Skip to content

King of Gods 263

King Of Gods

บทที่ 263 : สร้างความวุ่นวาย

ด้านชายแดนเขตเมืองหงหู

ภูเขามืดทะมึนแห้งแล้งลูกหนึ่ง มีต้นไม้เพียงไม่กี่ต้น บนกิ่งไม้แทบจะไร้ซึ่งใบ

ภูเขาลูกนี้มีถูกเรียกขานว่าภูเขาเถี่ยกาน มองไปเหมือนไม่มีอันใด แต่หากคิดดูแคลนก็นับว่าผิดพลาดอย่างมากแล้ว

ดังเช่นที่ว่า ภูเขาไม่สำคัญที่ความสูง สำคัญที่มีเทพสิงสถิตหรือไม่ แม่น้ำไม่สำคัญที่ความลึก สำคัญที่มีมังกรสิงสถิตหรือไม่

ในสมัยของหงหู ชื่อเสียงของภูเขาเถี่ยกานนับว่าไม่น้อย นามของมันก็มาจากนามของ ‘นายช่างใหญ่เถี่ยกาน’

เมี้ยว เมี้ยว

หนึ่งคนหนึ่งแมวมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาเถี่ยกานอย่างสะดวกสบาย

แมวขโมยตัวน้อยอารมณ์ดียิ่ง กระโดดไปมาในระหว่างที่อยู่ขึ้นไปยังภูเขา

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองไปรอบๆ สัมผัสได้ถึงพลังธาตุไฟเข้มข้น

นับแต่ย่างก้าวเข้ามาในอาณาเขตภูเขา อุณหภูมิรอบกายก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ในภูเขาเถี่ยกานแห่งนี้ย่อมต้องมีหินลาวา หรือกระทั่งดินแดนแห่งไฟ”

สายตาของจ้าวเฟิงส่องประกายเล็กๆ

ในด้านการสร้างสิ่งของนั้นเขาได้เรียนรู้มาบ้าง กระทั่งอาจเรียกได้ว่าไม่ด้อยไปกว่านายช่างทั่วไป แต่หากเทียบกับนายช่างใหญ่ยังนับว่าปรากฏความแตกต่างกันมากนัก

จ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยไม่ได้ขี่นางแอ่นมรกตขึ้นไปยังภูเขา หากแต่ใช้วิธีการเดินเท้าเพื่อขึ้นไป

ก่อนออกเดินทางเด็กหนุ่มได้สอบถามมาบ้างแล้วว่านายช่างใหญ่เถี่ยกานผู้นี้ไม่ชอบให้ผู้อื่นรบกวน กระทั่งสั่งห้ามมิให้มีสัตว์วิเศษเดินเพ่นพ่านไปมา

เวลาผ่านไปไม่นาน บนยอดเขานั้นปรากฏที่พักที่สร้างขึ้นจากเหล็กสีเงินแห่งหนึ่ง

ที่พักแห่งนี้ถูกเรียกว่า ตำหนักเถี่ยกาน เป็นสถานที่ทำงานของนายช่างใหญ่เถี่ยกาน

ในยามนั้น บนยอดเขาได้ปรากฏผู้คนจำนวนหนึ่งเดินไปมา ส่วนส่วนมากใบหน้าระบายความผิดหวังไว้ ไม่ได้สิ่งใดกลับไปแม้แต่น้อย

“เฮ้อ นายช่างใหญ่เถี่ยกานไม่ต้อนรับแขก กระทั่งลูกศิษย์ของเขาทั้งสาม หากจะได้พบหน้าก็อีกครึ่งปี”

ผู้คนส่วนมากที่นี่ได้อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ในอาณาจักรนภาแห่งนี้ ล้วนยึดความแข็งแกร่งเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นผู้คนทั่วไปหรือชาวยุทธภพต่างก็ยึดถือในพลัง

หากคนผู้นั้นอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ตำหนักเถี่ยกานจึงจะส่งคนลงมาต้อนรับ หรือหากแขกที่มามีฐานะพื้นเพที่ดีก็พอที่จะให้เข้าพบได้

เมื่อจ้าวเฟิงแสดง “ตราหลิวหง” คนของตำหนักเถี่ยกานก็ทำเพียงมองเด็กหนุ่มเล็กน้อยโดยที่ไม่ได้ถามอะไร ก่อนเปิดทางให้เขาเข้าไป

แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายช่างใหญ่เถี่ยกานกับเจ้าเมืองหงหูจะไม่ดีนัก แต่ถึงอย่างไรตระกูลหลิวก็ยังนับเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียง คนของตำหนักเถี่ยกานย่อมไม่กล้าสร้างความขุ่นเคือง

หนึ่งคนกับหนึ่งแมวเดินเข้าไปในตำหนักเถี่ยกาน

ขณะเดียวกัน ณ สถานที่ที่ไม่ห่างไกลจากตำหนักเถี่ยกานมากนัก

“เขาเข้าไปในตำหนักเถี่ยกานแล้ว รีบกลับไปรายงานท่านเจ้าเมืองโดยเร็ว”

ชายสามคนในชุดสีดำยืนอยู่บนกลุ่มก้อนหินจำนวนหนึ่ง ก่อนที่ไม่นานหนึ่งในทั้งสามจะรีบแยกตัวออกไป

พรึบ

หลังจ้าวเฟิงเข้าไปในสำนักได้ไม่นานก็ได้ปรากฏร่างของบุรุษหนึ่งเดินเข้าไปในสำนักอย่างช้าๆ เช่นกัน

เมื่อบุรุษผู้นั้นแสดงตราออกมา สีหน้าของเหล่าผู้คุ้มกันของตำหนักเถี่ยกานก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

หลังจากสิ้นสุดงานคัดเลือกคู่ครอง มักจะมีผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคอยสะกดรอยตามทุกการกระทำของจ้าวเฟิง

คราแรกนั้นกระทั่งมีผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งด้วย

ด้านหนึ่งคือเจ้าเมืองหงหูต้องการรู้ประวัติของจ้าวเฟิง อีกด้านหนึ่งคือกังวลว่าเด็กหนุ่มจะหลบหนีการแต่งงานครั้งนี้

ทว่าหลังจากที่เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเข้ามาอยู่ในตำหนักของเจ้าเมือง ทุกสิ่งได้ดำเนินไปอย่างราบเรียบ เด็กหนุ่มทำเพียงฝึกตน นอกจากนั้นยังช่วยเหลือเจ้าเมืองในการฝึกสัตว์วิเศษให้แก่เขา

สิ่งนี้ทำให้เจ้าเมืองหงหูค่อยๆ เชื่อใจและค่อนข้างชื่นชมเขา ได้ลดความระมัดระวังในตัวเด็กหนุ่มไปครึ่งหนึ่ง

ครึ่งเดือนก่อน คนที่คอยสังเกตการณ์จ้าวเฟิงจึงได้ถูกยกเลิกไป

หลังจากจ้าวเฟิงเข้าไปในสำนักแล้ว เด็กหนุ่มกลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบ

แม้ว่าเด็กหนุ่มจะมีตำแหน่งเป็นถึงบุตรเขยของเจ้าเมือง ทว่าไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนัก ทั้งมันยังเป็นที่รู้กันว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมืองหงหูและนายช่างใหญ่เถี่ยกานนั้นไม่ค่อยดีนัก

จ้าวเฟิงลังเลเล็กน้อยก่อนจะเข้าไปภายในตำหนักเถี่ยกาน

ภายในห้องโถงหลักถูกประดับและจัดวางไว้ด้วยอุปกรณ์หลากหลาย รวมทั้งดาบ เสื้อเกราะ และเครื่องประดับอื่นๆ

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานของนายช่างใหญ่เถี่ยกานที่ทำขึ้นด้วยตนเอง บางส่วนเป็นของที่ผู้เป็นลูกศิษย์ทำขึ้น ผลงานทั้งหมดนั้นยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ทำให้เด็กหนุ่มอดทอดถอนใจและมองด้วยความชื่นชมมิได้

จ้าวเฟิงกวาดตามองไปรอบๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงผลงานของลูกศิษย์ พวกมันก็ยังดีกว่าของในสำนักจันทร์สลายกว่าสองสามเท่า

ยิ่งเป็นผลงานของนายช่างใหญ่เถี่ยกานแล้วยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง มันล้วนไร้ที่ติ ดูราวกับเป็นของล้ำค่า

เหล่าผู้คนที่อยู่ในห้องโถง รวมทั้งนายช่างคนอื่นๆ ต่างก็ชื่นชมผลงานเหล่านั้น

มีคนจำนวนไม่น้อยที่เสนอขอซื้อของเหล่านี้

ทว่าผลงานเหล่านี้ ส่วนมากหากไม่ขาย ก็ต้องได้รับอนุญาตจากผู้เป็นเจ้าของเสียก่อน หรือไม่ราคานั้นก็สูงนัก มากกว่าตัวผลงานนับสิบเท่า

พูดสั้นๆ

หากต้องการซื้อผลงานเหล่านี้ นอกเสียไปจากมีพลังฝึกตนสูงมากแล้ว ก็ต้องมีพื้นเพที่ดีเพียงพอ

ผลงานเหล่านี้ส่วนใหญ่มีไว้เพื่อจัดแสดง หรืออาจพูดอีกอย่างได้ว่าใช้เพื่อแสดงความสามารถในการสร้างของตำหนักเถี่ยกาน

จ้าวเฟิงหยิบดาบยาวสีทองแดงขึ้นมาเล่มหนึ่ง เด็กหนุ่มค่อยๆ สัมผัสมัน วัสดุของใบของดาบนั้นไม่เลว ทว่าดูจากภายนอกแล้วกลับธรรมดานัก

“ดาบอันใดกัน ใช้ไม่ได้แม้แต่น้อย”

น้ำเสียงที่ดังขึ้นนั้นปรากฏความเหยียดหยามอยู่มิน้อย

ทันใดนั้น

ทั่วทั้งห้องโถงก็ได้เงียบงันลง

สายตาจำนวนมากของผู้คนจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มผมสีเขียวคราม

“เจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน กล้าเอ่ยดูถูกผลงานของตำหนักเถี่ยกานได้”

สียงอุทานหนึ่งดังขึ้น

“หืม นั่นมิใช่ว่าคือบุตรเขยของเจ้าเมืองหงหูหรือ?”

ผู้คนในห้องโถงใหญ่พูดคุยกันด้วยความตกใจ

มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ถึงสถานะของจ้าวเฟิง

ติง…

จ้าวเฟิงชี้ไปที่ชี้ไปที่ตัวดาบก่อนเอ่ยว่า “วัสดุที่นำมาใช้นั้นใช้ได้อยู่ หากแต่ระดับของมันนั้นนับว่าทำให้วัสดุนั้นเสียเปล่า อาจกล่าวได้ว่าไม่สามารถนับเป็นสมบัติอันใดได้… ”

เด็กหนุ่มเอ่ยพูดพร้อมส่ายศีรษะ ทำให้ผู้คนต้องจ้องมองไป

“น้องชาย เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”

เหล่าผู้ที่ชื่นชมผลงานของนายช่างอยู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมรับ

“ท่านดูก่อนวัสดุที่ใช้สร้างดาบนี้คือ ‘เหล็กสีม่วงทอง’ พลังของมันนับว่าใช้ได้ ทว่าข้อเสียนั้นคือน้ำหนักและความคมนั้นไม่ดี น้ำหนักของเหล็กสีม่วงทองนี้กระทั่งมากถึงหนึ่งในสามส่วนของตัวดาบ แม้จะมีส่วนประกอบของเหล็กเสวียนปิงและเหล็กป๋ายเลี่ยนที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งและความแหลมคม ทว่าน้ำหนักยังคงค่อนข้างน้อย ความแข็งยังไม่ได้มาตรฐาน หากปะทะกับอาวุธที่แข็งกว่าย่อมแตกหักโดยง่าย”

เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมส่ายศีรษะ

ความจริงแล้วจุดด้อยของดาบด้ามนี้ไม่ได้ชัดเจนนัก เว้นเสียแต่น้ำหนักที่ค่อนข้างเบาและความแข็งที่ยังไม่เข้าขั้น

การที่เหล็กม่วงทองมีสัดส่วนมากในดาบเพื่อให้มันเป็นสื่อนำพลังปราณ ที่พลังทำลายและน้ำหนักของมันน้อยนั้นเป็นเพราะว่าดาบได้ให้ความสำคัญไปที่การเพิ่มความเร็ว

นอกจากนั้น การที่วางดาบนี้ไว้ในห้องโถงนั้นก็เพื่อต้องการให้ผู้คนที่มีความรู้ในด้านนี้ได้เข้าชม

หากเป็นคนที่ธรรมดาทั่วไปอาจจะมองไม่เห็นความผิดปกติเล็กน้อยเช่นนี้ ทว่ามันคือดาบที่มีความสามารถในการเป้นสื่อกลางลมปราณได้ดี แข็งแกร่งทั้งด้วยความเร็ว พลังที่น่าตกใจ และระดับความคมที่ยอดเยี่ยม

มีเพียงแค่ความทนทานของมันเท่านั้นที่นับว่าด้อยอยู่

ทว่าสายตาของจ้าวเฟิงนั้นเฉียบแหลมนัก ในไข่ไก่ยังสามารถหยิบชิ้รกระดูกออกมาได้

เมื่อได้ยินคำอธิบายนี้ นายช่างผู้นั้นก็อดที่จะผงกศีรษะไม่ได้

“มีข้อด้อยอยู่เล็กน้อยจริงๆ ทว่ารอยตำหนินั้นไม่ได้ทำลายหยกชั้นดี”

“ผู้ใดบังอาจมาวิจารณ์อาวุธของตำหนักเถี่ยกาน”

เหล่าศิษย์ตำหนักเถี่ยกานรวมทั้งเหล่านายช่างต่าก็งเกิดความขุ่นเคือง

“หึหึ เป็นถึงตำหนักเถี่ยกานที่ยิ่งใหญ่ เหตุใดจึงใจคับแคบนัก หรืออนุญาตเพียงให้เราชื่นชมอาวุธ มิอาจติเตียนได้?”

จ้าวเฟิงเค้นเสียงเย็น ไม่สนใจก่อนเอ่ยพูดต่อ

“นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ความทนทานของดาบนี้เพียงธรรมดาทั่วไป มันเป็นดาบที่มีสมบัติธาตุน้ำแข็ง หากพบกับอาวุธที่มีคุณสมบัติธาตุไฟ เมื่อเย็นกับร้อนมาเจอกันย่อมทำให้ดาบเปลี่ยนรูปไป กระทั่งอาจส่งผลต่อการต่อสู้ได้”

“เหล็กเสวียนปิงสามารถเพิ่มพลังโจมตี เมื่อผ่านกระบวนการหลอมที่พิเศษจะสามารถทำให้ตัวดาบราบเรียบเช่นกระจก ไม่เปรอะเปื้อนโลหิตได้ เน้นความสามารถเสริมมากกว่าหน้าที่ในฐานะอาวุธ… นับว่าบกพร่องโดยแท้ ”

นายช่างที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อได้ยินต่างก็นิ่งอึ้ง

หากจ้าวเฟิงทำเพียงสำรอกไร้สาระ พวกเขาก็อาจจะจบเรื่องลงด้วยรอยยิ้ม หากแต่คำพูดของเด็กหนุ่มใช่ว่าไร้เหตุผล นอกจากนั้นในคำพูดเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยความรู้ในด้านการสร้างสิ่งของ

เมื่อเอ่ยถึงปัญหาของดาบยาวสีม่วงทองนี้แล้ว จ้าวเฟิงยังหยิบแส้สีทมิฬใกล้ๆ ขึ้น

“พวกท่านมองเถอะ แส้ยาวนี้สร้างขึ้นจากเหล็กหลวนกางเพื่อเพิ่มความดำ…”

ทันใดนั้น ความสนใจของผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็ถูกดึงดูดไปโดยเด็กหนุ่มอย่างสมบูรณ์

จ้าวเฟิงเอ่ยพูดอย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์วัสดุที่ใช้ทำสิ่งของเหล่านั้น จุดสำคัญนั้นคือแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องของมัน

นายช่างจำนวนมากของตำหนักเถี่ยกานรู้สึกหวาดกลัวขึ้นบ้าง

การกระทำของจ้าวเฟิงนั้นแม่นยำยิ่งนัก หยิบชิ้นกระดูกขึ้นจากไข่ไก่

ปัญหาที่เขาหยิบยกขึ้นมานั้นสามารถวิเคราะห์ตามได้ พบเจอความไม่สมบูรณ์จำนวนมาก

“วัสดุที่เอ่ยมานั้นถูกต้องตามชิ้นงาน รวมทั้งสัดส่วนที่ใช้ ลักษณะการหลอมยังแม่นยำยิ่ง โดยปกติแล้วมีเพียงระดับนายช่างใหญ่หรือนายช่างที่มีประสบการณ์จำนวนมากเท่านั้นจึงจะสามารถมองเห็นได้มากเพียงนี้…”

นายช่างที่ได้ฟังนั้นสูดลมหายใจลึกเข้าอย่างช่วยไม่ได้

“รีบไปแจ้งศิษย์พี่ทั้งสามเร็วเข้า”

“ศิษย์พี่หนึ่งได้ปิดห้องสร้างผลงานอยู่ ศิษย์พี่สองออกไปด้านนอก ศิษย์พี่สามอาจกำลังรับหน้าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอยู่”

นายช่างของตำหนักเถี่ยกานค่อนข้างกระวนกระวาย

นายช่างจำนวนมากที่อยู่ที่นั่นได้ถูกล่อลวงไปโดยจ้าวเฟิงโดยสมบูรณ์ ไม่อาจตั้งสติได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ที่น่าหวาดกลัวไปกว่านั้นคือ แต่ล่ะผลงานที่เด็กหนุ่มหยิบยกขึ้นมานั้นได้เอ่ยถึงคุณภาพของวัสดุอย่างแม่นยำ ทั้งยังความไม่สมบูรณ์ของมัน

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ชื่อเสียงของตำหนักเถี่ยกานย่อมพังทลาย

“บางทีหมอนี่อาจกำลังก่อกวนสร้างความวุ่นวายอยู่?”

นายช่างจำนวนมากสูดลมหายใจลึกอย่างช่วยไม่ได้ ตระหนักได้ในที่สุด

“ไล่เขาออกไปได้หรือไม่?”

“ไม่ได้ ในมือของเขามีตราหลิวหงอยู่ เขาเป็นบุตรเขยของเจ้าเมืองหงหู”

“ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าเมืองหงหูและนายท่านไม่ดีอยู่แล้ว มันเป็นไปได้หรือไม่ที่เรื่องนี้มีเจ้าเมืองหงหูอยู่เบื้องหลัง?”

ตำหนักเถี่ยกานนั้นย่อมมียอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงป้องกันอยู่ ทว่าในยามนี้กลับรู้สึกหมดหนทาง

ที่นี่คืออาณาเขตของเมืองหงหู สถานะของจ้าวเฟิงนั้นต่างออกไป เบื้องหลังมีเจ้าเมืองหงหูอยู่ พวกเขาไม่กล้าที่จะโจมตีโดยง่าย

ที่สำคัญไปกว่านั้น ปัญหาที่จ้าวเฟิงเอ่ยในแต่ละชิ้นงานนั้นมีเหตุผล ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่งจากนายช่างหลายคน

หากตำหนักเถี่ยกานจับคนอย่างรุนแรง มิใช่ว่านั่นนับว่ายอมรับว่าหวาดกลัวหรือ?

“ผู้ใดกล้ามาสร้างปัญหาในตำหนักเถี่ยกานของข้า”

น้ำเสียงแข็งกระด้างปรากฏความโกรธเคืองได้ดังขึ้น จากเบื้องบนปรากฏแรงกดดันจากผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

แรงกดดันนี้เทียบเท่าได้กับผู้อาวุโสหนึ่งของสำนักจันทร์สลาย ใกล้เคียงขั้นผู้วิเศษแท้

“นายท่าน”

“นายช่างใหญ่เถี่ยกาน”

ผู้คนที่อยู่ในตำหนักปรากฏความหวาดกลัวขึ้น

เพียงแค่เสียงนั้นเงียบลง

ชายผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น มือถือค้อนเหล็ก สวมใส่เสื้อสีแดง จมูกแดงก่ำได้เดินมายังโถงหลัก ทั่วทั้งร่างปรากฏเปลวเพลิงสูงหนึ่งหลา ราวกับปีศาจร้ายที่หลอมรวมกับมนุษย์

ผู้คนในเมืองหงหูล้วนรู้ว่านายช่างใหญ่เถี่ยกานนั้นเป็นผู้ที่อารมณ์ร้อน

ในยามนี้ เหล่าผู้คนรับรู้ได้ถึงสภาพการณ์ มิกล้าที่จะจากไป

“ฮี่ฮี่ นายช่างใหญ่เถี่ยกาน ในที่สุดท่านก็ยอมออกมา”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มในใจ รักษาท่าทีเยือกเย็นเอาไว้ วางชิ้นผลงานในมือลงก่อนจะเอ่ยอย่างสบายๆ

“นายช่างใหญ่เถี่ยกาน การมาครั้งนี้ของข้าเป็นตัวแทนของอาจารย์ข้า ‘นายช่างใหญ่ทั้งพัน’ มาท้าประลองท่าน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!