บทที่ 279 : หลับลึก (1)
เมื่อหลิวฉินซินเผยไพ่ใบสุดท้ายของนางออกมา ใบหน้าของจ้าวเฟิงจากที่มั่นใจกลับชะงักงันไปชั่วขณะ ราวกับสายฝนที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เขาต้องตกลงไปในนรกเสียอย่างนั้น
“พลังฝึกตนที่แท้จริงของนางคือขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เมื่อรวมกับพลังสายเลือด ทำให้กระทั่งเหนือกว่าหลิวเหยียน…”
จ้าวเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ครั้งแรกที่ได้พบกับนาง จ้าวเฟิงได้ใช้ดวงตาเทพเจ้าตรวจสอบ ทว่าไม่สามารถมองลอดผ่านผ้าปิดปากนั้นได้ ทั้งหลิวฉินซินยังรู้ตัว
กระทั่งตอนนั้น ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของหลิวฉินซินก็มิได้อ่อนด้อยไปกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเลย
ตอนนั้น จ้าวเฟิงคิดว่านางมีพลังสายเลือดที่พิเศษ พลังฝึกตนใกล้เคียงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอย่างมาก มิคาดว่าเมื่อใช้ดวงตาเทพเจ้าตรวจสอบจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
ตอนนี้ พลังที่แท้จริงของนางได้เปิดเผย ความจริงทุกอย่างจึงปรากฏ
“เฟิง ตามที่พนันกันไว้ เจ้าไม่มีโอกาสที่จะชนะได้”
หลิวฉินซินหัวเราะ
ก่อนหน้านั้น จ้าวเฟิงได้ใช้วิชาและแผนการจำนวนมากหลบหนีจากการไล่ล่าของหลิวเหยียนมาได้
เป็นเพียงผู้ที่อยู่ในนภาที่เจ็ด สามารถทำได้เท่านี้นับว่าเก่งมากแล้ว
ทว่าหากจ้าวเฟิงต้องสู้กับหลิวเหยียนตรงๆ โอกาสที่จะชนะมีน้อยมาก
ในตอนนี้ เพื่อทำตามที่พนันกันไว้ จ้าวเฟิงจะต้องต่อสู้กับหลิวฉินซินตรงๆ ไม่อาจหลบหนี
หลิวฉินซินยังเป็นศิษย์ของผู้ถือครอง ‘หนทางแห่งโชคชะตา’ บนร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาด เมื่อรวมกับมรดกสายเลือดแล้วย่อมแข็งแกร่งกว่าหลิวเหยียน
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงรีบคำนวณอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเขาก็ได้บทสรุปว่า หากสู้กันซึ่งๆ หน้าโอกาสที่จะชนะนั้นมีไม่ถึงสามส่วน
“แน่นอนว่าเจ้าสามารถผิดคำสัญญาได้ ข้าเองก็จะไม่บังคับเจ้า”
หลิวฉินซินมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างนิ่งสงบ
หากจ้าวเฟิงผิดคำสัญญาและหนีไป นั่นย่อมทำให้นางผิดหวังเป็นอย่างมาก ต่อให้คนผู้นี้มีโดดเด่นเพียงใดก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นสามีของนาง
จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน เรือนผมสีเขียวที่มีสีน้ำเงินอ่อนแซมบางส่วน สีหน้าค่อยๆ กลับมานิ่งสงบดังเดิม
“ข้าไม่ได้ยอมแพ้”
จ้าวเฟิงหมุนตัวกลับอย่างเชื่องช้า เผชิญหน้ากับหลิวฉินซิน
ในตอนนี้ทั้งสองยืนใกล้กันมาก จ้าวเฟิงกระทั่งสามารถได้กลิ่นหอมจากร่างของสตรีงดงามตรงหน้าได้
ทันใดนั้นเอง สายตาทั้งสองคู่ได้จ้องมองกัน
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้ถูกใช้งานแล้ว
ที่จ้าวเฟิงมีโอกาสชนะเกือบสามส่วนเป็นเพราะดวงตาเทพเจ้าของเขามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
นัยน์ตาสีเขียวลึกล้ำนั้นได้แผ่ขยายออกไป ใจกลางปรากฏแสงสีฟ้าอ่อนจางขึ้นบางครา
พลังจิตของจ้าวเฟิงสามารถเทียบได้กับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป โดยเฉพาะยามเมื่อแสงสีน้ำเงินอ่อนปรากฏขึ้น สามารถเทียบได้กับขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปได้อีกด้วย
หลิวฉินซินเองก็ยังไม่ได้ลงมือจู่โจมจ้าวเฟิงในทันที นางใช้ดวงตาทั้งคู่ของนางมองไปยังคู่ต่อสู้
แม้ว่าจะยืนห่างกันเพียงฝ่ามือ ทว่าการโจมตีทางจิตนั้นเหนือกว่าการโจมตีทั่วไปนัก
ซ่า
นัยน์ตาสีเขียวลึกล้ำของจ้าวเฟิงปรากฏประกายแสงสีน้ำเงินอ่อนอีกครั้ง ทำให้จิตใจสั่นไหว
ในยามนั้น พลังของดวงตาเทพเจ้าก็ได้เพียงขึ้นอย่างกะทันหัน
ระลอกพลังจิตสั่นสะท้าน ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นปรากฏความล่อลวงดึงดูดขึ้น
หลิวฉินซินจิตใจสั่นไหว จิตใจยากที่จะต่อต้าน
ในช่วงเวลาสำคัญ เด็กสาวได้ควบคุมจิตใจ รวบรวมสมาธิ และใช้พลังสายเลือดที่อยู่ภายในร่างกายในเวลาเดียวกัน
บนเรือนร่างงดงามของเด็กสาวปรากฏแสงสีเงินส่องสว่างขึ้น สร้างกลิ่นอายลึกลับ ราวกับรางจำแลงของจันทรา
พลังฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เมื่อรวมกับพลังสายเลือดลึกลับแล้ว แรงกดดันที่จ้าวเฟิงได้รับนั้นมากมายนัก
หน้าผากของเขากระทั่งมีเหงื่อไหลย้อยลงมา สุดท้ายแล้วก็ยังคงล้มเหลว
“ไม่มีประโยชน์ กำแพงของพลังฝึกตนที่แตกต่างกันนั้นไม่อาจก้าวข้าม”
หลิวฉินซินถอนหายใจ
จ้าวเฟิงสั่นศีรษะฝืนยิ้ม สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้น
“ฉินซิน เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตั้งแต่ที่ข้าเจอกับเจ้าคราแรก หัวใจของข้าสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก”
ประกายแสงลึกล้ำในดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงปรากฏความอบอุ่น
เด็กหนุ่มพูดด้วยความนุ่มนวล มองไปยังสตรีงดงามเบื้องหน้า
“เจ้า เหตุใดจึง…”
หลิวฉินซินตกใจ ไม่คิดว่าจ้าวเฟิงจะสารภาพรักนางแบบนี้
สายตาเจ้าเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยมี พลังแปลกประหลาดประการหนึ่งที่ปะปนไปด้วยความล่อลวงได้ฉวยช่องว่างที่เปิดออกเอาไว้
หลิวฉินซินไม่รู้ตัว ดวงตาคู่งามแดงก่ำ ปรากฏม่านน้ำตาขึ้น
“ฉินซิน ข้ายอมรับผิดแล้ว ข้าตัดสินใจจะรับเจ้าเป็นภรรยา”
สายตาของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน ใช้คำพูดหว่านล้อมอย่างนุ่มนวลหาทางสอดแทรกเข้าไปในจิตใจอีกฝ่าย
อย่างเชื่องช้า
จ้าวเฟิงค่อยๆ เข้าใกล้หลิวฉินซินทีละนิด ก่อนยื่นมือออกไปโอบไหล่ของอีกฝ่าย
“เฟิง เจ้ารู้หรือไม่? วินาทีที่ข้ารู้ว่าเจ้าหนีการแต่งงาน ใจของข้าก็ร่วงหล่น ข้ามิเคยคิดเลยว่าจะสูญเสียความเยือกเย็นเช่นนี้ ในยามนั้น ข้าเพียงต้องการตามหาเจ้าเพื่อขอคำอธิบาย…”
ม่านน้ำในดวงตาของหลิวฉินซินร่วงหล่น กลับกลายเป็นน้ำตาของความยินดี
นางได้ตกลงสู่ ‘เคล็ดพลังจิตมายา’ ของจ้าวเฟิงโดยสมบูรณ์ เต็มไปด้วยความยินดี อิงแอบร่างเข้ากับแผ่นอกของเด็กหนุ่ม
“เหตุใดจึงง่ายนัก?”
จ้าวเฟิงตะลึง ไม่คิดว่าจะราบรื่นถึงเพียงนี้
เมื่อครู่เขาใช้พลังดวงตาเทพเจ้าสะกดจิตอีกฝ่าย ทว่ากลับไม่อาจดึงรั้งจิตใจของอีกฝ่ายได้
ทว่าบัดนี้ เมื่อใช้ไม้อ่อนด้วยวิชาจิตมายา ใช้จุดอ่อนของจิตใจจู่โจมคนกลับสามารถทำได้สำเร็จในคราเดียวอย่างคาดไม่ถึง
ในตอนนี้
หลิวฉินซินถูกพลังจิตของจ้าวเฟิงเข้าควบคุมแล้ว
“ที่แท้รอยด่างพร้อยของจิตใจนางก็คือข้า ทำให้สำเร็จง่ายดายเพียงนี้”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความซับซ้อน ในใจปรากฏความไม่สบายใจอย่างมาก
เด็กหนุ่มโอบกอดร่างของสาวงามอีกครั้ง เรือนร่างงดงามนี้บอบบางอรชรเช่นสตรี แทบจะทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว
เจ้าแพ้แล้ว
พลังจิตมายาของจ้าวเฟิงพลันหยุดลง มือข้างหนึ่งวางไว้ที่ที่ลำคอเรียวขาวของหลิวฉินซิน
หลิวฉินซินตื่นขึ้นจากฝัน พบว่านางกำลังกอดกับฝ่ายตรงข้ามอย่างใกล้ชิด ใบหน้าร้อนจัด พลันแดงซ่านขึ้น
“เจ้า กล้าดีอย่างไร…”
หลิวฉินซินรู้สึกอับอายจนแทบไม่อาจทานทน
แม้ว่านางจะยังเหลือไพ่บนมืออยู่บ้าง ทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ที่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านของคู่หมั้นมาแต่แรกได้แทรกซึมเข้ามาในจิตใจของนาง เมื่อหนีงานแต่งงานไปย่อมสร้างรอยด่างพร้อยขึ้นบนจิตใจของนาง
จ้าวเฟิงค่อยๆ ปล่อยมือ ผิวขาวนวลของหลิวฉินซินบัดนี้กลับกลายเป็นแดงซ่านตั้งแต่ใบหน้าไปจนทั่วทั้งร่าง
“ข้าแพ้แล้ว”
หลิวฉินซินปรับอารมณ์ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขมขื่น
ดวงตางดงามของเด็กสาวมองไปยังจ้าวเฟิงที่พลิ้วกายห่างออกไปอย่างช้าๆ
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการใด ในเมื่อนางแพ้พนันแล้ว นางก็ไม่อาจหาข้ออ้างใดมาได้
จ้าวเฟิงมองไปยังร่างงดงามของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ จางหาย พลันรู้สึกว่าจิตใจขาดหายบางสิ่งไป
วิธีการนี้นั้นไม่ใช่ความตั้งใจของเขาแต่ดั้งเดิม ทว่าในสายตาอันเยือกเย็นของดวงตาเทพเจ้านั้น มันคือวิธีการที่สั้นและได้ผลที่สุด
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยว่า “วันหนึ่ง หากข้าไม่มีภาระอันใดแล้ว ข้าจะกลับมาแต่งงานกับเจ้า”
เรือนร่างบอบบางของหลิวฉินซินแข็งค้าง เอ่ยขึ้นโดยไม่หันศีรษะไปมอง “ข้าไม่ต้องการความสงสารเห็นใจจากเจ้า”
“แต่เงื่อนไขคือ ในยามนั้นเจ้าต้องยังไม่แต่งงานกับผู้ใด”
จ้าวเฟิงเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะขี่นางแอ่นมรกตจากไป
การแพ้ชนะในการพนันครานี้ไม่ได้มีความหมายอันใดมากนัก
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะหนีการแต่งงานได้สำเร็จ ทว่ากลับทิ้งคำสัญญาเช่นนี้เอาไว้
สำหรับคนไร้ใจเช่นเขา สามารถพูดคำแบบนี้ออกมาได้ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว
“ท่านอาจารย์ เขาเป็นเนื้อคู่ของข้า หรือว่าอุปสรรคของข้ากัน?”
สายตาหลิวฉินซินปรากฎความเคลือบแคลง
หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน นางก็พบว่าจ้าวเฟิงนั้นเป็นตัวโง่งมที่มีความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกผู้อื่นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
ดังนั้นแล้ว การทิ้งคำมั่นสัญญาไว้เช่นนี้นับว่าหายากยิ่งนัก ยังคงสร้างความซาบซึ้งให้แก่ตัวนาง
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะชนะ ทว่าก็ยังให้คำสัญญาแบบนี้
หากเด็กหนุ่มไร้หัวใจ ย่อมยึดตามสิ่งที่พนันกันไว้แล้วจากไป
ทว่าโชคชะตานั้นยากจะคาดเดา สุดท้ายแล้วยังคงกลับมาที่เส้นทางเดิม
“คนที่เขาต้องการหาคือ ‘ฉินหวางเฟย’ หวังว่าพบกันคราหน้าเราจะไม่ต้องเป็นศัตรูกัน”
ดวงตางดงามของหลิวฉินซินกลับมานิ่งสงบอีกครั้ง
เมื่อครั้งที่จ้าวเฟิงหยิบหวีหยกนั้นออกมา นางก็รู้แล้วว่ามันเป็นของตระกูลหลิวใด
เมื่อนั่งนางแอ่นมรกต ความเร็วของจ้าวเฟิงก็ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลอยสูงขึ้นในอากาศ
“ข้าต้องออกจากอาณาเขตเมืองหงหูให้เร็วที่สุด”
ในใจของจ้าวเฟิงปรากฏความเร่งร้อน
หลิวฉินไม่ตามเขามาอีก ทว่ามันไม่ได้หมายความว่าเจ้าเมืองหงหูจะหยุดเพียงเท่านี้
การหนีงานแต่งงานครั้งนี้นับเป็นการหักหน้าและทำลายชื่อเสียงของตระกูลหลิวแห่งหงหูอย่างมาก
ทว่าด้วยโอกาสนี้กลับทำให้เจ้าเมืองหงหูได้บรรลุขั้นนายเหนือแท้ได้
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยปรากฏตัวขึ้นนั่งบนไหล่ของเขา ในอุ้งมือปรากฏเหรียญสองอัน สร้างเสียงติงติงขณะหมุน
จ้าวเฟิงหวนคิดถึงเรื่องราวที่หลิวฉินซินเล่า เซียนผู้หนึ่งที่ได้รับศิษย์สตรีสามคน ผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่เลือกหนทางแห่งโชคชะตา ศิษย์คนที่สองเลือกหนทางแห่งความเสน่หา
หลิวฉินซินเป็นผู้สืบทอดของศิษย์ใหญ่ผู้เลือกหนทางแห่งโชคชะตานั้น
อุ้งเท้าของแมวขโมยตัวน้อยวาดไปมา ราวกับกำลังอธิบายบางสิ่ง
จ้าวเฟิงเข้าใจในความหมายของมัน ชัดเจนว่าศิษย์ใหญ่ผู้เลือกหนทางแห่งโชคชะตานั้นได้ทำให้หลิวฉินซินเปลี่ยนชื่อเพื่อช่วงชิงชะตานี้มา
สุดท้ายแล้วมันก็สำเร็จ
การมาของจ้าวเฟิงทำให้ท่านเจ้าเมืองหงหูได้บรรลุขั้นนายเหนือแท้
หลังจากนั้น เมื่อหนีงานแต่งงานสำเร็จ ด้วยความใจดีเขายังสัญญาว่าจะรับหลิวฉินซินเป็นภรรยา แน่นอนว่านางต้องยอมรออยู่แล้ว
เมี้ยว เมี้ยว
เครื่องทำนายโชคชะตาตัวน้อยได้โยน “เหรียญทองแดงแบ่งชะตา” ก่อนจะพยักหน้าไม่หยุด กระทั่งปรากฏความชื่นชมออกมา
“หากคาดเดามิผิดพลาด ผู้ที่เลือกหนทางแห่งความเสน่หาคงเป็นฉินหวางเฟย”
ข้อสงสัยหลายประการในใจของจ้าวเฟิงได้รับคำตอบ
ยามนี้ ข้อสงสัยที่เหลืออยู่นั้นคือ ฉินหวางเฟยและผู้เป็นอาจารย์ของเขามีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน
หลังจากนั้นไม่กี่วัน จ้าวเฟิงได้ใช้พลังดวงตาเทพเจ้าเพื่อค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อที่จะออกจากอาณาเขตเมืองหงหู
เนื่องจากการใช้พลังของดวงตาเทพเจ้าติดต่อกัน ความรู้สึกอ่อนล้าในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจึงได้เพิ่มมากขึ้น
ผมสีเขียวของเขาได้ปรากฏสีน้ำเงินอ่อนมากยิ่งขึ้น
ประกายแสงสีน้ำเงินอ่อนที่ใจกลางดวงตาเทพเจ้าของเขาได้ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งกว่าแต่เดิม
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้สร้างความเหนื่อยล้าให้แก่ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่ม
“เริ่มจะไม่ไหวแล้ว…”
จ้าวเฟิงขบฟันกรอด
ท้ายที่สุด พลังจิตที่เหนื่อยล้าของเขาได้ทำให้เขาอยากจะหลับพักผ่อนอย่างมาก
ทว่าจ้าวเฟิงรู้ดีว่าหากยังไม่พ้นเขตเมืองหงหูเขาจะไม่สามารถหลับได้
ความรู้สึกบางอย่างได้บอกว่าการหลับใหลครานี้จะไม่ใช่เพียงระยะเวลาสั้นๆ
ยังต้องอดทนอีกสองวัน มุ่งไปยังแม่น้ำเบื้องหน้านั่น
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงได้ออกห่างจากเขตเมืองหงหูและเข้าสู่อาณาเขตใหม่เรียบร้อยแล้ว
ความเหนื่อยล้าอย่างหนักได้กลืนกินสติของจ้าวเฟิง
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเส้นผมของตนเองนั้นได้แปรเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำเงินอ่อนกว่าครึ่งอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
กระทั่งนัยน์ตาของเขายังส่องประกายสีฟ้าใส ราวกับอัญมณีที่แสนล่อลวง
“ถึงขีดจำกัดแล้ว…”
จ้าวเฟิงพยายามดิ้นรน ทว่าสุดท้ายเปลือกตาทั้งคู่ก็ปิดลง
พรึบ
ร่างของเขากลับกลายเป็นเส้นแสงร่วงหล่นลงสู่กระแสน้ำเบื้องล่าง ถูกกลืนกินไปโดยเกลียวคลื่น