ความสามารถที่เพิ่มขึ้นย่อมแข็งแกร่งขึ้น
ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวของมัน
ในเวลาเดียวกัน
ในสถานที่ห่างไกลในแคว้นมังกรโลหะ ในแท่นบูชาลึกลับ
“ตราผีถูกทำลายแล้ว…เป็นไปได้อย่างไร… หรือเป็นว่ามีคนจากขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคอยช่วยเหลือ?”
น้ำเสียงแหบแห้งดังก้อง บรรยากาศได้เย็นเยียบเข้าไปถึงวิญญาณ ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในสถานที่แห่งนั้นล้วนสั่นสะท้าน
เจ้าของเสียงคือโครงกระดูกในชุดดำ กระดูกสีเงินขาว ปรากฏประกายสีม่วงเข้ม
“ไม่ถูกต้อง… นั่นมันพลังของ ‘คำสาปร้อยหลุมศพ’ ”
สีหน้าของจ้าวตำหนักโครงกระดูกพลันแปรเปลี่ยนไป
“ท่านจ้าวตำหนัก เพียงเหยียบย่างเข้าสู่แดนต้องห้ามร้อยหลุมมศพก็ยากที่จะหลบหนีไปจากความทุกข์ทรมานได้ แสดงว่ามันต้องตายไปแล้ว”
ศพโลหิตลายเงินเผยรอยยิ้มแข็งๆ ขึ้น
จ้าวตำหนักโครงกระดูกผงกศีรษะ หากเจ้าของร่างที่มีตราผีสิ้นชีพ ตรานั้นย่อมสลายหายไป
“ท่านจ้าวตำหนัก เกี่ยวกับ ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ นั่น…”
ผู้คุ้มครองศพโลหิตเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
“มันคือความลับสูงสุดของลัทธิอันศักดิ์สิทธิ์นี้ หากไม่มีเหตุจำเป็นจริง ข้าก็จะไม่เข้าไปในแดนต้องห้ามนั่นเด็ดขาด เรื่องพวกนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”