บทที่ 261 : หมั้น
“…ผู้ที่นำผ้าปิดหน้าของนางออกมิใช่ข้า… เป็นแมวนั่น”
จ้าวเฟิงเอ่ยค้านขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ที่นำผ้าปิดปากออกนั้นไม่ใช่ตัวเขา เหตุใดจึงได้เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นตัวเขาเสียเล่า?
ในเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาอยากจะนำแมวขโมยตัวน้อยออกมา แต่ไอ้เด็กนั่นกลับซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าสัตว์วิเศษ พักผ่อนอย่างสบายใจ
“อย่ามาเล่นลิ้นเลย แมวขโมยตัวน้อยนั่นเป็นสัตว์วิเศษของเจ้า การกระทำของมันล้วนเป็นเจ้าควบคุม เป็นนักฝึกสัตว์ สัตว์วิเศษย่อมเป็นอาวุธของเจ้า”
มุมปากของเจ้าเมืองหงหูปรากฏรอยยิ้มยินดีที่สามารถทำให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ได้
ผู้คนใกล้ๆ เอ่ยแสดงความยินดีต่อเจ้าเมืองหงหู
“ยินดีด้วยท่านเจ้าเมืองที่ได้บุตรเขยที่ซื่อตรงเช่นนี้”
ผู้คนที่เอ่ยแสดงความยินดีนี้ หลายคนเป็นผู้มากฝีมือที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ล้วนเคารพนอบน้อมต่อเจ้าเมืองหงหู เสียงพูดจาค่อนข้างฟังดูประจบสอพลอ
จ้าวเฟิงเข้าใจในที่สุด เจ้าเมืองหงหูผู้นี้นับว่ามากอำนาจ เพียงพอที่จะใช้หนึ่งฝ่ามือปกปิดท้องนภา
ความต้องการของเจ้าเมืองหงหูผู้คนล้วนสนับสนุน ไร้ซึ่งการคัดค้าน
บัดนี้ แม้เขาจะมีร้อยปากไว้เอ่ยขัดแย้งก็ล้วนสูญเปล่า
ความคิดของเด็กหนุ่มโลดแล่นอย่างรวดเร็ว กลับมาเยือกเย็น ได้ความคิดหนึ่ง
“ในยามนี้ แม้ข้าจะต้องการล้มเลิกการแต่งงานนี้ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ มีเพียงโอนอ่อนไปตามก่อน เมื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อเจ้าเมืองหงหูได้ย่อมมีโอกาสล้มเลิก”
จ้าวเฟิงเข้าใจอย่างชัดเจน การต่อต้านเจ้าเมืองหงหูผู้นี้ในยามนี้นับเป็นเช่นตั๊กแตนที่ต้องการหยุดยั้งม้าศึก
ในเมื่อการคัดค้านไม่เป็นผล ข้าก็จะทำตามไปก่อน
จ้าวเฟิงตัดสินใจได้ ทำได้เพียงยอมรับสภาพจนมุมนี้เท่านั้น
“สหายน้อย บุตรสาวข้าความงดงามนั้นในระยะหมื่นลี้ก็ยากจะหาใครเคียง กระทั่งงานคัดเลือกคู่ครองเจ้าก็ชนะ มีสิ่งใดกันที่ไม่น่าพอใจสำหรับเจ้า”
สีหน้าของเจ้าเมืองหงหูมืดทะมึนขึ้น กลิ่นอายอันเป็นที่สุดของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแพร่กระจายออกมา ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงใกล้เคียงยังรับรู้ได้ถึงความกดดัน
จ้าวเฟิงฝืนยิ้มเอ่ยว่า
“ผู้เยาว์ต้องการเพียงเห็นใบหน้างดงามของบุตรสาวท่านเจ้าเมืองเพื่อมิให้การมาครั้งนี้สูญเปล่า สำหรับการแต่งงานกับคุณหนูฉินซินนั้นคิดว่ามิเหมาะสม จะมีก็แต่เพียงเป็นเรื่องขบขันของคนเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเจ้าเมืองหงหูจึงผ่อนคลายลง เขาแย้มยิ้มก่อนเอ่ย
“เจ้าอย่าได้ถ่อมตนนัก คนที่เจ้าเมืองผู้นี้หมายตานั้นไม่เคยผิดพลาด”
ในสายตาคนทั้งหมด จ้าวเฟิงได้กลายเป็นบุตรเขยของเจ้าเมืองหงหูอย่างรวดเร็ว ย่อมต้องการสร้างความสัมพันธ์
ในยามนี้ จ้าวเฟิงนับรู้ถึงความริษยาของเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลาย รวมทั้งสายตาไม่พอใจ
สตรีนามหลิวฉินซินผู้นั้น ในดวงตาใสกระจ่างได้หลบซ่อนร่องรอยความข่มขื่นและไม่ยินยอมเอาไว้
แน่นอนว่าในความคิดของนาง จ้าวเฟิงไม่นับเป็นสามีในฝัน
เพราะจ้าวเฟิงนั้นเด็กกว่า ที่สำคัญไปกว่านั้น พลังฝึกตนและความแข็งแกร่งยังด้อยกว่านาง
ในยามนี้ เมื่อกวาดมองไปทั่วเมืองหงหู อาจกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดนับว่าเข้ามาในข้อกำหนดของหลิวฉินซินได้
สามีในฝันของนางนั้นต้องเป็นผู้ที่ไม่ย่อท้อ หรือสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ ทั่วทั้งโลกเป็นอัจฉริยะที่ไม่อาจหาใครเทียม
ทว่าเด็กหนุ่มผมเขียวครามตาเดียวผู้นี้ ทั้งรูปลักษณ์ อายุ พลังฝึกตน และความสำเร็จ หลากหลายแง่มุมไม่อาจนับว่าอยู่ในข้อกำหนดของนาง
ทว่าก่อนที่ผู้เป็นอาจารย์จะตายได้ทิ้งถ้อยคำเอาไว้ กระทั่งให้นางเปลี่ยนชื่อเป็นหลิวฉินซิน
นามเก่าของนางมิใช่หลิวฉินซิน
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเป็นโชคชะตาจริงๆ?”
หลิวฉินซินรู้สึกไม่พึงพอใจเล็กๆ มองไปยัง ‘เด็กหนุ่มในโชคชะตา’ ผู้นั้น ยิ่งมองยิ่งรู้สึกไม่พอใจ ในหัวใจปรากฏความขมขื่นและความรู้สึกซับซ้อน
จ้าวเฟิงได้กลับมาเป็นปกติแล้ว ยอมรับการแสดงความยินดีจากผู้คน
“หลิวหยวน นับแต่วันนี้ จ้าวเฟิงจะย้ายเข้ามาอยู่ในตำหนักเจ้าเมือง เจ้ากลับไปบอกตระกูลเสีย”
เจ้าเมืองหงหูเอ่ย
หลิวหยวนเอ่ยตอบรับอย่างนอบน้อม
จ้าวเฟิงเป็นบุคคลผู้มากพรสวรรค์ที่ตระกูลหลิวค้นพบ ทว่าบัดนี้ได้กลายเป็นบุตรเขยของเจ้าเมือง จะอย่างไรทั้งตระกูลก็แบ่งปันทุกสิ่งกัน
“ยินดีด้วยน้องจ้าว มีวาสนาดียิ่งนัก ได้แต่งงานกับคุณหนูฉินซิน”
หลิวหยวนมีความรู้สึกซับซ้อน ทั้งอิจฉา ไม่ยินยอม และตื่นตะลึงในวาสนาของเด็กหนุ่มผู้นี้
สถานะของหลิวฉินซินนั้นไม่เพียงสูงส่ง รูปลักษณ์ยังงดงามโดดเด่น กระทั่งนับรวมพรสวรรค์และพลังฝึกตนก็นับว่าไล่ต้อนคนรุ่นใหม่ในเมืองหงหูให้จนมุมแล้ว
สตรีงดงามมากพรสวรรค์ พื้นเพสูงศักดิ์ ทั้งยังฉลาดเฉลียว ผู้ใดที่สามารถแต่งนางเป็นภรรยาได้ควรพึงพอใจอย่างมากแล้ว
“ฉินซิน เจ้านำเฟิงเอ๋อร์กลับบ้านไปก่อน เดี๋ยวพ่อตามไป”
เจ้าเมืองหงหูเอ่ยกับบุตรสาว
หลิวฉินซินผงกศีรษะเล็กๆ เบี่ยงกายข้ามผ่านประตูหน้าเข้าไปในตำหนักเจ้าเมือง
จ้าวเฟิงต้องตามไป เสียงสายฟ้าคำรามดังขึ้น ร่างของเด็กหนุ่มเลือนรางลง เข้าไปในตำหนักเจ้าเมือง
ความเร็วของหลิวฉินซินนั้นรวดเร็ว เดินทางผ่านบ้านเรือน ป่าไม้และพื้นหิน ร่างงดงามเลือนหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
ความต้องการของนางนั้นคือสลัดจ้าวเฟิงออกไป
ตำหนักเจ้าเมืองนั้นใหญ่นัก ในเมืองใหญ่ปรากฏเมืองอีกที ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังตำแหน่งของหลิวฉินซิน ติดตามไปอย่างรวดเร็ว
หลิวฉินซินนั่งอยู่ในห้องรับรอง ดวงตาปรากฏประกายแสงสั่นไหวเล็กๆ คิดว่าเด็กหนุ่มผมเขียวจะต้องหงุดหงิดเป็นแน่
ทว่านางเพียงแตะริมฝีปากลงดื่มชา นอกเรือนก็ได้ยินเสียงสายฟ้าคำราม
หลังจากนั้น จ้าวเฟิงจึงเดินเข้าไปในห้องรับรองอย่างสบายๆ นั่งประจันหน้ากับอีกฝ่าย
“อย่าได้บอกว่าเขานั้นล่วงรู้ถึงพื้นที่ภายในอาณาเขตตำหนักเจ้าเมือง? คนผู้นี้ต้องการสิ่งใดจากข้าหรือตระกูลหลิวกันแน่?”
หลิวฉินซินชะงัก เริ่มเคลือบแคลงในตัวอีกฝ่าย
ในยามนี้จ้าวเฟิงได้สำรวจ ‘ภรรยาอย่างถูกต้อง’ ของเขา ดวงตาของอีกฝ่ายนั้นงดงามราวกับบ่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิ คิ้วดกดำราวกับเส้นวาดพู่กัน รูปลักษณ์งดงามโดดเด่น
เมื่อมองจากบางมุม จ้าวเฟิงพบว่าเขาไม่อาจหาเหตุผลมาปฏิเสธสตรีผู้นี้ให้เป็นภรรยาได้
สตรีงดงามที่เขาเคยเห็นนั้นไม่ได้มีน้อย จึงมักจะแสดงตนเยือกเย็นเรียบเฉยราวผิวน้ำที่สงบนิ่ง ทว่าภายใต้สถานการณ์นี้กลับปรากฏความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่าง
หลิวฉินซินเห็นจ้าวเฟิงจับจ้องมา คราแรกรู้สึกสะอิดสะเอียน ทว่าจากสายตาของอีกฝ่ายกลับไม่อาจรับรู้ได้ถึงความคิดเลวร้าย มีเพียงความชื่นชมอันบริสุทธิ์
นี่ทำให้เด็กสาวรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กๆ ปีแล้วปีเล่า นางสวมใส่ผ้าปิดหน้า เอาชนะบุรุษทั่วทุกทิศ บัดนี้เมื่อมองสายตาของอีกฝ่ายกลับปรากฏความรู้สึกหลากหลาย
เด็กหนุ่มผู้นี้สีผิวราวม่านหมอก ดวงตาแหลมคมส่องประกาย ไม่หลบหลีก
คนสองคนนั่งมองหน้ากัน ไร้ซึ่งคำพูด
กระทั่งเจ้าเมืองหงหูเดินเข้ามาในห้อง
“เฟิงเอ๋อร์ นับแต่วันนี้เจ้าสามารถอาศัยอยู่ในตำหนักเจ้าเมืองได้อย่างปลอดภัย จะดีกว่าหากไม่ออกจากเมืองหงหู ทุกสิ่งเกี่ยวกับเจ้าผู้คนได้ล่วงรู้หมดแล้ว”
เจ้าเมืองหงหูนั่งลง
จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้น
“เกี่ยวกับการแต่งงาน ผู้เยาว์ยังมิได้เตรียมตัว นอกจากนั้นชีวิตยังเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับความสุขของคุณหนูฉินซินแล้วคิดว่ามันเร่งรีบเกินไป…”
เขากลัวว่าเจ้าเมืองหงหูจะให้ตัวเขาและหลิวฉินซินแต่งงานกันทันที
หากเป็นเช่นนั้น ทุกแผนการและความพยายามทั้งหมดของเด็กหนุ่มล้วนสูญเปล่า
เจ้าเมืองหงหูเมื่อได้ยินเช่นนั้นกลับทำเพียงแย้มยิ้มและเอ่ย
“ผ่อนคลายเถอะ มันไม่เร็วเช่นนั้น”
เป็นความจริง
เจ้าเมืองหงหูไม่ต้องการให้ทั้งสองแต่งงานกันเร็วนัก ก่อนหน้านั้นเขาต้องรู้ข้อมูลของเด็กหนุ่มให้มากกว่านี้
มันอาจกล่าวได้ว่าทั้งเจ้าเมืองหงหูและจ้าวเฟิงต่างก็วางแผนไว้ในใจอย่างเงียบงัน
ยามค่ำคืน
จ้าวเฟิงอาศัยอยู่ในตำหนักเจ้าเมือง ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ในตำหนักเจ้าเมืองนั้น ทั้งพ่อบ้านและข้ารับใช้ล้วนเคารพนบนอบต่อตัวเขา
ทุกคนรู้ว่าเด็กหนุ่มคือว่าที่นายน้อยของตำหนักเจ้าเมือง
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขามองทะลุผ่านตำหนัก สำรวจรอบด้าน
เพื่อที่จะไม่ให้จ้าวเฟิงลอบหลบหนีไป เจ้าเมืองหงหูจึงได้ส่งคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสี่คนมาจับตาดู รวมทั้งยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหนึ่งคน
“เจ้าเมืองหงหูผู้นี้ประเมินข้าสูงนัก”
ใจของจ้าวเฟิงร่วงหล่น สถานการณ์นั้นเลวร้ายกว่าที่คิดนัก
เป็นเรื่องดีที่แผนของเขานั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว ตราบเท่าที่เจ้าเมืองหงหูไม่บังคับให้เขาแต่งงานในทันที มันยังคงมีความหวังมาก
หลายวันต่อมา
จ้าวเฟิงยังคงนิ่งสงบ นอกจากฝึกตนแล้วก็ทำเพียงอ่านหนังสือทั้งหมดในตำหนักเจ้าเมือง เพิ่มพูนความรู้ของตน
สำหรับบุตรเขยผู้โชคดีของเจ้าเมืองหงหูแล้ว นอกจากพื้นที่ต้องห้ามเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็สามารถไปได้ทุกที่
แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสี่และผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกหนึ่งคนล้วนจับจ้องทุกการกระทำของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงทำทุกอย่างอย่างเรียบง่าย ในห้องหนังสือของตำหนักมีความรู้จำนวนมหาศาล กระทั่งมีวิชาที่ลึกล้ำจำนวนหนึ่ง
ในหนังสือทั้งหมดของตำหนักเจ้าเมือง จ้าวเฟิงได้เข้าใจในสภาพรวมทั้งหมดของอาณาจักรนภาและทวีปเหนือมากขึ้น
หลายวันต่อมา จ้าวเฟิงได้เดินออกจากตำหนักเจ้าเมืองอย่างเรียบง่าย
จากความนัยของผู้เป็นเจ้าเมือง ตราบเท่าที่เด็กหนุ่มไม่ออกจากเมืองหงหู ย่อมไม่มีผู้ใดขัดขวางเขา
แม้ว่าหากจ้าวเฟิงต้องการก็สามารถนำข้ารับใช้จำนวนมากไปด้วยได้
ในวันที่ผ่านมา เจ้าเมืองหงหูได้รับรู้ถึงที่มาของเด็กหนุ่ม มิคาดว่าไม่ได้เป็นคนของอาณาจักรนภา ทว่ามาจากแคว้นห่างไกลทุรกันดาร
เมื่อรู้เช่นนั้น เจ้าเมืองหงหูจึงรู้สึกสบายใจอย่างแท้จริง เขากังวลอย่างมากว่าจ้าวเฟิงจะเป็นคนของศัตรูของตระกูลหลิว
ทว่าพื้นเพขอจ้าวเฟิงนั้นห่างไกลนัก ไม่ใช่คนของอาณาจักรใด มาจากแคว้นห่างไกลยากจน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความเป็นมิตรศัตรูต่อตระกูลหลิว
ในวันนี้
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิอย่างสงบฝึกตน
ในสมอง ‘มรดกอัสนี’ ได้ไปถึงชั้นที่สาม
สำหรับชั้นที่หนึ่งนั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
“มรดกอัสนีชั้นแรกได้เข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว”
หัวใจของจ้าวเฟิงปรากฏความคาดหวัง
มรดกอัสนีนั้น หากสามารถทำความเข้าใจถึงชั้นที่สามได้อย่างสมบูรณ์จะมีโอกาสที่จะทะลวงขั้นเข้าสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ดังนั้นแล้วจึงนับเป็นมรดกที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักยอดนภา
จะอย่างไรก็ตาม ในทวีปแห่งนี้ ขั้นนายเหนือแท้ก็นับเป็นผู้ควบคุมแล้ว ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดนั้นมีเพียงในตำนานเท่านั้น
ในยามนี้
จ้าวเฟิงได้พ่นลมหายใจออกอย่างช้าๆ วางแผนหลบหนีการแต่งงานไว้ในใจ มีโอกาสสำเร็จมากถึงแปดสิบในร้อยส่วนแล้ว
ทว่าในคืนนั้น เจ้าเมืองหงหูได้เรียกตัวเด็กหนุ่มไป
ในโถง เจ้าเมืองหงหูและหลิวฉินซิน รวมทั้งเหล่าขุนนางชนชั้นสูงจำนวนมาก กระทั่งผู้นำตระกูลหลิวต่างได้ปรากฏตัวขึ้น
วันนี้ เจ้าเมืองหงหูได้เรียกตัวจ้าวเฟิงมาเพื่อพูดคุยเรื่องการหมั่น
“จ้าวเฟิง การแต่งงานจะจัดขึ้นในอีกหกเดือน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เจ้าเมืองหงหูเอ่ย
“ไม่มีข้อคัดค้าน ทั้งหมดล้วนเป็นดังที่ท่านเจ้าเมืองจัดการ”
จ้าวเฟิงในยามนี้ได้เชื่อฟังคำสั่งอย่างนอบน้อม
เจ้าเมืองหงหูผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
ทว่าอีกด้านหนึ่ง หลิวฉินซินกลับค่อนข้างผิดหวัง นางหวังว่าจ้าวเฟิงจะเอ่ยออกไปอย่างกล้าหาญ ใช้ความดื้อดึงทั้งหมด ปฏิเสธการแต่งงานนี้เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองแม้ว่าจะต้องตายตกอย่างดหดร้ายก็ตาม
“ดูเหมือนว่าเขาจะเหมือนกับบุรุษผู้อื่น ไม่อาจต่อต้านความงามและอำนาจได้…”
หลิวฉินซินลอบทอดถอนใจอย่างหดหู่
ในเมื่อจ้าวเฟิงไม่คัดค้าน การแต่งงานนี้จึงได้ถูกกำหนดขึ้นอย่างราบรื่น เวลาหกเดือน
ทว่าหลิวฉินซินได้กลายเป็นคู่หมั้นของจ้าวเฟิงอย่างเป็นทางการแล้ว
ทว่าแผนการหลบหนีการแต่งงานของเด็กหนุ่มได้เริ่มเตรียมการอย่างระมัดระวังแล้ว