บทที่ 249 : หลบหนี
ป่าหมอก
จ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันเปิดเปลือกตาออก สีสันบนใบหน้ากลับเป็นปกติ
นอกจากพลังฝึกตนที่ได้ลดลงสู่นภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว ในด้านอื่นๆ เมื่อเทียบกับในงานพันธมิตรแล้วไม่แตกต่างมากนัก
แน่นอน
ความเชี่ยวชาญในด้านของเคล็ดวิชาพลังจิต เมื่อเทียบกับยามงานพันธมิตรนับว่าลึกล้ำขึ้น จะอย่างไรตลอดหนึ่งเดือนมานี้เขาก็ได้ฝึกฝนมันเพื่อที่จะทำลาย ‘ตราผี’ บนร่าง
“ตราผีถูกทำลายแล้ว อย่างน้อยก็มิต้องกังวลถึงการเฝ้ามองของยอดฝีมือของวิหารโบราณหรือลัทธิมารจันทราชาด”
เมื่อเทียบช่างน้ำหนักตัวเลือกแล้ว ในหัวใจของจ้าวเฟิงไร้ซึ่งความเสียใจ
อันตรายในการมีตราผีติดตัวนั้นสูงเกินไป ผู้ที่สามารถค้นหาเขาเจอได้ส่วนมากอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เขาไม่อาจมั่นใจได้ว่าการปะทะกันครั้งหน้าจะมีเมฆฝนอีกหรือไม่
เมื่อคำนวณเวลา จ้าวเฟิงก็พบว่าระยะเวลาสองเดือนที่ผู้อาวุโสหนึ่งได้มอบให้นั้นได้ผ่านไปกว่าสองในสามแล้ว
ตามข้อตกลง เขาจะต้องออกจากสิบสามแคว้นภายในสองเดือน ไปยังอาณาจักรนภาที่ห่างไกลเพื่อทำหน้าที่สำคัญที่ได้รับมอบหมาย
แม้ว่าหัวใจของจ้าวเฟิงจะรู้สึกอ้างว้างอยู่ประการหนึ่ง เขาก็ต้องจากไป
ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องการที่จะไปยังเวทีสำนักที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ตั้งแต่ยามที่เขาได้เห็นแผนที่ของทวีปเหนือและรับรู้ว่าสิบสามแคว้นนั้นเป็นเพียงจุดจุดหนึ่งในมุมหนึ่ง หัวใจของเขาก็สั่นไหว
สองวันต่อมา
จ้าวเฟิงเดินทางด้วยตัวคนเดียวมาถึงเมืองประกายอรุณ พบว่าตระกูลจ้าวยังคงเป็นปกติสุขเช่นก่อนหน้า
เขาไม่ได้ไปทักทายคนตระกูลจ้าวผู้ใด
ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง เด็กหนุ่มกลับรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่ามีบางสิ่งจับจ้องอยู่
เขาไม่กล้าที่จะรั้งอยู่นาน รีบเร่งออกจากเมืองประกายอรุณไป
ในตอนนั้นเองที่เสียงๆ หนึ่งได้ดังขึ้นจากความว่างเปล่า
“ จ้าวเฟิง อย่าได้หลบหนี กลับไปกับข้าเพื่อรับโทษทัณฑ์เสีย”
เสียงตวาดหยาบกระด้างขึ้นจากเบื้องหลัง
ผู้มาใหม่เป็นชายวัยกลางคน สวมใส่เสื้อสีม่วง มือถืออาวุธมนุษย์ระดับสูง นำกลุ่มคนในนภาที่หกขึ้นไปจากสำนักไล่ล่ามาจากด้านหลัง
“กลับไปสำนักเพื่อรับโทษทัณฑ์?”
จ้าวเฟิงชะงัก
เด็กหนุ่มรู้จักชายวัยกลางคนในชุดสีม่วง เขาเป็นรองหัวหน้าตำหนักที่เก่งกาจผู้หนึ่งของสำนัก
“เจ้ายอมแพ้เสียตอนนี้ดีกว่า!”
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงใช้อาวุธมนุษย์ระดับสูงในมือ กระแสลมได้พัดกระโชกจากทุกทิศ คลื่นพลังปราณสีม่วงจากคมดาบทำให้อากาศจับตัวแข็ง ครอบคลุมพื้นที่ในระยะสิบหลาในเสี้ยววินาที
แคร่ก
ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏก้อนสายฟ้าขึ้น เส้นอัสนีสีครามนั้นเป็นราวกับอสรพิษ พุ่งตรงไปยังชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงและคนอื่นๆ ด้วยความเร็วอันน่าหวาดกลัว
เมื่อพลังทั้งสองเข้าปะทะกัน ชายวัยกลางเป็นฝ่ายล่าถอยออกไปพร้อมกับแรงระเบิด ทั่วทั้งร่างปรากฏความรู้สึกหนึบชา ไม่อาจขยับได้ดังใจ แขนข้างที่ถือดาบไหม้เกรียม ผมปรากฏควันลอยขึ้น
กลุ่มคนที่เขานำมาด้วยได้ถูกพลังที่หลงเหลือโจมตีล้มลงบนพื้น ไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
“นี่คือพลังของอันดับหนึ่งในงานพันธมิตร”
คนจากสำนักจันทร์สลายเริ่มกระวนกระวายกับพลังที่ไม่อาจเทียบเคียงได้ของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็จัดการผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ มิต้องเอ่ยถึงผู้อื่นเลย ในระยะเวลาสั้นๆ สามารถทำให้ศัตรูทั้งหมดไม่อาจต่อสู้ได้ ช่างเป็นพลังที่น่าพรั่นพรึงอันใดเช่นนี้
“ได้ยินมาว่ายามที่จ้าวเฟิงอยู่ในงานพันธมิตร เขาได้ทะลวงขั้นเข้าสู่นภาที่เจ็ด ทว่ามิรู้ว่าด้วยเหตุใด บัดนี้กลับได้ร่วงหล่นลงหนึ่งนภา หากเป็นช่วงเวลาที่พลังของเขาอยู่ในจุดสูงสุด บางที…”
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงสูดลมหายใจลึก หัวใจบีบรัดแน่นจากสถานการณ์อันตราย
เมื่อยามที่เขาได้ยินถึงภารกิจและรางวัลที่สำนักจะมอบให้ ตอนนั้นเขาก็ได้ยินถึงชื่อเสียงของเด็กหนุ่มผู้นี้มาบ้าง ทว่ามิได้นำมาใส่ใจ ในฐานะของหนึ่งในสามอันดับแรกของผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง แม้ว่าเด็กสกุลจ้าวจะแข็งแกร่งเพียงไร มันจะเทียบอันใดได้กับเขา?
ทว่ามีเพียงหลังได้เผชิญหน้าด้วยตนเองที่เขาได้รับรู้ถึงความอันตรายของอีกฝ่าย จ้าวเฟิงนั้นน่าพรั่นพรึงกว่าที่เขาเคยได้ยินมานัก
จะอย่างไรก็ตาม พลังฝึกตนของอีกฝ่ายก็ได้ลดต่ำลงหนึ่งขั้นสู่นภาที่หก ด้วยพลังของขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง มันย่อมเรียกได้ว่าห่างกันสองถึงขั้น
“ผู้ใดส่งเจ้ามาฆ่าข้า?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงมืดทะมึนขึ้น
ด้วยพลังฝึกตนที่ลดลงสู่นภาที่หกและไม่ได้ใช้พลังสายเลือด การโจมตีเมื่อครู่จึงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างเฉียดฉิว
“จ้าวเฟิง เป็นจ้าวสำนักหยุนไห่สั่งการ ทั้งสิบสามแคว้นได้ตั้งค่าหัวในการจับตัวเจ้าได้ หากขัดขืนสามารถฆ่าได้ แต่หากไม่มีการขัดขืนให้นำกลับไปยังสำนักเพื่อรับโทษทัณฑ์ ข้าเองก็ต้องการที่จะรักษาชีวิตเจ้าไว้เช่นกัน”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงค่อนข้างหวาดเกรงในตัวเด็กหนุ่ม มิกล้ากระทำการผลีผลามใดๆ
ในเวลาเดียวกัน เขาต้องรอให้คนของเขาฟื้นฟูสภาพร่างกาย และในอีกทางหนึ่งเพื่อถ่วงเวลา รอกำลังเสริมจากสำนัก
เป็นเพียงคนรุ่นใหม่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ทว่ากลับต้องให้ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงลงมือ?
ก่อนหน้าเขาได้ปฏิเสธที่จะยอมรับมัน ทว่าบัดนี้ชายวัยกลางคนเองก็ได้เริ่มคิดเช่นนั้น ดูเหมือนคำแนะนำของจ้าวสำนักหยุนไห่มิใช่ไร้เหตุผลไปเสียทั้งหมด
“จ้าวสำนักหยุนไห่? คำสั่งฆ่า?”
หัวใจของจ้าวเฟิงเย็นเยียบ
จากนั้น
จ้าวเฟิงจึงใช้พลังสายเลือดเล็กน้อย ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการโจมตีชายวัยกลางคนและลูกน้องจนบาดเจ็บสาหัส
ชายวัยกลางคนรับมือเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไปไม่กี่กระบวนท่าอย่างกล้ำกลืนก่อนจะกระอักโลหิตและพ่ายแพ้ กระทั่งสูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง
หากมิเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต เมื่อเผชิญกับการตามล่าเอาชีวิตเช่นนี้ เด็กหนุ่มคร่าชีวิตอีกฝ่ายไปแล้ว
“ข้าถามเจ้า ในช่วงเวลาสองเดือนนี้ในสำนักจันทร์สลาย รวมทั้งสิบสามสำนักได้เกิดสิ่งใดขึ้น?”
สายตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ดอีกคน
ผู้คุมกฎในนภาที่เจ็ดผู้นั้นพลันถูกควบคุมในทันที เอ่ยบอกทุกสิ่งออกไป
เมื่อได้รับคำตอบ จ้าวเฟิงจึงได้มีความเข้าใจในสถานการณ์ของสิบสามสำนักและสำนักจันทร์สลายในระดับหนึ่ง
“ขั้นนายเหนือแท้ปรากฏตัว? ทั้งสิบสองสำนักยอมแพ้แต่โดยดี?”
“ผู้อาวุโสหยุนไห่ ไอ้กบฏผู้นี้มิคาดได้กลายเป็นจ้าวสำนักจันทร์สลาย กระทั่งส่งคนมาไล่ล่าข้าในสิบสามแคว้น”
ข่าวนี้ได้ทำให้จ้าวเฟิงชะงักงันและโกรธเกรี้ยว
การปรากฏตัวขึ้นของขั้นนายเหนือแท้ได้ทำให้รู้สึกไร้หนทาง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยตนเอง แต่เมื่อคิดว่าเหล่าระดับสูงของทั้งสิบสองสำนักที่มีพลังเกือบจะเป็นสองเท่าของอีกฝ่ายในยามนั้นยังคงต้องยอมแพ้ เขาก็สามารถประเมินได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกโกรธแค้นนั้นคือการที่ผู้อาวุโสหยุนไห่ได้กลายเป็นจ้าวสำนัก
ในวันนั้น ณ ทะเลสาบผนึกมังกร ผู้อาวุโสหยุนไห่ได้ลอบโจมตีจ้าวสำนัก นับได้ว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าจ้าวสำนักคนก่อน
จ้าวสำนักจันทร์สลายคนเดิมนั้นคือเซียนผู้สูงศักดิ์ซื่อตรง จ้าวเฟิงได้สร้างปัญหามากในการทดสอบยอดนภา ผู้อาวุโสคุมกฎและคนอื่นๆ ต้องการที่จะสอบปากคำเขา เป็นจ้าวสำนักผู้งดงามผู้นี้และผู้อาวุโสหนึ่งที่ยืนเคียงข้างเขา
ทั้งจ้าวสำนักผู้งดงามนี้ก็คืออาจารย์ของหลันเสี่ยวหลาน ดังนั้นส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มจึงได้ปรากฏความเคารพต่อนาง
“ผู้อาวุโสหยุนไห่ผู้นี้…”
ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายอำมหิตเย็นเยียบ เป็นครั้งแรกที่เขาต้องการฆ่าใครบางคนมากมายเพียงนี้
ก่อนหน้า มันเป็นเพียงเพื่อช่วยล้างมลทินของกว่านจวินโหว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงต้องการเพียงเอาชนะผู้อาวุโสหยุนไห่และทำให้อีกฝ่ายอับอายหากมีโอกาส
ทว่าเขามิคาดว่าผู้อาวุโสหยุนไห่จะเลวร้ายเพียงนี้ เขาได้ทรยศสำนักจันทร์สลายมายาวนาน จ้าวสำนักคนก่อน บัดนี้กระทั่งส่งคนมาตามล่าเขา
มันเป็นเรื่องดีที่สำนักจันทร์สลายยังคงมีผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ ตระกูลจ้าวรวมทั้งคนที่สนิทสนมกับจ้าวเฟิงย่อมปลอดภัย
“ครานี้จะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน ครั้งหน้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้า”
ร่างของจ้าวเฟิงแล่นวูบ ประกายสายฟ้าปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียง ไม่ช้าก็กลายเป็นเงาหนึ่งจางหายไปโดยไร้ซึ่งร่องรอย
เขาไม่กล้าที่จะรั้งอยู่นานด้วยความเป็นไปได้ที่จะมีใครบางคนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมา และด้วยพลังฝึกตนในนภาที่หกนั้น การหลบหนีย่อมเป็นไปไม่ได้
หลังจากจ้าวเฟิงจากไปหนึ่งชั่วยาม ผู้อาวุโสคุมกฎของสำนักจันทร์สลายที่ได้รับข่าวก็เร่งร้อนมา
ผู้อาวุโสคุมกฎผู้นี้คืออาจารย์ของศิษย์หลัก ลู่ฮู่
ในการทดสอบยอดนภา ลู่ฮู่ได้ถูกเตะออกมาโดยจ้าวเฟิง ผู้อาวุโสคุมกฎยังคงจำเรื่องนี้ฝังใจ
นอกจากนั้น หลังจากการทดสอบยอดนภา จ้าวเฟิงราวกับตบเข้าที่ใบหน้าของเขา ทำลายศักดิ์ศรีของเขาจนหมดสิ้น
หลังจากที่ผู้อาวุโสหยุนไห่ได้กลายเป็นจ้าวสำนัก ผู้อาวุโสคุมกฎก็ได้กลายเป็นผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หลังจากที่ผู้อาวุโสคุมกฎมาถึงและค้นหา ทว่ากลับมิพบถึงร่องรอยใดๆ ของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
จ้าวเฟิงมีผ้าคลุมเงาหยินที่สามารถปกปิดกลิ่นอายได้ หลังจากถูกไล่ล่าเด็กหนุ่มก็ได้หลบซ่อนอยู่ในป่าเมฆาคล้อย
“หากข้าถูกบีบบังคับให้เข้าตาจน ข้าจะไปซ่อนใน ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ แม้ว่าจะเป็นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็มิกล้าที่จะเข้าไปง่ายๆ”
จ้าวเฟิงเข้าไปภายในป่าเมฆาคล้อย ราวกับมัจฉาที่ได้กลับไปแหวกว่ายในธารา
เขาและแมวขโมยตัวน้อยนั้นมีความสามารถในการปกปิดตัวตนที่ยอดเยี่ยม หลังจากเข้าไปภายในป่าเมฆาคล้อยย่อมสามารถเรียกได้ว่าปลอดภัย
“ดูเหมือนว่าข้าคงต้องออกจากสิบสามแคว้นให้เร็วที่สุดเพื่อมิให้เกิดปัญหา”
จ้าวเฟิงรู้สึกหดหู่ ทว่าได้ตัดสินใจ
ในยามนี้ สิบสามแคว้นมิใช่ที่หลบภัยของเขาอีกต่อไป เขาจำเป็นต้องหลบหนีเข้าไปยังอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของทวีปเหนือ เข้าสู่เวทีสำนักที่ใหญ่กว่าเดิม
จ้าวเฟิงได้เริ่มเดินทางออกจากสิบสามแคว้นในวันเดียวกัน มุ่งตรงไปยังชายแดนของสิบสามสำนัก
ตลอดทาง เด็กหนุ่มได้พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่อยู่อาศัยและที่ที่มีคนมากให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แม้กระนั้น เขาก็ยังคงพบเห็นคนในชุดของสำนัก ทั้งยังมีเงาของลัทธิมารจันทราชาด
กระทั่งมีครั้งหนึ่งที่เด็กหนุ่มได้ถูกพบโดยศิษย์ระดับล่างผู้หนึ่ง อีกฝ่ายต้องการที่จะรายงานไปยังสำนัก ทว่าได้ถูกฆ่าภายในเสี้ยววินาทีด้วยเคล็ดพลังจิตของจ้าวเฟิง
ภาพลักษณ์เรือนผมสีเขียวครามและนัยน์ตาข้างเดียวของเด็กหนุ่มนั้นเพียงโดดเด่นเกินไป ทั้งในงานพันธมิตรเขายังได้มีชื่อเสียงขึ้นภายในข้ามคืน บัดนี้มันจึงกลายเป็นสิ่งที่สิบสามแคว้นใช้เป็นเบาะแส คาดคิดว่าการที่จะมิถูกพบเห็นนั้นยากนัก
ดังนั้นแล้วจ้าวเฟิงได้ทำผ้าคลุมหน้าขึ้น ปกปิดศีรษะและใบหน้าเอาไว้
เพื่อที่จะเดินทางให้รวดเร็วขึ้น ในป่าเมฆาคล้อย จ้าวเฟิงได้ใช้เคล็ดวิชาพลังจิต ควบคุมสัตว์ปีศาจในนภาที่เจ็ด ‘นางแอ่นมรกต’
นางแอ่นมรกตมีขนาดตัวไม่ใหญ่นักในฐานะของสัตว์ปีก ปีกกว้างเพียง 2-3 หลา
ทว่าหากจะดูถูกมันด้วยขนาดตัวก็นับว่าผิดพลาดแล้ว
ปีกของนางแอ่นมรกตนั้นบางราวกับใบมีด ในด้านของความเร็วในการบินนั้น ตัวมันที่อยู่ในนภาที่เจ็ดนับว่ายอดเยี่ยมที่สุด ในด้านพลังโจมตีเองก็ไม่ด้อยไปกว่ากันนัก ทว่าจุดอ่อนของมันนั้นคือพลังป้องกันของมันค่อนข้างอ่อนด้อย พลังป้องกันทางกายภาพของมันต่ำกว่าสัตว์ปีศาจในระดับเดียวกัน
ในป่านั้น หากพบเจอนางแอ่นมรกต กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ยังต้องหวั่นเกรง กระทั่งล่าถอย
ทว่าด้วยเคล็ดพลังจิตของจ้าวเฟิง ในยามนี้การควบคุมนางแอ่นมรกตย่อมง่ายดายนักด้วยพลังป้องกันทางจิตของมันนั้นไม่ได้มากมาย
ฟุ่บ
นางแอ่นมรกตบินร่อน ราวกับเป็นคมมีดสีเงินที่ส่องประกายบนฟากฟ้า ทะลวงผ่านเมฆไปด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า
“ด้วยความเร็วระดับนี้ นางแอ่นมรกตตัวนี้อาจมีพลังเทียบเท่าได้กับขั้นมนุษย์แท้”
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจและพึงพอใจมาก
แม้ว่าพวกที่อยู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะสามารถบินได้ มันก็ทำได้เพียงระยะเวลาสั้นๆทั้งยังต้องใช้พลังงานค่อนข้างมาก ไม่สามารถบินติดต่อกันได้ยาวนาน มิต้องพูดถึงการเทียบคียงกับสัตว์ปีศาจที่บินได้เลย
ดังนั้นแล้ว ในยุทธภพ ปักษาระดับอสูรเหยาจึงหายากยิ่ง หากต้องการจะครอบครองสักตัวย่อมยากเย็นนัก
ทว่ามันมินับเป็นเรื่องยากสำหรับจ้าวเฟิง
ผ่านมาสิบวัน จ้าวเฟิงได้ออกจากอาณาเขตของสิบสามแคว้น นางแอ่นมรกตไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มผิดหวัง การบินหนึ่งวันของมันสามารถไปได้ไกลถึงหนึ่งหมื่นลี้
ทว่าจ้าวเฟิงไม่รู้ว่าเขามิใช่อัจฉริยะเพียงผู้เดียวที่ถูกไล่ล่าและหลบหนีออกจากสิบสามแคว้น
มีอีกสองคน นั่นคือชางหยูเยว่และจ้าวหยูเฟย
ทว่าความแตกต่างระหว่างทั้งสามนั้นมีเพียงการที่ทั้งสองมีคนตามล่าน้อยกว่ามากนักด้วยรางวัลนั้นด้อยกว่า
เพราะจ้าวเฟิงได้ครองอันดับหนึ่งในงานพันธมิตร และด้วยความรู้สึกเกลียดชังริษยาของผู้อาวุโสหยุนไห่ ค่าหัวของจ้าวเฟิงในสิบสามแคว้นนั้นจึงกระทั่งสูงกว่าคนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
หลายเดือนผ่านไปในพริบตา
จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟย และชางหยูเยว่ล้วนหายไปจากอาณาเขตของสิบสามแคว้น ในระยะเวลาสั้นๆ มิอาจกลับมา เช่นเดียวกับการที่ซินอู๋เหิงหายไปอย่างลึกลับในเมืองประกายอรุณก่อนหน้า