บทที่ 250 : ชายแดนอาณาจักรใหญ่ (1)
ในทวีปบุปผาครามนั้น ระหว่างแต่ล่ะแคว้นจะปรากฏผืนป่ากว้างใหญ่
ผืนป่าเหล่านั้นเป็นพื้นที่เปิดที่มนุษย์ยังไม่ได้เข้าไปรุกราน มักจะถูกครอบครองโดยสัตว์อสูรหรือสัตว์ปีศาจขนาดยักษ์ กระทั่งมีฝูงสัตว์ปีศาจจำนวนมาก
ไม่เพียงเท่านั้น
ป่าเหล่านี้มักจะมีสภาพอากาศที่เลวร้าย ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หากประมาทแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจต้องสังเวยด้วยชีวิต สถานที่เช่นนี้อาจนับได้ว่าคล้ายคลึงกับการทดสอบที่สามของการทดสอบยอดนภา เกาะพรมแดนนภา ทว่าพื้นที่นั้นกว้างใหญ่กว่าและระยะทางก็ห่างไกลกว่า
ดังนั้นแล้ว หากต้องการจะผ่านผืนป่าระหว่างแต่ล่ะแว่นแคว้นไปนั้นนับว่าเป็นเรื่องอันตรายยิ่งนัก กระทั่งผู้คนในยุทธภพยังไม่อาจที่จะผ่านไปได้โดยง่าย
แน่นอนว่า
ผู้คนที่หลบหนี รวมทั้งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงขึ้นไปย่อมไม่นับอยู่ในคนเหล่านั้น
ในทะเลทรายรกร้างแห่งหนึ่ง
ฟิ้ววว
สตรีงามล้ำในชุดสีขาว เบื้องหลังปรากฏดาบสองคมเล่มหนึ่ง ทั่วทั้งร่างปรากฏรังสีดาบรุนแรง กระโจนพลิ้วแผ่วไปด้านหน้า
เบื้องหน้าพลันปรากฏร่างของบางสิ่งที่คล้ายตั๊กแตนบินมาจำนวนมหาศาล
เด็กสาวชุดขาวตวาดเสียงเบา ในดวงตาควบรวมจิตแห่งดาบที่มองไม่เห็นไปยังดาบสองคมนั้น ดาบได้ส่องประกายสีรุ้ง วาดผ่านนภาสีฟ้าอย่างงดงาม
ในเสี้ยวพริบตา ฝูงตั๊กแตนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ถูกหั่นครึ่งไปพร้อมกับอากาศด้วยจิตแห่งดาบที่มองไม่เห็น มันได้ทำให้ตั๊กแตนจำนวนมหาศาลนั้นล่าถอยไป
“แม้ว่ามันจะดูเสี่ยง ทว่าหนทางนี้คือทางที่สั้นที่สุด หากเดินทางผ่านไปอีกสองแคว้นจะพบกับสำนักดาบอันดับหนึ่ง ‘สำนักหมื่นดาบ’ ”
ชางหยูเยว่จับจ้องไปยังแผนที่ในมือ
สำนักหมื่นดาบนั้นเป็นหนึ่งในยอดสำนักในทวีปเหนือ สามารถถูกจัดอยู่ในสิบยอดสำนักของทวีปเหนือได้
ในฐานะของสำนักดาบอันดับหนึ่งในทวีปเหนือ ผู้ฝึกดาบทั่วไปของสำนัก หากไม่มีพรสวรรค์ที่น่าตื่นตะลึงหรือมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ย่อมไม่มีคุณสมบัติในผ่านเข้าไปในสำนัก
ทว่าชางหยูเยว่มั่นใจ ด้วยอายุของนางและความเข้าใจในเมล็ดพันธุ์แห่งดาบ แม้จะกวาดมองไปทั่วทั้งทวีปก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
อีกทั้งในมือนางยังมีจดหมายแนะนำอีกด้วย
จากการที่สำนักดาบเมฆาถูกควบคุมโดยแคว้นมังกรโลหะและลัทธิมารจันทราชาด การที่เด็กสาวหลบหนีไปก็เทียบเท่าได้กับการทรยศ และถูกไล่ล่า
โชคดีที่กลุ่มไล่ล่าที่ใหญ่ที่สุดได้ถูกดึงดูดไปโดยจ้าวเฟิง ทำให้นางไม่เป็นที่จับจ้องมากนัก และสามารถหลบหนีออกจากสิบสามแคว้นได้อย่างปลอดภัย
ในผืนป่าใหญ่ ท่ามกลางภูเขาสูงชัน
เทพธิดาที่งดงามในชุดสีม่วงได้ทะยานสูง เรือนผมสีดำพลิ้วไหวในสายลม นัยน์ตาใสกระจ่างราวผลึก ผลึกใสนั้นได้สร้างภาพลักษณ์งดงามราวบุปผาให้แก่นาง ราวกับรูปปั้นที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นจากหิมะ ผิวของนางนั้นขาวราวหยก นานไปได้เริ่มปรากฏสีเลือดฝาด
สาวงามผู้นี้ หากจะเอ่ยว่าเป็นสาวงามสมชื่อแคว้นย่อมมิเกินเลย
“สำนักสามก่อกำเนิดคือยอดสำนักในทวีปเหนือ เป็นหนึ่งในสำนักสาขาของ ‘หนึ่งในสิบยอดสำนักกำเนิดนภา’ มิรู้ว่าหนทางในครานี้จะราบรื่นหรือไม่”
ในดวงตาของจ้าวหยูเฟยปรากฏความยินดีและกังวลในเวลาเดียวกัน
สำนักสามก่อกำเนิด จะอย่างไรก็เป็นหนึ่งในยอดสำนัก กระทั่งสามารถคุกคามสำนักใหญ่ของแคว้นมังกรโลหะได้
สิ่งที่น่าพึงพอใจไปกว่านั้นคือหากสำนักสาขาของยอดสำนักกำเนิดนภามีความสามารถที่ดี คนจากสำนักก็อาจได้รับเลือกจากสำนักหลัก
ทั้งสิบยอดสำนักนั้นปกครองพื้นที่กันคนล่ะส่วน สำนักกำเนิดนภาครอบครองอันดับหนึ่งหรือสอง แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของมัน
“ศิษย์พี่จ้าวเฟิงได้ถูกไล่ล่าจากสิบสามแคว้น ความกดดันนั้นมากมายกว่าข้านัก ข้าเชื่อว่าเขาจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ ข้าหวังว่าเราจะเจอกันในอนาคต สักวัน…”
ในดวงตาใสกระจ่างของเด็กสาวปรากฏประกายแสงแห่งความหวัง
นอกสิบสามแคว้น
เวิ้งน้ำท่ามกลางป่าที่ซับซ้อน
“ในที่สุดก็หลบหนีออกจากสิบสามแคว้นของผู้อาวุโสหยุนไห่ได้! ความอับอายในครานี้ ในอนาคตข้าจะคืนให้เป็นสองเท่า”
เสียงอำมหิตโหดเหี้ยมดังขึ้นจากบุคคลที่มีผ้าปกปิดใบหน้า น้ำเสียงเต็มนั้นไปด้วยจิตสังหาร
ใต้ผ้านั้นคือเด็กหนุ่มเรือนผมสีเขียวคราผู้มีสีหน้าหดหู่เคียดแค้น
หลังจากหลบหนีจากการไล่ล่าของสิบสามสำนักออกมาอย่างเร่งรีบ จ้าวเฟิงก็ได้มีเวลาพักหายใจ
อีกทั้งศัตรูผู้นั้นยังอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเสียอีก ฝีมือก็มาก บัดนี้ยังมีอำนาจ ได้รับตำแหน่งจ้าวสำนัก เด็กหนุ่มย่อมไม่อาจต่อสู้ขัดขืนอีกฝ่ายตรงๆ ได้
จ้าวเฟิงเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า สิบสามแคว้นบัดนี้ไม่นับเป็นถิ่นฐานของเขาแล้ว หากวันหนึ่งเขาสามารถแข็งแกร่งได้เช่นขั้นนายเหนือแท้ ก็จะมีพลังที่สามารถส่งผลต่อความสมดุลของพื้นที่แห่งนั้นได้
หากจะกลับไปยังสิบสามแคว้น ต้องมีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงขึ้นไปเป็นอย่างน้อย มิเช่นนั้นจะนับว่าอันตรายเกินไป
ภารกิจแรก ขอความช่วยเหลือ
ในสมองของเด็กหนุ่มปรากฏภาพของแผนที่ทวีปเหนือขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขามุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
จ้าวเฟิงมีเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า และด้วยความช่วยเหลือของ ‘นางแอ่นมรกต’ ที่มีความเร็วอันน่าทึ่ง การเดินทางผ่านผืนป่าแสนอันตรายจึงค่อนข้างราบรื่น มักจะสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายได้
ในทวีปเหนือมีสำนักจำนวนมหาศาล แคว้นใหญ่มากมายราวก้อนเมฆบนท้องฟ้า
แคว้นมังกรโลหะเป็นหนึ่งในแคว้นที่มีอำนาจแข็งแกร่ง หากสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ สิบสามแคว้นย่อมมีหวังอย่างมาก
จ้าวเฟิงขี่ ‘นางแอ่นมรกต’ ไปยังจุดหมายแรก ออกจากสิบสามแคว้น ข้ามผ่านสองแคว้นใหญ่ ไปยังแคว้นซงอิงเฉียง
ทว่าหนทางนั้นกลับยากลำบากนัก
ชั่วพริบตาเดียว
เวลาครึ่งปีได้ผ่านพ้นไป
แม่น้ำใหญ่ที่อยู่ทางใต้ของทวีปเหนือได้ปรากฏเสียงคำรามขึ้น ข้ามผ่านเทือกเขาและทะเลทรายว่างเปล่า ราวกับว่ามันสามารถที่จะตัดผ่าผืนดินเป็นครึ่งได้
การกระทำแสนยิ่งใหญ่นั้นได้สร้างความแตกตื่นให้กับคนทั่วไป
แม่น้ำนี้ได้รับการเรียกขานว่า ‘สายธารกราดเกรี้ยว’ มันเป็นหนึ่งในสามแม่น้ำที่แบ่งแยกแขนแดนของทวีปเหนือ อยู่ที่ชายแดนของอาณาจักรนภา
สายธารกราดเกรี้ยวนั้นเพียงแค่กระแสน้ำก็น่าตะลึงแล้ว เพียงหนึ่งคลื่นที่ถาโถมของมันก็สามารถกลืนกินร่างของยอดฝีมือในขอบเขตก่อกำเนิดปราณไปได้
นอกจากนั้น ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำนี้ยังปรากฏลมกระโชกรุนแรง ปักษาปีศาจทั่วไปย่อมถูกชีกกระชากเป็นชิ้นในเสี้ยววินาทีหากบินผ่าน
ที่ริมตลิ่ง
ร่างหนึ่งที่มีขนสีฟ้าที่แหลมคมราวใบมีดได้บินผ่านอากาศ ปรากฏเสียงหวีดหวิว ก่อนที่มันจะค่อยๆ ร่อนลง
นกตัวนี้แม้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ความเร็วของมันกลับน่าตื่นตะลึงยิ่ง ทำให้ผู้คนที่อยู่ริมแม่น้ำบางคนต้องมองไปอย่างสงสัย
ในยามนั้นเอง
เด็กหนุ่มผมเขียวครามตาเดียวผู้หนึ่งได้กระโดดลงจากแผ่นหลังของนางแอ่นมรกต ใบหน้าปรากฏความเหนื่อยล้าอย่างมาก
“ไม่น่าเชื่อ มันคือนางแอ่นมรกตที่หายากนั่น ตามคำเล่าขาน ความเร็วในการบินของมันนั้นรวดเร็วนัก ทั้งการโจมตียังยอดเยี่ยม”
“เด็กหนุ่มผู้นี้มีพื้นเพมาจากที่ใดกันจึงได้มีสัตว์เลี้ยงในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอันล้ำค่า”
ใกล้ริมแม่น้ำ สายตาของผู้คนส่องประกายระริก เอ่ยพูดคุยกันเสียงแผ่วเบา
เด็กหนุ่มผมครามตาเดียวผู้นี้ย่อมเป็นจ้าวเฟิง
การหลบหนีออกมาจากป่าเมฆาคล้อยของสิบสามแคว้นทำให้จ้าวเฟิงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ยังดีที่เขาได้เข้าสู่เขตอาณาจักรนภาแล้ว ด้วยระยะทางที่ห่างไกลจากสิบสามแคว้นนั้น เขาเชื่อว่าย่อมไม่มีผู้ใดรู้จักเขาเป็นแน่
หากมองโดยภาพรวม ในทวีปแห่งนี้ แคว้นที่ถูกนับเป็นอาณาจักรได้นั้นมีเพียงสาม และอาณาจักรนภาก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ภารกิจที่สอง นำสิ่งของของท่านอาจารย์มอบให้กับ ‘ตระกูลหลิวในอาณาจักรนภา’ ”
ขณะที่กวาดตามองไปรอบๆ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความระแวดระวังขึ้น
แม้ว่าคนที่อยู่ริมแม่น้ำนั้นจะมีพลังฝึกตนสูงสุดอยู่ที่นภาที่เจ็ด ทว่าเขาก็ไม่มีความคิดที่จะดูถูกคนเหล่านี้แม้เพียงเสี้ยว
ที่นี่คืออาณาจักรนภา สิบสามแคว้นมิอาจเทียบเคียงได้
สิบวันก่อนหน้า
โจรในนภาที่หกสองสามคนได้โจมตีจ้าวเฟิง ต้องการที่จะจับนางแอ่นมรกตของเขา
จ้าวเฟิงต้องการที่จะจัดการอย่างง่ายๆ ทว่าในที่สุดเมื่อไม่ใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าและพลังสายเลือด เขาจำต้องใช้หลายสิบกระบวนท่าเพื่อจัดการคนทั้งสาม
หากอยู่ในสิบสามแคว้น เรื่องเช่นนี้ยากที่จะคิดได้
อาณาจักรนภาเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ในทวีปเหนือ สำนักมีความเกี่ยวข้องกับโลก
ยามนี้เป็นยุคสมัยของผู้ฝึกตน ผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นมีมากนัก
จ้าวเฟิงเคยต่อสู้กับยอดฝีมือในนภาที่เจ็ดสองคนโดยไม่ใช้พลังสายเลือด ในที่สุดทำได้เพียงเสมอ
ทว่าสองผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดนั้นมิคาดเป็นเพียงสมาชิกระดับกลางของสำนักหนึ่ง เทียบเคียงได้กับสถานะของตระกูลจ้าวยามที่อยู่ในแคว้นเมฆา
“แดนศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยมรดกแห่งการฝึกตน มีวิชาจำนวนมากมายให้ฝึกฝน พลังสวรรค์ของที่นี่เมื่อเทียบกับสิบสามแคว้นแล้วบริสุทธิ์กว่าหลายเท่าตัวนัก อาจกล่าวได้ว่าหากมันส่งผลอย่างมาก ทว่าหากได้ค้นพบสมบัติชั้นจิตวิญญาณสักชิ้นและทรัพยากรจำนวนมาก…”
จ้าวเฟิงเข้าไปภายในอาณาจักรนภาเพียงไม่กี่สิบวัน แต่กลับต้องระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำของเขา ทำให้เขารอบคอบและระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
พูดง่ายๆ คือ อาณาจักรใหญ่นั้นเต็มไปด้วยอารยะธรรมและเต็มไปด้วยพื้นที่ที่พัฒนาแล้ว
หรือจะพูดว่าสิบสามแคว้นนั้นคือหมู่บ้านแห่งหนึ่งและที่นี่ก็คือเมืองใหญ่ที่มีความศิวิไลก็ย่อมได้
ดังนั้นแล้ว ในสถานการณ์เดียวกัน ยอดฝีมือของอาณาจักรนภาย่อมสามารถหยุดยั้งการถูกกดขี่ของสิบสามแคว้นได้อย่างง่ายดาย
“ภารกิจที่สอง หวังว่ามันคงจะไม่ล้มเหลว มิเช่นนั้น…”
จ้าวเฟิงยืนอยู่ริมแม่น้ำ ‘สายธารกราดเกรี้ยว’ สถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปได้ทำให้ในอกเกิดความกดดันขึ้น
การหลบหนีในครานี้เพียงเพื่อทำสองภารกิจนี้ให้สำเร็จ
หนึ่ง ขอความช่วยเหลือ
สอง ส่งจดหมาย
และภารกิจแรกนั้น เด็กหนุ่มล้มเหลว
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ริมฝีปากของเด็กหนุ่มก็บิดเป็นรอยยิ้มขมขื่น
หลังจากที่เขารีบออกจากอาณาเขตของสิบสามแคว้น เขาก็ได้ไปถึงยังแคว้นใกล้เคียง ‘ซงอิงเฉียง’
แคว้นซงอิงเฉียงนั้นห่างจากสิบสามแคว้นและแคว้นมังกรโลหะไม่มาก ความแข็งแกร่งนั้นเมื่อเทียบกับแคว้นมังกรโลหะแต่เดิมอาจกระทั่งนับได้ว่าเหนือกว่าขั้นหนึ่ง หากได้รับช่วยเหลือก็นับว่าฝั่งของสิบสามแคว้นได้มีหวังแล้ว
ปรากฏว่า
จ้าวเฟิงได้เข้าไปยังแคว้นไท่อิงเฉียงก่อนจะพบว่าแคว้นนี้ได้อยู่ในระหว่างสงคราม หลายสำนักเข้าต่อสู้กัน ไม่มีเวลาที่จะสนใจเขา
หลังจากนั้น เขาจึงไปยังแคว้นใหญ่อีกแคว้น นาม ‘เซว่ฮัวเฉียง’
แคว้นเซว่ฮัวเฉียงนั้นแข็งแกร่ง ในอดีตหากรวมพลังแคว้นมังกรโลหะและแคว้นสมบัตินภาเข้าด้วยกันก็ไม่อาจนับเป็นคู่ต่อสู้ได้
ทว่า
แคว้นเซว่ฮัวเฉียงนี้อยู่ห่างจากแคว้นสิบสามสำนักมาก อาจเรียกได้ว่าไกลโพ้น ดังนั้นแล้วสำนักใหญ่ในแคว้นจึงมิสนใจที่จะช่วยเหลือ
และนอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังเกือบถูกฆ่าในแคว้นเซว่ฮัวเฉียงอีกด้วย
“ลัทธิมารจันทราชาดได้เข้าครอบครองแล้ว ไม่เพียงแต่แคว้นมังกรโลหะ กระทั่งแคว้นเซว่หัวเฉียงก็ยังถูกลัทธินั่นครอบครองเช่นกัน”
เมื่อนึกถึงยามนั้น หัวใจของจ้าวเฟิงก็หนาวเยือก เหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้น
ในแคว้นเซว่ฮัวเฉียง เด็กหนุ่มได้ถูกลอบโจมตีจากลัทธิมารจันทราชาด โชคดีที่เขามีเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าจึงสามารถหลุดรอดจากวิกฤตนั้นได้
เขารู้สึกยินดีขึ้นอย่างช่วยไม่ได้เมื่อนึกถึงการแลกเปลี่ยนพลังฝึกตนหนึ่งขั้นกับการทำลาย ‘ตราผี’
เมื่อการขอความช่วยเหลือจาก ‘แคว้นเซว่ฮัวเฉียง’ ล้มเหลว ภารกิจขอความช่วยเหลือของเด็กหนุ่มก็สิ้นสุดลง
เพราะแคว้นที่ทรงอำนาจนั้นได้อยู่ห่างไกลจากสิบสามแคว้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ ผู้ใดเล่าจะสนใจเด็กบ้านนอกจนๆ ผู้หนึ่ง?
ในที่สุด
จ้าวเฟิงก็ได้ยอมแพ้ในภารกิจแรกอย่างเด็ดขาด หนทางในการขอความช่วยเหลือนั้นไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวแห่งความหวัง มีเพียงอันตรายที่มากขึ้น
เขานึกถึงคำของผู้อาวุโสหนึ่งขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ คราหนึ่งชายชราเคยเอ่ยบอกว่า “ความหวังในการขอความช่วยเหลือได้นั้นน้อยนัก กุญแจสำคัญคือภารกิจที่สอง หากมันสำเร็จ ไม่เพียงเจ้าจะมีที่อยู่ สิบสามสำนักเองก็อาจได้รับความช่วยเหลือ”
ในยามนี้
จ้าวเฟิงยืนอยู่ข้างแม่น้ำสายธารกราดเกรี้ยวก็เป็นผลมาจากความล้มเหลวในภารกิจแรก
ดังนั้นแล้ว ความหวังทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับภารกิจที่สอง
ทว่าในยามนี้
จ้าวเฟิงจำต้องผ่าน ‘สายธารเกรี้ยวกราด’ จึงจะสามารถเข้าไปยังอาณาจักรนภา แดนศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงได้
อาณาจักรนภามีรูปแบบการปกครองที่ใหญ่โต การปกครองเหล่านั้นอาจแบ่งได้เป็น ‘หนึ่งราชา สามสำนัก สี่ตระกูล’ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและยิ่งใหญ่ของมัน
และในสี่ตระกูลนั้น หนึ่งในนั้นคือตระกูลหลิว มิรู้ว่าตระกูลหลิวที่ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยถึงนั้นเป็นตระกูลเดียวกันหรือไม่