บทที่ 247 : การปรากฏตัวของขั้นนายเหนือแท้
“…ข้ามีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าที่ต้องการให้เจ้าทำ”
เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ ประกายแสงได้สว่างวาบขึ้นในดวงตาของผู้อาวุโสหนึ่ง ทว่าไม่ช้ามันก็หม่นหมองลง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง
ในยามนี้
ผู้อาวุโสหนึ่งได้จมลงสู่ความทรงจำของเขา สีหน้าของความอ้างว้าง เย้ยหยัน เศร้าโศก และเกลียดชังได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ตั้งแต่ยามที่เขาได้เป็นศิษย์ของชายชราผู้นี้ มันเป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงได้เห็นผู้เป็นอาจารย์มีสีหน้าซับซ้อนเช่นนั้น
“ข้ารู้สึกผิดที่ต้องเอ่ยเช่นนี้ ทว่าภารกิจนี้เกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นส่วนตัวของข้า…”
สีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง ชายชรานำหวี หยกที่เหลือเพียงครึ่งที่สร้างขึ้นจากผลึกออกมาก่อนจะมอบมันให้แก่จ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงสัมผัสหวีหยกนั้นอย่างแผ่วเบา พบว่ามันถูกสร้างขึ้นจากวัสดุพิเศษที่เทียบเท่าได้กับอาวุธชั้นมนุษย์ระดับกลาง
อาวุธชั้นมนุษย์ระดับกลางนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้อาวุโสที่ทรงพลังในสำนัก
ทว่านิ้วของผู้อาวุโสหนึ่งกลับสั่นสะท้านเล็กๆ ยามที่เขามอบมันให้
ไม่เพียงเท่านั้น
ผู้อาวุโสหนึ่งพลันนำกระดาษและปากกาออกมาและเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างรวดรวดเร็วก่อนจะยื่นมันให้แก่จ้าวเฟิง
“เจ้าต้องส่งมอบจดหมายและหวี หยกครึ่งหนึ่งนี่ให้กับตระกูลหลิวที่อาณาจักรนภา หากสถานการณ์ในสิบสามสำนักไม่อาจที่จะแก้ไขได้ คนผู้นี้จะช่วยเหลือเจ้าด้วยความสัมพันธ์ของอาจารย์”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
ดวงตาของจ้าวเฟิงกวาดมองจดหมายและพบคำไม่กี่คำบนนั้น
“หลิวฉินซินชินฉี่”
จดหมายและหวีครึ่งหนึ่ง ทั้งคู่ต้องถูกส่งมอบที่อาณาจักรนภา
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับกับท่านอาจารย์คืออันใดกัน?
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะสงสัย เขาก็ไม่ได้เอ่ยถาม แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการทดแทนบุญคุณ จ้าวเฟิงก็จะทำหน้าที่นี้โดยไร้ซึ่งความลังเล
นอกจากนั้น ผู้อาวุโสหนึ่งยังใส่ใจในตัวเขาอย่างเห็นได้ชัด อาจกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายเตรียมพร้อมเพื่อตัวเขาโดยเฉพาะก็ย่อมได้
เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง
ด้วยพรสวรรค์ของจ้าวเฟิง การอยู่ในสิบสามแคว้นย่อมเป็นเพียงการจำกัดการเติบโตและความสามารถของเขา
ทว่าหากเขาสามารถเข้าไปยังดินแดนที่ใหญ่กว่าได้ บางทีเขาอาจจะมีอนาคตที่แตกต่างออกไป
“เจ้าต้องออกไปจากสิบสามแคว้นภายในสองเดือน นอกจากนั้น เพื่อรักษาความลับ เจ้าจะไม่อาจพบเจอผู้ได้นับแต่ตอนนี้ ”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอย่างเข้มงวด
“ท่านอาจารย์หมายความว่าข้าไม่อาจพูดคุยกับคนจากสำนักได้อีก?”
“มันจะดีที่สุดหากไม่ทำเช่นนั้น”
ผู้อาวุโสหนึ่งทอดถอนใจก่อนจะเอ่ยเพิ่ม “สำหรับตระกูลของเจ้า ข้าจะจัดการดูแลให้ หากเจ้าไม่มีเรื่องกังวลใดอีก เจ้าสามารถวางใจและไปได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของจ้าวเฟิงก็แปรเปลี่ยนไปที่สุด
เหตุใดผู้อาวุโสหนึ่งจึงเอ่ยราวกับว่าเป็นการสั่งลาเช่นนี้
หรือเป็นว่าสำนักจันทร์สลายและพันธมิตรนั้นไร้ซึ่งความหวังใดๆ แล้ว?
“ข้าไม่รู้ว่าพันธมิตรจะอยู่รอดในอนาคตหรือไม่ ทว่าข้ารู้ว่ายามนี้มันไม่อาจเป็นไปได้”
ผู้อาวุโสหนึ่งส่ายศีรษะอย่างขมขื่นขณะที่จับจ้องไปยังศิษย์ของตนด้วยสายตาล้ำลึก
จ้าวเฟิงเริ่มที่จะเข้าใจคำของผู้เป็นอาจารย์ อีกฝ่ายได้ฝากความหวังและอนาคตไว้ในกำมือของเขาแล้วจึงได้ทำเช่นนี้
ทว่าจ้าวเฟิงยังคงไม่เชื่อว่าสิบสามสำนักจะไร้ซึ่งหนทาง
เขาคิดในใจ ใช่ท่านอาจารย์มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือไม่?
ผู้อาวุโสหนึ่งดูจะรับรู้ถึงความสงสัยของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว ทว่าไม่ได้เอ่ยตอบตรงๆ เขาเอ่ยขึ้นว่า “สิบสามสำนักอาจร่วมมือกันต่อต้านแคว้นมังกรโลหะ ทว่าเจ้าคนเดียวไม่อาจส่งผลใดๆ ต่อการต่อสู้ในระดับนี้ได้ เจ้าเข้าใจความคิดของข้าหรือไม่?”
“ข้าเข้าใจแล้ว ภารกิจนี้มีแต่ผลดี ไม่ส่งผลร้ายใดๆ ต่อตัวข้า”
ความคิดของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
คำของผู้อาวุโสหนึ่งนับว่าถูกต้องแล้ว แม้ว่าจ้าวเฟิงจะอยู่ในป่าเมฆาคล้อย เขาก็ไร้ซึ่งความสำคัญใด
กระทั่งยอดฝีมือในขั้นมนุษย์แท้ยังไม่ปลอดภัยในการต่อสู้ระดับนี้ ผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็เป็นได้เพียงเบี้ยหมาก หรือกระทั่งโล่มนุษย์เท่านั้น พวกเขาไร้ซึ่งแรงคุกคามใดๆ ต่อศัตรู
“ในเมื่อข้าไร้ประโยชน์ที่นี่ สู้ข้าตั้งใจทำภารกิจของท่านให้สำเร็จจะดีกว่า”
ฟุ่บ!
ประกายแสงสีเขียวครามส่องประกายขณะที่จ้าวเฟิงออกไปจากถ้ำ หายไปพร้อมหมอกควัน
ไม่นานหลังจากที่เด็กหนุ่มจากไป แม่เฒ่าลิ่วเยว่ก็ปรากฏตัวขึ้นข้างผู้อาวุโสหนึ่ง
“ท่านจะยอมก้มศีรษะขอร้องคนผู้นั้นหรือ?”
แม่เฒ่าลิ่วเยว่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ
ผู้อาวุโสหนึ่งไม่เอ่ยสิ่งใด สิ่งที่เขาทำมีเพียงการมองไปยังทิศทางที่ร่างของผู้เป็นศิษย์เลือนหายไป จมลงให้ห้วงภวังค์
“แต่ก็เอาเถอะ การกระทำของท่านจะหลงเหลือความหวังเล็กๆ ให้กับสิบสามสำนัก สำหรับจ้าวเฟิง มันก็ไร้ซึ่งข้อเสีย อย่างแรก เขาจะสามารถออกไปจากสิบสามแคว้นที่วุ่นวายนี้ได้ อย่างที่สอง เขาจะสามารถก้าวเข้าสู่เวทีที่แท้จริงของทวีปเหนือได้ และอาจจะเป็นดังความปรารถนาของเขาด้วย”
แม่เฒ่าลิ่วเยว่ทอดถอนใจ
ในขณะที่นางคิดนั้น หากนางมีศิษย์ที่ดีเช่นนั้น บางทีนางอาจจะทุ่มสุดตัวเพื่อที่จะเปิดทางให้พวกเขาเช่นกัน
ทว่าการเตรียมการของผู้อาวุโสหนึ่งนั้นดีกว่านัก ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรนภา
ครึ่งวันต่อมา
จ้าวเฟิงได้เข้าไปภายในป่าเมฆาคล้อยคนเดียว
ระหว่างทาง เขาเห็นกลุ่มคนจากสำนักจันทร์สลายจากเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขาห่างออกไปหลายร้อยลี้
หยางกาน หลันเสี่ยวหย่วน หลินฝาน และคนอื่นๆ ยังคงอยู่ในระหว่างเดินทางกลับ
ทว่าจ้าวเฟิงไม่มีความคิดในการทักทายอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“สำนักจันทร์สลาย…แคว้นเมฆา… ต้องจากไปและหายไปจากสายตาของทุกคนทั้งเช่นนี้หรือ?”
หัวใจของจ้าวเฟิงนั้นรู้สึกเสียดายและโดดเดี่ยว
เขาเติบโตขึ้นภายในแคว้นเมฆาและไม่เคยออกจากพื้นที่นี้นอกจากงานสิบสามสำนักพันธมิตร
ทว่าความมีเหตุผลได้บอกว่ามันมีเพียงแต่ผลเสียหากเขาอยู่ที่นี่
“สิบสามสำนักได้ตกลงสู่วังวนอันตรายแล้ว ข้าไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ด้วยพลังของข้า นอกจากนั้น ข้ายังมีตราผีอยู่บนร่าง ทำให้ข้าอยู่ในอันตรายกว่าผู้อื่น”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
ตั้งแต่การทดสอบยอดนภา จ้าวเฟิงได้เติบโตขึ้นและครอบครองอันดับหนึ่งในงานพันธมิตรเมื่อไม่นานมานี้
ความสำเร็จพวกนั้นได้ทำให้เขามั่นใจขึ้น
ทว่าในยามนี้ เขาได้รู้สึกจนใจ เด็กหนุ่มได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เขาทำได้เพียงเพิกเฉย และหากทำสิ่งใดผิดพลาดก็จะสูญเสียชีวิต
“เมื่อใดที่ข้ามีพลังที่แท้จริง บางทีข้าอาจจะสามารถควบคุมชะตากรรมของสถานที่แห่งนี้ได้…”
จ้าวเฟิงพลันปรากฏความโหยหาพลังขึ้น
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยนั่งอย่างเกียจคร้านบนไหล่ของจ้าวเฟิง
เมื่อเทียบกับยามที่มันเพิ่งจะ ‘ฟัก’ แมวขโมยตัวน้อยเติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อย น้อยเสียจนสามารถมองข้ามได้ ขนาดของมันมีเพียงเท่าฝ่ามือหนึ่ง
ความเร็วในการเติบโตของมันนั้นเชื่องช้าอย่างไม่น่าเชื่อ
เมี้ยว เมี้ยว!
ราวกับว่ามันรับรู้ได้ถึงความโดดเดี่ยวของจ้าวเฟิง แมวขโมยตัวน้อยกระโจนออกไปด้านหน้า ก่อนที่จะวิ่งเล่นไปรอบๆ ป่าอย่างมีความสุข
จ้าวเฟิงมีความรู้สึกอยากแข่งกับแมวขโมยตัวน้อย
ทว่าหากไม่ใช้ผ้าคลุมเงาหยินและพลังสายเลือดของเขา เด็กหนุ่มก็ทำได้แค่เสมอกับสัตว์เลี้ยง
ทว่าในด้านของความคล่องแคล่วนั้น จ้าวเฟิงไม่อาจเทียบได้แม้แต่น้อย
ไม่เพียงเท่านั้น การหลบซ่อนในยามกลางคืน แมวขโมยตัวน้อยก็ทำได้อย่างดีมาก
แน่นอน
แมวขโมยตัวน้อยยังคงโยนเหรียญที่ราวกับสามารถทำนายอนาคตได้ในบางครั้ง
มนุษย์และแมวเดินทางผ่านป่าเมฆาคล้อย
ทว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ตัดสินใจที่จะออกจากสิบสามแคว้นในทันที
ผู้อาวุโสหนึ่งให้เวลาเขาสองเดือน
และเด็กหนุ่มยังคงมีปัญหาของตนเองที่ต้องจัดการ
อย่างแรก พลังฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นสองนภาในงานพันธมิตรและต้องการการสร้างสมดุล
อย่างที่สอง ตราผีเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข
โดยเฉพาะปัญหาที่สองที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกปวดหัวอย่างมาก
โครงกระดูกที่นำตราใส่เข้ามาในร่างของเขามีพลังน่าหวาดกลัวนัก ทั้งมันยังเป็นถึงจ้าวตำหนัก
ยามที่ลัทธิมารจันทราชาดอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ เพียงตำหนักรองก็สามารถที่จะกวาดล้างสิบสามสำนักได้ และอาจกระทั่งทำลายแคว้นใหญ่ได้แคว้นหนึ่ง
พวกระดับขั้นสูงนั้นมีมากเกินที่จะคาดเดาได้ และจ้าวตำหนักก็นับเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งถึง
ในวันนี้
จ้าวเฟิงได้เข้าไปในพื้นที่หมอก
มันเป็นเขตด้านนอกของแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ หากเข้าไปใกล้จะเป็นพื้นที่กระดูกที่มีคำสาปอยู่
ป่าหมอกนั้นมีพลังลึกลับที่จะขัดขวางประสาทสัมผัสของผู้คน กระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังมิอาจรอดพ้น
“ข้าจะฝึกตนที่นี่ก่อน มันคงจะปลอดภัย”
จ้าวเฟิงเลือกมุมหนึ่งก่อนจะนั่งลง
ครึ่งเดือนต่อมา เด็กหนุ่มได้ทำให้พลังฝึกตนของตนเองสมดุลได้
การพัฒนาไปสองนภาในเวลาสั้นๆ เช่นนั้นนับว่าผลีผลามเกินไป
ทุกสิ่งมีทั้งคุณและโทษ
ในขณะที่จ้าวเฟิงได้สร้างสมดุลให้กับพลังฝึกตนของเขา เขาก็พบว่าความสามารถของร่างกายของเขาลดต่ำลง การพัฒนาจะเป็นไปได้ยากขึ้น มันเป็นข้อเสียของการทะลวงขั้น
โชคดีที่เขาไม่มีความตั้งใจในการทะลวงขั้นใดๆ ในเวลาสั้นๆ นี้
มันมีคนเก่าแก่จำนวนมากในสำนักที่อยู่ในระดับนี้นับสิบปี หรือกระทั่งตลอดชีวิต
ช่องว่างระหว่างขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นกว้างใหญ่นัก การที่จะทะลวงขั้นได้นั้น คนต้องมีวาสนา ความสามารถ พรสวรรค์ และโชค ทุกสิ่งล้วนสำคัญอย่างเท่าเทียม
หลังจากฝึกตนไปอีกครึ่งวัน พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็สมดุล ทว่าความสามารถที่เพิ่มขึ้นของเขาได้ถูกจำกัด
หลังจากสร้างสมดุลให้กับพลังของเขาแล้ว
อีกปัญหาที่น่าปวดหัวคือ ตราผี
จ้าวเฟิงสามารถรับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของมันยามที่เขาเปิดเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าเท่า ทว่าด้วยระดับพลังและความเชี่ยวชาญในพลังจิตของเขา มันไม่เพียงพอที่จะทำลายตรานี้ ความยากนั้นเทียบเท่าได้กับการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ทว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ยอมแพ้ เขาเพ่งความสนใจไปยังเคล็ดพลังจิตที่เขาได้เรียนรู้มาจากฝนงานพันธมิตร
โดยไม่รู้ตัว ความเชี่ยวชาญในเคล็ดพลังจิตของเขาได้เพิ่มขึ้นสูงขึ้นมาก เช่นเคล็ดควบคุมใจ
ในระหว่างที่จ้าวเฟิงกำลังเพ่งความสนใจไปยังพลังจิต สถานการณ์ในสิบสามแคว้นก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ยอดฝีมือของสิบสามสำนักส่วนหนึ่งได้หลบหนีไปสำเร็จ
หรือจะพูดให้ถูกต้อง สิบสองสำนัก
หลังจากวางแผนมาครึ่งเดือน กองกำลังของสิบสองสำนักก็ได้โจมตีทะเลสาบผนึกมังกร
ในยามนี้ ทะเลสาบผนึกมังกรได้กลายเป็นที่มั่นของแคว้นมังกรโลหะไปแล้ว
ทว่าสิ่งแปลกประหลาดนั้นคือแคว้นมังกรโลหะไม่ได้ส่งยอดฝีมือหรือทหารมามากนัก
กองกำลังของสิบสองสำนักในยามนั้นเหนือกว่าแคว้นมังกรโลหะ
การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว
สิบสองสำนักมีความมั่นใจว่าจะทำให้แคว้นมังกรโลหะล่าถอยไปได้
ทว่าในยามนั้นเอง สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้น
แคว้นมังกรโลหะปรากฏบุคคลผู้มีพลังมากผู้หนึ่งขึ้น
ขั้นนายเหนือแท้
นายเหนือแท้ผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น
ในยามนั้น กองกำลังของสิบสองสำนักนั้นมีมากกว่าฝั่งของแคว้นมังกรโลหะสองเท่า
ทว่าเมื่อผู้ที่อยู่ในขั้นนายเหนือแท้ปรากฏตัวขึ้น ความได้เปรียบทั้งหมดก็จางหายไป
เหล่าผู้ที่อยู่ในขั้นนายเหนือแท้สามารถพลิกเมฆ เรียกฝนได้ เป็นสิ่งที่สามารถตัดสินการต่อสู้ได้
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผู้ที่อยู่ในขั้นนายเหนือแท้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด
พวกเขาเพียงรู้ว่าเหล่าระดับสูงในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ยอมศิโรราบโดยไร้ซึ่งการต่อต้านใดๆ