บทที่ 303 : การประมูล (2)
“160,000!”
“170,000!”
“200,000!”
ณ โรงประมูล เสียงตะโกนเสนอราคาดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
พิณไผ่สวรรค์เก้าสำเนียง เป็นพิณของ “สำนักเจี่ยนจง” สมบัติล้ำค่าในอดีตของสำนัก ไม่เพียงแต่เหล่ายอดกวีที่ใฝ่ฝันอยากจะได้ไว้ครอบครอง เครื่องดนตรีชิ้นนี้ยังนับเป็นของสะสมที่มีมูลค่าในระดับหนึ่ง
ราคาที่เห็นอยู่เบื้องหน้าพุ่งทะยานสูงขึ้นถึง 200,000 มุมปากของจ้าวเฟิงยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มยินดี
“300,000!”
ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหกปรากฏเสียงเย็นเยียบของสตรีผู้หนึ่งขึ้น เพิ่มราคาประมูลขึ้นหนึ่งแสนผลึกเริ่มต้นระดับต่ำอย่างกะทันหัน
เสียงทั่วทั้งโรงประมูลเงียบงันลงชั่วครู่ ผู้คนจำนวนไม่น้อยเบนสายตาจ้องมองไปยังที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหก
“ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหกคือคนของสำนักเจี่ยนจง พิณไผ่สวรรค์เก้าสำเนียงเองก็มาจากสำนักเจี่ยนจง…”
เหล่าผู้ที่ยังต้องการจะแย่งชิงของชิ้นนี้พลันครุ่นคิดอีกครั้งก่อนที่คนส่วนมากจะล้มเลิกความตั้งใจไป
สำนักเจี่ยนจงเป็นเช่นเดียวกับลัทธิโลหะเลือด เป็นหนึ่งในสามยอดสำนัก ชื่อเสียงเลื่องลือในทวีปเหนือ
คนทั่วไปไม่อยากมีปัญหากับคนของสำนักเจี่ยนจงที่เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามีหรือที่กำลังทรัพย์ของคนทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงกับสำนักเจี่ยนจงได้
“310,000!”
“320,000!”
ทว่ายอดกวีนั้นแม้จะมีจำนวนน้อย ทว่าพลังฝึกตนของบางคนก็สูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ ทั้งเบื้องหลังยังมีผู้มากอำนาจคอยสนับสนุนจึงไม่ได้เกรงกลัวสำนักเจี่ยนจงแต่อย่างใด
“400,000!”
ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหก คนจากสำนักเจี่ยนจงพลันเอ่ยเพิ่มราคาขึ้นอีกราว 100,000
โรงประมูลได้เงียบงันลงอีกครั้ง
ในเวลานี้ ต่อให้เป็นคนโง่งมเพียงใดก็รับรู้ว่าสำนักเจี่ยนจงต้องการสมบัติชิ้นนี้มากเพียงใด
เหล่าผู้ที่ต้องการครอบครองเริ่มลังเลเสียเป็นส่วนมาก
สี่แสนผลึกเริ่มต้นระดับต่ำเทียบเท่าได้กับผลึกเริ่มต้นจำลองจำนวนสี่สิบล้านผลึก ราคานี้นับว่าเป็นราคาสูงสุดของพิณตัวนี้ หากเพิ่มราคาขึ้นไปอีกก็นับว่าแปลกประหลาดแล้ว
“410,000!”
น้ำเสียงหยอกล้อดังขึ้นจากที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขห้า
สายตาของผู้คนต่างจ้องมองไปด้วยความสงสัย ผู้ใดกันที่กล้าท้าทายสำนักเจี่ยนจงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้?
ทว่าที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขห้านั้นอยู่ข้างๆ กับที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหก อำนาจของทั้งสองนั้น มิรู้ว่าผู้ใดนับว่าเหนือกว่า
แม้ว่ายิ่งตัวเลขน้อยเท่าใดจะหมายความว่าฐานะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นก็ตาม
“ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขห้าคือคนของสำนักวายุเมฆา!”
“มิน่าถึงกล้าตอบโต้กับสำนักเจี่ยนจง สำนักวายุเมฆาก็เป็นหนึ่งในสามยอดสำนัก มีชื่อเสียงเลื่องลือในทวีปเหนือเช่นกัน”
ทุกคนพลันเข้าใจใยทันที
สำนักวายุเมฆาเป็นหนึ่งในสามยอดสำนัก มีคำร่ำลือว่าความสัมพันธ์ของมันกับสำนักเจี่ยนจงไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
สำนักเจี่ยนจงกับราชวงศ์ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ทว่าความสัมพันธ์ของสำนักวายุเมฆากับลัทธิโลหะเลือดนั้นดีกว่านัก
“450,000!”
น้ำเสียงที่ดังมาจากสำนักเจี่ยนจงเริ่มปรากฏความโกรธเกรี้ยวขึ้นเจือจาง
“460,000!”
คนของสำนักวายุเมฆาได้เพิ่มราคาขึ้นอีก สีหน้าเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
“560,000!”
ไม่ว่าอย่างไร สำนักเจี่ยนจงก็จะต้องเป็นผู้ชนะการประมูลนี้ พวกเขาจึงเพิ่มราคาขึ้นอีกหนึ่งแสน ในฐานะของหนึ่งในสามยอดสำนัก ฐานะทางการเงินย่อมดีเยี่ยม
ในเวลาเดียวกัน
ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหก
“หึ หากสำนักวายุเมฆายังเพิ่มราคาขึ้นอีก พิณไผ่สวรรค์เก้าสำเนียงนี้ แม้ให้แก่พวกท่านไปมันจะมีประโยชน์อันใดมกัน?”
สตรีสง่างามผู้ครอบครองใบหน้างดงามเย็นชาเอ่ยเสียงเย็น นัยน์ตาส่องประกายเย็นเยียบ
“ฉินเซียนหนี่ต้องการเอ่ยว่า พิณไผ่สวรรค์เก้าสำเนียงนั้นหากตกไปอยู่ในมือของผู้ไร้สำเนียง อย่างมากก็เป็นเพียงแค่ของสะสมเท่านั้น”
ยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ที่อยู่ด้านข้างแย้มยิ้มบาง
ในครั้งนี้
สำนักวายุเมฆาไม่ได้เพิ่มราคาอีก ราวกับว่าเพียงต้องการหยอกล้อสำนักเจี่ยนจงเท่านั้น ทว่าก็ไม่กล้าล้ำเส้นมากไป
ในที่สุดพิณไผ่สวรรค์เก้าสำเนียงก็ขายออกไปในราคา 560,000
บนใบหน้าของจ้าวเฟิงปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ โดยปกติแล้ว ราคาของพิณไผ่สวรรค์เก้าสำเนียงนั้น หากเกิน 400,000 ก็นับว่าสูงแล้ว ทว่าการที่มันเกิน 500,000 นับว่าค่อนข้างแปลกประหลาด
“ฮี่ฮี่ ที่นี่ยังมีสมบัติของจอมโจรฉุ่ยเยว่ชิ้นที่สอง มงกุฎหงส์หยกทมิฬ”
ชายชราชุดสีขาวเรียบยกมือขึ้นด้วยรอยยิ้ม
สตรีงดงามในขั้นมนุษย์แท้นำมงกุฎหงส์ออกมา มันมีสีเขียวงดงามสะดุดตา ให้ความรู้สึกสง่างามอย่างไม่อาจอธิบายได้
“มงกุฎหงส์หยกทมิฬ!”
“นี่… มิใช่ว่านี่คือมงกุฎหงส์ของราชวงศ์ในอดีตหรือ ได้ยินว่าเป็นมรดกที่สืบทอดกันของราชินีมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว”
โรงประมูลพลันเกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นอีกครั้ง
มงกุฎหงส์หยกทมิฬ เป็นมงกุฎที่ราชินีสวมใส่โดยเฉพาะ
มงกุฎหงส์หยกทมิฬนี้เป็นสมบัติที่สืบทอดกันมาของราชวงศ์แห่งอาณาจักรนภานี้ มูลค่าของตัวมันนั้นแม้ต่ำกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณ ทว่าความเป็นมาของมันนั้นไม่ธรรมดานัก
ที่นั่งแขกผู้มีเกียตริหมายเลขสาม
“บ้าบอนัก ผู้ใดกันที่บังอาจเช่นนี้ กล้านำสมบัติของราชวงศ์ มงกุฎหงส์ มาประมูลขายอย่างโจ่งแจ้งในโรงประมูลของเมืองหลวงเช่นนี้”
“ฉินหวางเฟย ผู้น้อยแนะนำให้หาผู้ที่นำมงกุฎหงส์นี้มาขาย ไม่แน่เราอาจจะแกะรอยคนผู้นี้ ค้นพบตำแหน่งของสมบัติสายธารจันทราได้”
ในที่นั่งแขกผู้มีเกียตริหมายเลขสามมีคนมากกว่าสิบคน กลิ่นอายที่แพร่กระจายออกมาเกือบทั้งหมดเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
กลิ่นอายที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นได้เข้าสู่ระดับที่น่าพรั่นพรึง เมื่อเทียบกับขั้นนายเหนือแท้แล้วยังนับว่าเหนือกว่าครึ่งขั้น
“เรื่องมันมิได้ง่ายดายเช่นนั้น เบื้องหลังของโรงประมูลเชิงหลงน่าหวาดกลัวกว่าที่พวกเจ้าคิดนัก ต่อให้เป็นยามที่อาณาจักรนภาแห่งนี้รุ่งโรจน์ที่สุดก็ไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวโดยง่าย”
น้ำเสียงเย็นแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ท่านผู้อาวุโสไท่ชางพูดถูกแล้ว เรื่องเร่งด่วนยามนี้คือเราจะต้องประมูล ‘มงกุฎหงส์หยกทมิฬ’ มาให้ได้ หากมิอาจทำเช่นนั้น รอยด่างพร้อยของราชวงศ์ก็นับว่ายากที่จะลบเลือนแล้ว”
เหล่าผู้ที่อยู่ที่ที่นั่งแขกผู้มีเกียตริหมายเลขสามต่างลงความเห็นเหมือนกัน
ในเวลาเดียวกัน ที่นั่งแขกผู้มีเกียตริหมายเลขห้าสิบ
“ท่านอาจารย์ การประมูลสมบัติที่เป็นมรดกของราชวงศ์ในอาณาจักรนภาแห่งนี้จะไม่เป็นอันใดจริงๆ หรือ?”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างลังเล
“วางใจได้ โรงประมูลเชิงหลงเบื้องหลังไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่ราชวงศ์ของแคว้นนภาเท่านั้น ต่อให้เป็นระดับสิบยอดสำนักก็ไม่กล้าที่จะทำตามใจชอบ”
อาจารย์เฮยหยุนเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“มงกุฎหงส์หยกทมิฬ ราคาเริ่มต้นที่สองแสนผลึก การเพิ่มราคาทุกครั้งต้องไม่ต่ำกว่าห้าพันผลึกเริ่มต้นระดับต่ำ”
ชายชราชุดสีขาวเรียบกล่าวขึ้น
“300,000!”
เพียงสิ้นเสียง คนของราชวงศ์ที่ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขสามพลันเอ่ยเพิ่มราคาขึ้น 100,000 ในทันที
ทั่วทั้งโรงประมูลพลันเงียบเสียงลง
จะอย่างไร ราชวงศ์ก็คือผู้ปกครองของอาณาจักรนภา โดยเฉพาะหลังจากที่ฉินหวางเฟยเข้าร่วมกับราชวงศ์ ทำให้อำนาจการปกครองของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเหล่ายอดสำนักเสียอีก
ทันใดนั้น พลันไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเพิ่มราคา
จ้าวเฟิงอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เดิมเขาคิดไว้ว่ามงกุฎหงส์หยกทมิฬนี้จะสามารถขายได้ในราคาสูง
ทว่าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นปากเข้าขัดขวางราชวงศ์เลยแม้แต่คนเดียว
อย่าได้บอกข้าเชียวว่าอำนาจของราชวงศ์บัดนี้ได้เข้าสู่ช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด สามารถเอ่ยชี้เป็นตาย มิมีผู้ใดกล้าคัดค้านแล้ว?
“310,000”
น้ำเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขสี่
โรงประมูลพลันเกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้น ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขสี่นั้นมิใช่ผู้ใด หากแต่เป็นคนของลัทธิโลหะเลือดนั่นเอง
ในอาณาจักรนภายามนี้ อำนาจระหว่างราชวงศ์กับลัทธิโลหะเลือดที่ยังคงคานกันอยู่มิใช่ความลับแต่อย่างไร
“500,000!”
ฝ่ายราชวงศ์รีบเพิ่มราคาเกือบสองแสน เหล่าผู้คนที่เฝ้ามองการประมูลนี้ร่างสั่นสะส้ทานอย่างตื่นเต้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
อำนาจของแปดขั้วอำนาจแห่งอาณาจักรนภาแทบจะครอบงำอาณาจักรไปกว่าแปดส่วน
ราชวงศ์และลัทธิโลหะเลือดคานอำนาจกัน ทั้งสองล้วนนับเป็นยักษ์ใหญ่ ทว่าเหล่าสำนักตระกูลน้อยใหญ่ที่ยังคงรักษาความเป็นกลางต่างก็ยินดีต่อสถานการณ์ในปัจจุบันยิ่งนัก
“510,000”
น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นจากฝั่งลัทธิโลหะเลือด
จ้าวเฟิงรู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงนี้ มันเหมือนกับเสียงของชายหนุ่มเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว
“เป็นท่านรองจ้าวสำนัก! รองจ้าวสำนักแห่งลัทธิโลหะเลือด”
ในบรรดายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงบางคนที่อยู่ที่นี่เคยได้พบกับเถี่ยหมัวผู้เป็นรองจ้าวสำนัก
“710,000!”
ด้วยความร่ำรวยของราชวงศ์ พวกเขาพลันเพิ่มราคาขึ้นอีก 200,000
“720,000”
น้ำเสียงของรองจ้าวสำนักลัทธิโลหะเลือดดูไร้ซึ่งความใส่ใจ
“800,000!”
“810,000!”
ไม่ว่าฝ่ายราชวงศ์จะเพิ่มราคามากเท่าใด ลัทธิโลหะเลือดก็จะเพิ่มราคาขึ้นไปอีกหนึ่งหมื่นทันที
ราคาแปดแสนเป็นราคาสำหรับอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับต่ำชั้นยอดแล้ว
เมื่อมันเข้าสู่ระดับอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับกลาง มูลค่าของมันจะมากขึ้นไปอีก สำหรับอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับสูงนั้น ทั้งอาณาจักรนภามีอยู่ไม่มากนัก
ที่นั่งแขกผู้มีเกียรติหมายเลขสาม
ยอดฝีมือของฝ่ายราชวงศ์จำนวนมากแทบจะหมดความอดทนลง
“ท่านผู้อาวุโสไท่ชาง ฉินหวางเฟย เจ้าเถี่ยหมัวนั่นช่างไร้ยางอายยิ่งนัก จงใจทำลายแผนของพวกเรา”
“เริ่มลงมือก่อนเลยดีหรือไม่ ให้มันได้เห็นพลังอำนาจของพวกเรา”
ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้และขั้นผู้วิเศษแท้หลายคนพยายามข่มความโกรธเกรี้ยว
“อย่าทำอันใดผลีผลาม พลังของเถี่ยหมัวเทียบเท่าได้กับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หลังจากที่ได้ครอบครอง ‘วงแหวนทมิฬ’ ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากนัก ผู้มีพลังขั้นนายเหนือแท้ทั่วไป หากเผชิญหน้ากับเขามีโอกาสสิ้นชีพสูงนัก ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเราอยู่ที่โรงประมูลเชิงหลงเลย”
น้ำเสียงเย็นชาแหบแห้งดังขึ้น ทำให้ผู้คนต้องนิ่งลงอย่างไม่เต็มใจ
“1.2 ล้าน!”
“1.21 ล้าน!”
“2 ล้าน!”
ราคาสุดท้ายที่ดังขึ้นได้สร้างเสียงเซ็งแซ่ให้ดังขึ้นอีกครั้ว
ราคาสองล้านนั้นแทบจะเทียบเท่าได้กับอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับกลางบางชิ้นแล้ว ทว่าตัวของ ‘มงกุฎหงส์หยกทมิฬ’ นั้นราคามากสุดเพียงแสนกว่าผลึกเริ่มต้นระดับต่ำ ทว่าสิ่งที่สำคัญนั้นคือประวัติความเป็นมาของมัน
“เพียงแค่มงกุฎหงส์เก่าๆ ข้าจะยอมยกให้พวกท่านแล้วกัน”
ฝ่าลัทธิโลหะเลือดเมื่อเห็นสถานการณ์จึงยอมถอย
การประมูลเพิ่งเริ่มต้นเพียงไม่นาน ยามนี้ยังอาจเรียกได้ว่าเป็นเพียงการเรียกน้ำย่อยเท่านั้น หากทั้งสองฝ่ายต้องการจะยื้อแย่งกันอย่างจริงจัง การเพิ่มราคาขึ้นอีกสิบล้านผลึกเริ่มต้นระดับต่ำก็อาจเป็นไปได้
เมื่อเถี่ยหมัววางมือ คนของฝ่ายราชวงศ์ก็ถอนหายใจโล่งอกในที่สุด
สองล้านผลึกสามารถซื้อมงกุฎหงส์กลับมาได้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
“ฮ่าฮ่า สองล้านผลึกเริ่มต้นระดับต่ำ…”
จ้าวเฟิงหัวเราะยินดีออกมาอย่างช่วยไม่ได้
มงกุฎหงส์หยกทมิฬนั่น สำหรับเขาแล้วมันไม่มีประโยชน์อันใด
เดิมเขาคิดว่ามันจะขายได้หลายแสนผลึก มิคาดว่าจะสามารถขายได้ในราคาที่สูงเทียมฟ้าเพียงนี้
หลังจากการประมูลมงกุฎหงส์หยกทมิฬได้เสร็จสิ้นลง บรรยากาศงานประมูลก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น สินค้าประมูลอื่นๆ นั้นมีตั้งแต่ราคาหลายแสนจนถึงเป็นล้าน
“เหล่าแขกผู้มีเกียรติทุกท่านมีทั้งฐานะและวิสัยทัศน์ คงจะรู้ว่าสิ่งของล้ำค่าและอาวุธวิเศษจากทวีปบุปผาครามนั้น ทั้งมาตรฐานของวัสดุ วิธีการหลอม และการว่างค่ายกลล้วนทำได้ยากเย็นยิ่งนัก ดังนั้นแล้วสมบัติส่วนมากที่อยู่ในชั้นจิตวิญญาณระดับกลางขึ้นไปจึงไม่ได้มาจากทวีปบุปผาครามที่ห่างไกลนี้แต่เพียงอย่างเดียว”
ชายชราชุดสีขาวเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาพลันส่องประกายเล็กๆ
หากมิได้มาจากทวีปบุปผาครามที่ห่างไกลนี้ แล้วจะมาจากที่ใดกัน?
“สี่มหามรดกแห่งทวีปนี้เช่นมรดกความลับสวรรค์ มรดกเจ็ดดาบและอื่นๆ พวกมันเพียงมีตำแหน่งทางเข้าอยู่ภายในทวีปนี้เท่านั้น ที่ตั้งที่แท้จริงของพวกมันอยู่ที่ ‘ยู่ไว่’ ในความว่างเปล่า”
เมื่อฟังมาถึงยามนี้ ผู้คนจำนวนเพียงเล็กน้อยที่รู้สึกประหลาดใจ
ผู้ที่เข้าร่วมการประมูลของโรงประมูลเชิงหลงล้วนมาจากสถานที่ที่หลากหลาย ทั้งตำแหน่งและสายตาล้วนสูงส่ง
“งานประมูลครั้งนี้มีสมบัติจากสี่มหามรดกขึ้นมาบนเวทีนี้ชิ้นแล้วชิ้นเล่า ก่อนหน้าคือน้ำปิงสุ่ยซุ่ยหลิงแห่งมรดกเหมันต์เร้นลับ ทว่าครานี้คืออาวุธวิเศษจาก ‘มรดกจันทราชาด’ ”
เมื่อเอ่ยจบ ชายชราในชุดสีขาวเรียบก็โบกมือเล็กๆ
สาวงามขั้นผู้วิเศษแท้นำของบางอย่างออกมาอย่างรวดเร็ว
“นี่มัน…”
ยามเมื่อสายตาของจ้าวเฟิงเห็นของชิ้นนั้น สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนไปในทันที