บทที่ 284 : ถ้ำสายธารจันทรา
“เป็นกลุ่มตัวโง่งมโดยแท้!”
น้ำเสียงดูถูกดูแคลนอย่างมากดังขึ้น พลันสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าโจรสลัด ความไม่เป็นมิตรแสดงออกชัดเจน เกือบจะพุ่งเข้าไปทำร้ายเด็กหนุ่ม
ทว่าผู้พูดนั้น เด็กหนุ่มผมสีฟ้านั่นกลับยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำ ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ
ยังดีที่
ผู้นำของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไว้แล้ว จึงไม่มีการปะทะกันเกิดขึ้น
ฉานเซว่ตูอิงขมวดคิ้วแน่น ลอบส่งสายตาไปยังผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว
นายท่านปี้แสดงสีหน้าแปลกใจ มองไปที่จ้าวเฟิงครั้งหนึ่ง
จะอย่างไร ความคิดการทะลวงผ่านค่ายกลนี้ก็ถูกแนะนำมาโดยเด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นี้
ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้ฉานเซว่ตูอิงและคนอื่นๆ เกิดความไม่พอใจในตัวจ้าวเฟิงและปี้เฉี่ยวยู่
“พี่จ้าว มันมีปัญหาตรงไหนกันเจ้าคะ?”
ปี้เฉี่ยวยู่ถาม
“ทางที่ดีที่สุดให้ส่งคนที่มีพลังฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงลงไป อย่าให้เหมือนกับไอ้โง่นั่นก่อนหน้านี้ที่แม้แต่การป้องกันตัวเองยังทำไม่เป็น”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ความพึงพอใจและเรียบเฉยบนใบหน้าของเขานั้นเป็นเหมือนเช่นคนนอกในการแย่งชิงสมบัติครานี้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝ่ายป้อมเหิงฉุ่ยก็นิ่งอึ้งไปอย่างช่วยไม่ได้
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เจ้าโง่นั่น”
ทุกคนตระหนักขึ้นได้ทันที
หากปล่อยกายไปตามแรงน้ำ ย่อมสามารถลดแรงกดดันได้ สิ่งนี้นับว่าถูกต้อง ทว่าก็ต้องป้องกันร่างกายตนเองด้วย
ฝ่ายโจรสลัดสีหน้าปรากฏความว่างโล่งไปชั่วครู่ โจรสลัดที่ลงไปเมื่อกี้นั่นนับว่าทำตามคำบอกเกินไปแล้ว
ทว่า มันก็ยังมีคำถามที่ตามมา
“เด็กหนุ่มผู้นี้ ยินอยู่ริมแม่น้ำแท้ๆ เหตุใดจึงรู้ถึงสถานการณ์ลึกในแม่น้ำนั่นได้?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวขมวดคิ้วแน่น
ทั้งสองฝ่าย ณ ที่นี้นั้นต่างมีผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงฝั่งละหนึ่งคน ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณสามารถแพร่ออกไปได้ในระยะหนึ่ง เฝ้าสถานการณ์ลึกในน้ำได้อย่างชัดเจน
นายท่านปี้มีท่าทีครุ่นคิด ในวันนั้น ตอนที่จ้าวเฟิงถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำ เขาก็ได้ค้นพบพลังสายเลือดที่พิเศษของเด็กคนนี้
ต่อมา ทั้งสองฝ่ายได้ทำตามคำแนะนำของจ้าวเฟิง ส่งผู้ฝึกตนที่มีพลังขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงลงไปไหลไปตามกระแสน้ำวน
ในยามนี้ สองผู้มีพลังขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ใช้ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณในการเฝ้ามอง
ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้น โดยปกติสามารถปลดปล่อยออกไปได้ไกลหลายลี้ ทว่าเมื่อมาอยู่ที่เขตค่ายกลน้ำวนนี้ก็ได้ถูกจำกัดไปมาก
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถเก็บรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย
ครั้งนี้ ยอดฝีมือทั้งสองที่ลงไปในน้ำใช้ปราณแท้ป้องกันตัวเอง ไม่ต่อต้านแรงน้ำวน กระทั่งใช้แรงน้ำนั้นส่งเสริม สามารถลงไปสู่ก้นแม่น้ำลึกได้ในทันที
ก้นแม่น้ำที่ลึกลงไปนั้นมีพื้นที่กว้างขวาง จำเป็นต้องสำรวจ
ในอาณาเขตนี้ แม้จะเป็นประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของฉานเซว่ตูอิงและนายท่านปี้ก็ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
ทว่าดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงยังคงมองเห็นรายละเอียดทุกอย่าง
เขากระทั่งรู้ว่าทางเข้ากรุสมบัติอยู่ที่ไหน
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วน้ำชาเดือด ใต้แม่น้ำปรากฏลำแสงสองเส้นสว่างวาบก่อนดับไป
“สำเร็จแล้ว!”
นายท่านปี้และฉานเซว่ตูอิงแสดงสีหน้าดีใจออกมา คนที่อยู่เบื้องล่างได้ส่งสัญญาณมาแล้ว
จ้าวเฟิงจ้องมองไปยังก้นแม่น้ำ ท่าทีราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
การข้ามผ่านน้ำวนธรรมชาตินี้ไปนั้นง่ายนัก ทว่าจะกลับออกมาได้อย่างไร?
หากจะกลับมายังพื้นผิวน้ำ เมื่อถึงยามนั้นจำต้องเจอกับ “น้ำวนทวนกระแส” แรงต้านทานมากมาย เกรงว่ามีเพียงแต่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นที่จะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย
ทว่า มีคนเพียงน้อยนิดที่สามารถคิดถึงจุดนี้ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ถูก “สมบัติสายธารจันทรา” บดบังสติปัญญาไป มีหรือจะคิดถึงเรื่องนี้
ซ่า ซ่า ซ่า
กองกำลังของทั้งสองฝ่ายทยอยลงไปในน้ำทีละคน
“ทุกคน เข้าไปพร้อมกัน”
นายท่านปี้เองก็ยากที่จะควบคุมสีหน้าตื่นเต้นไว้ได้ เขากระโดดลงไปในน้ำวนนั้นเป็นคนแรก
จ้าวเฟิงจะเอ่ยห้ามปราม ทว่ากลับช้าเกินไป
หากคิดตามที่เขาวิเคราะห์แล้ว แม้ว่าการไหลไปตามกระแสน้ำจะสามารถลดแรงกดดันของมันได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีขีดจำกัด
ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกตนในขอบเขตรวบรวมปราณ หากเข้าไปในน้ำวนนั่นร่างจะถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น สิ้นชีพในทันที
จ้าวเฟิงคาดว่าต้องมีพลังในนภาที่เจ็ดเป็นอย่างน้อยที่ยังพอได้ ทว่าก็ไม่ได้ปลอดภัยโดยสิ้นเชิง
จะอย่างไร แรงของน้ำวนเหล่านี้ล้วนหลากหลาย ปรวนแปรไร้ที่สิ้นสุด คงต้องพึ่งโชคแล้ว
แน่นอนว่าผู้ที่มีพลังขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงย่อมสามารถทำได้สำเร็จ
จ้าวเฟิงและปี้เฉี่ยวยู่ลงไปในเขตน้ำวนด้วยกัน
นายท่านปี้กำชับไว้ว่าให้ผู้มีพลังฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนคอยคุ้มครองปี้เฉี่ยวยู่ หนึ่งในนั้นคือผู้นำตระกูลปี้
ผู้นำตระกูลปี้คิดถึงความลึกลับของจ้าวเฟิงก่อนหน้านี้ ราวกับว่าล่วงรู้ถึงน้ำวนธรรมชาตินี้เป็นอย่างดี จึงติดตามไปกับเด็กหนุ่ม
ความจริงได้บ่งบอก เขาได้เลือกพนันถูกคนแล้ว!
เหล่าคนหลายคนที่ติดตามจ้าวเฟิงไป แรงฉีกกระชากของน้ำวนรอบๆ นั้นน้อยกว่าที่คาดคิดเอาไว้
เส้นทางการเคลื่อนที่ของจ้าวเฟิงไม่ใช่เส้นตรง หากเป็นการเดินไปตามแนวโค้ง
ในที่สุด
คนเหล่านี้ กระทั่งปี้เฉี่ยวยู่ที่อยู่ในนภาที่ห้าก็สามารถผ่านไปได้อย่างเฉียดฉิว
เมื่อมองไปยังส่วนอื่น มักจะปรากฏเสียงกระแทกของสายน้ำและเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อมาถึงก้นแม่น้ำ คนที่แยกกันลงมาในแต่ล่ะส่วนของน้ำวนของแต่ล่ะฝั่งเหลือรอดไม่เกินกึ่งหนึ่งอย่างน่าเศร้า
ผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่านภาที่เจ็ดส่วนมากล้มเหลว ตายตกอย่างน่าเศร้าที่ก้นแม่น้ำ กระทั่งผู้ที่มีพลังในนภาที่เจ็ดสองคนก็โชคร้าย วังน้ำวนที่ใช้ลงมานั้นกระแสน้ำรุนแรงเกินไป ฉีกกระชากร่างจนสิ้นชีพ
มีเพียงแต่ผู้มีพลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นที่ไม่มีความสูญเสีย
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ทำให้ผู้นำตระกูลปี้ยิ่งแปลกใจ รู้สึกชื่นชมจ้าวเฟิงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เพราะว่าคนหลายคนที่มากับจ้าวเฟิงนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
และในเวลาเดียวกัน บริเวณใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ
พรึบ พรึบ พรึบ
ร่างของสองบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏขึ้นจากสถานที่ห่างไกล พลิ้วกายลงที่ริมแม่น้ำ
ตรงกลางเป็นชายหนุ่มใบหน้างดงาม สวมใส่อาภรณ์สีทอง ในมือถือพัด มุมปากปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย สีหน้ายินดี
ด้านข้างซ้ายและขวาปรากฏสตรีงดงามในอาภรณ์สายดอกไม้และชายแก่ร่างเตี้ยชุดดำยืนขนาบชายหนุ่มไว้
เมื่อสามคนมาถึง ชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลางก็ได้ส่งกลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงออกไป
“ผู้ใดกัน!”
ที่ริมฝั่งและบนเรือยังมีคนกลุ่มหนึ่งหลงเหลืออยู่ บนใบหน้าปรากฏความระแวดระวัง
ยังไม่ทันสิ้นคำ ชายหนุ่มในชุดสีทองก็ได้สะบัดพัดในมือ ปรากฏเงาพัดจำนวนมากพุ่งออกไปในอากาศ
เงาพัดเหล่านั้นเป็นราวกับสิ่งที่ไม่อาจจับต้อง พุ่งตรงไปยังร่างของเป้าหมายอย่างรวดเร็ว
ฟิ้ววว
เมื่อเงาพัดเหล่านั้นสัมผัสร่างของเป้าหมาย ร่างของพวกเขาก็เน่าเปื่อยในทันที ไม่กี่ลมหายใจก็แปรเปลี่ยนริมแม่น้ำให้กลายเป็นหาดสีเลือด
“เจ้า… เจ้าคือ ‘โจรเถาชานเฟ่ย (พัดดอกท้อ)’!”
หนึ่งในโจรสลัดที่มีพลังในนภาที่เจ็ดผู้หนึ่งสามารถต้านทานอย่างกล้ำกลืนได้สี่ห้าลมหายใจ ก่อนที่ร่างจะเน่าเปื่อย หลงเหลือไว้เพียงคราบของเหลวบางส่วนบนหาดสีโลหิต
“โจรเถาชานเฟ่ย… ได้ยินมาว่าเป็นศิษย์ของจอมโจรฉุ่ยเยว่”
ยอดฝีมือในนภาที่เจ็ดแห่งป้อมเหิงฉุ่ยวานใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงก่อนจะสิ้นใจ
แต่เดิม
จอมโจรฉุ่ยเยว่ผู้นั้น ครั้งเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้รับศิษย์ไว้หลายคน
“โจรเถาชานเฟ่ย” คือศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดของเขา!
ทว่า จอมโจรฉุ่ยเยว่ได้สิ้นชีพลงอย่างกะทันหัน จึงไม่ทันได้มอบ “คัมภีร์บุปผาลึกลับ” ให้กับศิษย์ของตน
ดังนั้นแล้ว โจรเถาชานเฟ่ยนี้ แม้จะมีพลังฝึกตนสูงถึงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทว่าเมื่อมาถึงการกระทำการชั่วร้ายแล้วกลับทำตัวต่ำต้อย เลื่องชื่อในการวางแผน
“ศิษย์พี่หนึ่ง ท่านจะปล่อยให้พวกมันเข้าไปแย่งชิงสมบัติของท่านอาจารย์หรือ?”
สตรีในชุดสีสด มีความงามเลิศล้ำ น้ำเสียงนุ่มนวลทรงเสน่ห์ ท่าทีราวกับกำลังประจบประแจง
“ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นจ้องมองอยู่เบื้องหลัง ท่านอาจารย์ทั้งชีวิตหมกมุ่นอยู่กับกลไกค่ายกล ย่อมต้องเตรียมการวางไว้อย่างแยบยล ให้พวกมันเข้าไปก่อนเถอะ”
ชายหนุ่มในชุดสีทองนั่งลงบนเรือโจรสลัดอย่างใจเย็น
ชายแก่ร่างเตี้ยคนที่สามถอนหายใจ “ทั้งสองฝั่ง ทั้งฝั่งป้อมเหิงฉุ่ยและโจรสลัดโลหิตคลั่งต่างมีผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนนำ ก็เพียงพอที่จะทำลายกับดักของอุโมงค์สมบัติได้ คงไม่ต้องอาศัยตาแก่อย่างข้าแล้ว…”
ชายแก่ร่างเตี้ยฝืนยิ้ม ดูราวกับว่ามันมิใช่ความต้องการของตนแต่แรกเริ่ม
ก้นแม่น้ำ
กองกำลังของทั้งสองฝ่ายพักผ่อนเล็กน้อย พลังฝึกตนของทุกคนล้วนอยู่ในนภาที่หกและเจ็ด ในระดับนี้ย่อมไม่ต้องกังวลถึงเรื่องอากาศหายใจในการเอาชีวิตรอดใต้น้ำ
เมื่อเห็นว่ามีการสูญเสียเกิดขึ้นมากมาย นายท่านปี้และฉานเซว่ตูอิงก็มีสีหน้าอับอาย
จ้าวเฟิงนั้นมิใช่ไม่อยากเตือน ทว่าเตือนไม่ทัน นอกจากนั้น ผู้ใดเล่าที่จะยอมปล่อยมือไปจากสมบัติสายธารจันทราที่แสนล่อลวงนั่น?
อีกทั้งทางที่ต้องกลับออกไปเมื่อเทียบแล้วนับว่าอันตรายกว่าทางที่เข้ามามากนัก มีเพียงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถป้องกันตนเองได้อย่างแน่นอน
“นายท่านปี้ หาตำแหน่งของสมบัติได้แล้วขอรับ”
“หัวหน้า! สมบัติสายธารจันทราอยู่ตรงนั้น…”
คนสองคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนที่มาสำรวจก่อนหน้าเดินมาด้วยความตื่นเต้น
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นนั้นต่างก็ดีใจอย่างมาก
ทั้งสองคนนำทาง ว่ายตรงไปยังก้นแม่น้ำห่างออกไป เบื้องหน้ากำแพงภูเขานั้นได้ปรากฏถ้ำลับมืดทะมึนอยู่
รอบถ้ำลับนั้นมีเถาวัลย์ล้อมรอบ หากไม่เข้าไปใกล้ก็แทบจะมองไม่เห็น
ห่างออกไปหลายฟุตสามารถมองเห็นแสงที่ลอดออกมาจากถ้ำลับได้
“ถึงแล้ว!”
กองกำลังทั้งสองต่างตื่นเต้นดีใจ
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ทางเข้าถ้ำลับที่ก้นแม่น้ำนี้เขาค้นพบตั้งแต่อยู่บนฝั่งแล้ว
แน่นอนว่าเจ้าของสมบัติสายธารจันทรานั้นเชี่ยวชาญในกลไกค่ายกล ตัวมันได้กลบฝังสมบัติไว้ในถ้ำลับนี้ ค่ายกลกลไกที่หลงเหลือไว้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำลายลงได้ง่ายๆ
ปากทางเข้าถ้ำลับ
กองกำลังทั้งสองยืนเคียงข้างกันที่ทางเข้า สองผู้นำในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอยู่ในสภาวะตื่นตัว
ผู้ที่ติดตามฉานเซว่ตูอิงอยู่ด้านหลังคือผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว คนผู้นี้เชี่ยวชาญในกลไกของประตู
ใบหน้าของนายท่านปี้เรียบเฉย กำชับให้ปี้เฉี่ยวยู่มาช่วยเปิดประตู
ทางเข้าถ้ำลับนั้นไม่ใหญ่นัก ทว่าหลังจากเข้าไปแล้วกลับพบว่าพื้นที่ภายในนั้นกว้างใหญ่มาก ราวกับโลกอีกใบหนึ่ง
เริ่มแรก ทางเข้าถ้ำได้มีน้ำอยู่บ้าง แต่หลังจากที่เข้าไปกระแสน้ำค่อยๆ ถอยกลับจนแห้งสนิทไป ไม่หลงเหลือแม้เพียงน้ำสักหยด นับว่าน่าอัศจรรย์นัก
จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่ง เบื้องหน้าได้ปรากฏขั้นบันไดสีเขียวดำลึกลับขึ้นในสายตา
ผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสองเดินอย่างระมัดระวัง
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและปี้เฉี่ยวยู่เดินไปใกล้บันไดก่อนเริ่มทำการสำรวจและหาสิ่งผิดแปลก
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง เดินไปข้างบันได แหวกพงหญ้าพงหนึ่ง เผยให้เห็นแผ่นหินแผ่นหนึ่ง
บนแผ่นหินนั้นสลักตัวอักษรอยู่สามตัว : ถ้ำสายธารจันทรา (水月洞)
ผู้คนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้คือสุสานของจอมโจรฉุ่ยเยว่ กระทั่งกล้าตั้งชื่อที่สง่างามเช่นนี้
“ที่นี่ไม่มีกับดักซ่อนอยู่!”
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวกวาดตามองเล็กน้อยก่อนจะนำไปเบื้องหน้า
เหล่าโจรสลัดต่างระมัดระวังในระหว่างที่เดินขึ้นบันไดไป กระทั่งรู้สึกถึงความไม่สบายใจบางอย่าง
ปี้เฉี่ยวยู่สำรวจ มั่นใจว่าทุกสิ่งปกติจึงมีเพียงสีหน้าประหลาดใจ มองไปยังแผ่นหินคราหนึ่ง
มือของจ้าวเฟิงวางอยู่บนแผ่นหินอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะละมือออกอย่างช้าๆ
แคร่ก!
บนแผ่นหินปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นในทันที
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและฉานเซว่ตูอิงที่เดินนำชะงักฝีเท้าในทันที
ครื่น—–
ใกล้บันไดเกิดการเคลื่อนไหวบางอย่างขึ้น ทั้งถ้ำเกิดเสียงระเบิดดังสะท้อนราวกับจะถล่มลงมา
ทุกคนทรงตัวให้มั่นคง มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่เป็นมิตร
“ไอ้หนู! เจ้าทำอะไรลงไป?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ชัดเจนว่ามือของจ้าวเฟิงที่วางไปบนแผ่นหินต้องไปสัมผัสกลไกบางอย่าง
จ้าวเฟิงหัวเราะขณะรั้งมือกลับ
ไม่มีใครสังเกตว่าที่ป้ายหินนั้นได้ปรากฏรอยฝ่ามืออยู่ลางๆ ตรงที่มีรอยแยก
ใกล้บันไดเกิดแรงสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่งจึงกลับคืนสู่สภาพเดิม
มีเพียงปี้เฉี่ยวยู่ที่เท่านั้นที่แสดงความสงสัยออกมา เพราะว่าในช่วงที่อยู่ใกล้นั้นนางแน่ใจว่ารอยฝ่ามือนั้นไม่ใช่จ้าวเฟิงทำแน่ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองจากเงื่อนไขบางอย่าง
“แผ่นหินนี่มีความลับบางอย่างอยู่จริงๆ”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังส่วนหนึ่งตนเองที่ได้แทรกซึมเข้าไปที่รอยฝ่ามือที่บนแผ่นหินนั้น