Skip to content

King of Gods 319

King Of Gods

บทที่ 319 : เทียนหยุนจือ

โจรเถาชานเฟ่ยนั้นด้วยพลังความแข็งแกร่งแล้วอาจเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไป ทว่ากลับไร้ซึ่งความกล้า

ตัวเขาที่แขนทั้งสองข้างถูกตัดนั้นเป็นเช่นสวะ ในใจหมดสิ้นซึ่งความกล้า มีเพียงความคิดที่จะมีชีวิตรอดต่อไปแม้ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี

“โจรเถาชานเฟ่ย เจ้าได้คุกคามข้าสองครั้ง ข้าได้เอ่ยแล้วว่าข้าจะตัดแขนเจ้าและทำลายพลังฝึกตนของเจ้า”

สีหน้าของจ้าวเฟิงสงบนิ่ง สามปทุมส่องแสงสว่างเจิดจ้าไล่ล่าร่างของโจรเถาชานเฟ่ยไป

ความเร็วที่โจรเถาชานเฟ่ยได้รับจากการเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณนั้นเหนือกว่าระดับของผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้โดยสมบูรณ์ กระทั่งเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้บางคน

ระยะห่างระหว่างพวกจ้าวเฟิงทั้งสองกับโจรเถาชานเฟ่ยเริ่มมากขึ้นเล็กๆ

“น่าเสียดายนักที่ในมือของข้าไม่มีอาวุธระยะไกลที่ทรงพลัง”

จ้าวเฟิงเสียดายเล็กๆ

ความสามารถของคันศรหลัวซุยหากเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่มีพลังสูงถึงขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดเช่นโจรเถาชานเฟ่ย ยังนับว่าไม่เพียงพออยู่บ้าง

“ท่านหัวหน้าสาขา สำนักร้อยบุปผาพ่ายแพ้ยับเยิน โจรเถาชานเฟ่ยเสียแขนทั้งสองข้าง ย่อมไม่มีแรงคุกคามใดๆ หากยังฝืนตามต่อไปข้าเกรงว่า….”

เตี๋ยเย่เอ่ยเตือน

ในความคิดของนาง สามารถไล่ต้อนโจรเถาชานเฟ่ยจนอยู่ในสถานการณ์นี้ได้นับว่าเป็นความสำเร็จที่งดงามแล้ว

จ้าวเฟิงเข้าใจเหตุผลของเตี๋ยเย่ ที่โจรเถาชานเฟ่ยนั้นไม่ได้โจมตีทำลายล้างผู้อื่นมั่วซั่วเป็นเพราะว่าเขายังมีโอกาสรอด

หากโอกาสรอดนี้ไม่มีแล้ว โจรเถาชานเฟ่ยคงเลือกเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณอย่างหมดหนทาง และยินดีเลือกที่จะตายตกไปพร้อมกัน

“ปล่อยเขาไปก่อน”

มุมปากของจ้าวเฟิงปรากฏรอยยิ้มยินดี

ดวงตาเทพเจ้าของเขาสามารถมองได้ไกลกว่าพันลี้ หากสามารถรักษาอีกฝ่ายให้อยู่ในระยะนี้ได้ย่อมรับรู้ทุกการเคลื่อนไหว เพียงแค่รอให้ปราณแท้ของโจรเถาชานเฟ่ยหมดสิ้น ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเท่านั้น

ไม่ช้า โจรเถาชานเฟ่ยก็หายไปจากระยะสายตา

ทว่าจ้าวเฟิงเองก็ยังสามารถมุ่งหน้าไปได้โดยไม่รีบร้อน

“เป็นเช่นนี้”

เตี๋ยเย่รู้สึกตื่นเต้นในใจ สัมผัสได้ว่าดวงตาซ้ายที่เย็นเยียบแหลมคมนั้นเป็นสายตาที่สามารถทะลวงผ่านจิตใจผู้คน ทำให้บรรยากาศเย็นเยียบ

สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนั้นไม่อาจใช้หลักเหตุผลปกติมาวัดได้ ความสามารถในการแกะรอยอาจนับได้ว่าเหนือกว่าผู้อื่น

โจรเถาชานเฟ่ยที่หลบหนีไป จิตใจหนาวเยือก รับรู้ได้ถึงสายตาคุ้นเคยจากมุมมืด เฝ้ามองตัวเขาผ่านท้องฟ้าสีคราม

หัวใจของชายหนุ่มเต้นเร็วขึ้น โลหิตจับตัวแข็ง แรงกดดันมหาศาลถาโถมจากเหนือศีรษะ สตินึกคิดทั้งหมดแทบจะพังทลายลง

เขารีบสะบัดศีรษะขึ้นไปมอง ‘เนตรสวรรค์’ ได้จับจ้องตัวเขาท่ามกลางหมู่เมฆอย่างไร้ความรู้สึก

ฟุบ!

เนตรบุปผาของเขาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังจิต

หากเข้าใจไม่ผิด สายเลือดดวงตาของอีกฝ่ายนั้นนับว่าน่าพรั่นพรึงจนเกินไป มีพลังปราณแห่งท้องนภา

“หืม? เมื่อครู่นั่นมันอันใดกัน?”

จ้าวเฟิงตกใจ เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าที่ใช้ออกเมื่อครู่ได้จับจ้องไปยังโจรเถาชานเฟ่ยและสร้างแรงกดดันให้แก่จิตวิญญาณ

ในบางช่วง เขารู้สึกว่าสติของเขาได้หลุดลอยออกจากร่าง ขึ้นไปบนท้องนภา เฝ้ามองผู้คนธรรมดาทั่วไป

ในยามนั้น เขานั้นราวกับยืนเคียงดวงอาทิตย์ สายตาเช่นนกมองเห็นสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง เป็นเช่นผู้ปกครองแห่งยุคสมัย

“หากเป็นเพียงการเข้าใจผิด เหตุใดแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของข้าจึงถูกใช้ไปถึงหนึ่งในสิบส่วนในเสี้ยววินาที?”

จ้าวเฟิงชะงัก

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วน้ำชาเดือด ปราณจิตวิญญาณของโจรเถาชานเฟ่ยก็หยุดเผาไหม้ ร่างล้มลงบนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน

จ้าวเฟิงรักษาระยะห่างหนึ่งร้อยลี้กับเขา โจรเถาชานเฟ่ยนั้นไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือประสาทสัมผัสจิตวิญญาณก็ไม่อาจที่จะแผ่ขยายออกไปได้ไกลเพียงนั้น

ฟิ้ว ฟิ้วววว

ในเทือกเขาได้ปรากฏเสียงสองเสียงขึ้นจากความว่างเปล่า

หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีได้ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของโจรเถาชานเฟ่ย

“เมื่อใดกันที่พวกมันมาอยู่ด้านหน้าข้า? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

โจรเถาชานเฟ่ยจิตใจกระวนกระวายลนลาน

การเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณของเขานั้นใช้เพื่อหลบหนีอย่างสุดตัว จะเป็นไปได้อย่างไรที่ถูกตามทันอย่างหมดจดเช่นนี้?

เมื่อเพ่งสายตามองดีๆ โจรเถาชานเฟ่ยก็ถอนหายใจออกมาเล็กๆ

หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่มาใหม่นั้นไม่ใช่จ้าวเฟิงและเตี๋ยเย่

ชายหนุ่มนั้นสวมใส่ชุดต่อสู้สีเขียวคราม ใบหน้าใสกระจ่างราวกับแกะสลักออกมาจากหยก ความงดงามเหนือธรรมดา บนไหล่ปรากฏกระบี่โบราณสีเขียว

ด้านข้างชายหนุ่มคือเด็กสาวชุดแดง คิ้วโก่ง ริมฝีปากสีชาด ใบหน้างดงาม

จ้าวเฟิงที่อยู่ห่างออกไปก็เห็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่มาถึงนี้ผ่านดวงตาเทพเจ้า

ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดต่อสู้พลังฝึกตนสูงถึงขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ อายุราวๆ 30 ปี

“ชายหนุ่มผู้นี้ อย่าได้บอกว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลหยุนหลัก ‘เทียนหยุนจือ’ ที่มีทั้งสายเลือดตระกูลเทียนและตระกูลหยุนอยู่ในร่าง ในอาณาจักรนับว่าเป็นดวงดาวอันรุ่งโรจน์อันดับสาม…”

สายตาของโจรเถาชานเฟ่ยกวาดผ่านร่างของชายหนุ่มในชุดต่อสู้ จิตใจหนาวเยือก พลันขยับกายไปด้านข้าง

หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนั่งอยู่บนปักษา เผชิญหน้ากับโจรเถาชานเฟ่ย

“ศิษย์พี่ คนผู้นี้ดูน่าสงสารนัก แขนทั้งสองถูกตัดขาด มีคนผู้ใดไล่ล่าเขาอยู่กัน?”

ดรุณีชุดแดงไม่อาจทานทนจนต้องเอ่ยออกมา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของโจรเถาชานเฟ่ยก็มาจุกอยู่ที่ลำคอ

ชายหนุ่มในชุดต่อสู้มองไปยังโจรเถาชานเฟ่ยคราหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้

“เดี๋ยว…”

น้ำเสียงใสกระจ่างไพเราะพลันดังขึ้น

ร่างของโจรเถาชานเฟ่ยแข็งค้าง แย้มรอยยิ้มไร้ยางอาย “ทั้งสองมีสิ่งใดจะเอ่ยกับข้าหรือ?”

ชายหนุ่มในชุดต่อสู้บินกลับมา สำรวจโจรเถาชานเฟ่ยอย่างละเอียดด้วยสายตาเย็นชา

เขามักจะรู้สึกว่าโจรผู้นี้ดูคุ้นเคยยิ่งนัก

นอกจากนั้นที่เจอกันเมื่อครู่ อีกฝ่ายก็ดูจะมีท่าทีหวาดกลัวขึ้นอย่างชัดเจน

ชายหนุ่มชุดต่อสู้คิ้วขมวดแน่น “เจ้าใช่คนของสำนักร้อยบุปผาหรือไม่?”

“ข้าจะเป็นคนของสำนักร้อยบุปผาที่ชั่วร้ายได้อย่างไร ข้าเป็นผู้อาวุโสตระกูลหยุนรอง ได้ต่อสู้กับคนจากลัทธิโลหะเลือดสาขาและพ่ายแพ้อย่างยับเยินจึงเป็นเช่นนี้ หากทั้งสองท่านสามารถช่วยต้านทานศัตรูที่ไล่ล่ามา คนแซ่หยุนผู้นี้ย่อมรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก”

โจรเถาชานเฟ่ยเอ่ยอย่างเยือกเย็น พลันมีความคิดดีๆ เอ่ยหลอกลวงขึ้นทันใด

หากจดจำไม่ผิด ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหยุนและตระกูลเทียนนั้นดีนัก

โดยเฉพาะในรุ่นนี้ที่มีดาวรุ่งโรจน์ ‘เทียนหยุนจือ’ ที่เป็นสายเลือดของสองยอดฝีมือแห่งตระกูลเทียนและตระกูลหยุน ยอดอัจฉริยะที่ถือกำเนิดขึ้น

ชายหนุ่มในชุดต่อสู้ผู้นี้คือเทียนหยุนจือ การที่โจรเถาชานเฟ่ยเอ่ยไปเช่นนั้นย่อมมีเหตุผล

“อันใดนะ? ลัทธิโลหะเลือดสาขาและตระกูลหยุนแห่งพันธาราก่อสงคราม? เรากำลังจะไปตระกูลหยุนรอง…”

ดรุณีชุดแดงใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ดูเหมือนว่าทุกท่านจะเป็นสหาย พวกท่านทั้งสองจะสามารถช่วยเหลือข้าต่อต้านศัตรูที่แข็งแกร่งนั่นได้หรือไม่”

โจรเถาชานเฟ่ยรูปลักษณ์น่าเวทนา ใบหน้าเต็มไปด้วยอ้อนวอน

“พี่เทียนจะช่วยเขาหรือไม่?”

ดรุณีชุดแดงจิตใจสั่นไหว เอ่ยขอขึ้น

ทว่าชายหนุ่มในชุดต่อสู้ ‘เทียนหยุนจือ’ กลับมีใบหน้าเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้าโจร ตายเสียเถอะ”

น้ำเสียงกระด้างโกรธเกรี้ยวดังขึ้น สั่นสะท้านไปถึงชั้นเมฆ

จากนั้นกระบี่โบราณสีเขียวก็ได้ถูกชักออกจากฝัก กวาดสร้างประกายกระบี่สีรุ้งรุนแรงขึ้นในความว่างเปล่า จิตแห่งกระบี่ที่มองไม่เห็นได้ครอบคลุมร่างของโจรเถาชานเฟ่ย

“จิตแห่งกระบี่ เคล็ดกระบี่วาดเมฆา… ไม่…”

ใบหน้าของโจรเถาชานเฟ่ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความตั้งใจจะดิ้นรนในใจถูกทำลายลงด้วยจิตแห่งกระบี่ที่มองไม่เห็น ไม่แม้แต่จะมีความคิดต่อต้าน

หากในเวลาที่สภาพร่างของเขาสมบูรณ์และมีพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาในมือ ยังสามารถต่อต้านได้หนึ่งถึงสองกระบวนท่า

ทว่าเมื่อคิดว่าครานี้เขาไร้ซึ่งโอกาสในการตอบโต้

ฉัวะ

แสงคมกระบี่สีฟ้าราวกับรุ้งที่วาดผ่านท้องนภา ตัดผ่านชั้นเมฆา

“จิตแห่งกระบี่? เมล็ดพันธุ์จิตแห่งกระบี่ แทบจะก่อกำเนิดแล้ว”

ห่างออกไปร้อยลี้ จ้าวเฟิงยืนอยู่บนสามปทุม สูดลมหายใจลึกเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้

จิตแห่งดาบ จิตแห่งกระบี่ล้วนเป็นเจตจำนงที่มองไม่เห็น ฝ่ายแรกมาจากผู้ใช้ดาบ ฝ่ายหลังมาจากผู้ใช้กระบี่

ในวันงานสิบสามสำนักพันธมิตร ชางหยูเยว่ได้ก่อกำเนิดจิตแห่งดาบขึ้น แทบจะใช้ดาบเดียวเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมด กระทั่งแทบจะเอาชนะจ้าวเฟิงได้

ฉัวะ

ร่างของโจรเถาชานเฟ่ยกลับกลายเป็นสองส่วนจากหนึ่งคมกระบี่

“หึ โจรเถาชานเฟ่ยที่แสนเลื่องชื่อ สามปีก่อนเจ้าได้ดูถูกพี่สาวของข้าในตระกูลหยุนหลัก แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นเจ้ากับตา ทว่าภาพเหมือนของเจ้าได้ถูกกระจายไปทั่วทั้งเมืองเทียนหลัวตั้งแต่ยามนั้นแล้ว”

เทียนหยุนจือเค้นเสียงเย็น

“เขา… เขาคือโจรเถาชานเฟ่ย ศิษย์ของจอมโจรฉุ่ยเยว่ที่เลื่องชื่อผู้นั้นหรือ?”

ดรุณีชุดแดงสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ไม่แปลกใจเลยที่เทียนหยุนจือไม่แม้แต่จะเอ่ยคำ ชักกระบี่ฟาดฟันคร่าชีวิตอีกฝ่าย

สำนักร้อยบุปผาเป็นสำนักมาร วิธีการของศิษย์สำนักนี้ล้วนน่าหวาดกลัว ลอบโจมตียามคนเผลอไผล ศิษย์บางคนหากในมือมีกำยานพิษที่แข็งแกร่ง กระทั่งสามารถวางกับดักกับผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้

เมื่อศิษย์ยังเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงโจรเถาชานเฟ่ยและคนระดับหัวหน้าคนอื่นๆ เลย

ชั่วครู่ต่อมา

จ้าวเฟิงยืนอยู่บนสามปทุม มองไปยังเทียนหยุนจือและดรุณีชุดแดงที่มาถึง

“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ฆ่าโจรผู้นี้”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มประสานมือ

เขาไม่รู้จักพวกเทียนหยุนจือทั้งสอง ทว่าศัตรูของศัตรูย่อมเป็นมิตร

นอกจากนั้น ความแข็งแกร่งของเทียนหยุนจือที่ก่อกำเนิดเมล็ดพันธุ์จิตแห่งกระบี่ยังยอดเยี่ยมนัก ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกชื่นชม

“สามปทุม? เจ้าคือใคร”

สีหน้าของเทียนหยุนจือเย็นชา สำรวจพวกจ้าวเฟิงทั้งสองอย่างระมัดระวัง

โดยเฉพาะจ้าวเฟิงที่ครอบครองสามปทุม ทั้งในมือยังมีพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา ทำให้เทียนหยุนจือรู้สึกสงสัย

“เทียนหยุนจืออย่าได้โอหังนัก นี่คือหัวหน้าสาขาคนใหม่ของลัทธิโลหะเลือดสาขา ก่อนหน้าหากไม่ได้การโจมตีของพวกเรา เจ้าก็อย่าได้คิดว่าจะสามารถฆ่าไอ้แมวขโมยนั่นได้ง่ายๆ”

เตี๋ยเย่เค้นเสียงเย็น

เทียนหยุนจือคือหนึ่งในสิบดาวอันรุ่งโรจน์ของอาณาจักร อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลเทียนหลัก

“หัวหน้าสาขา?”

เทียนหยุนจิตใจหนาวเยือก อำนาจที่น่าพรั่นพรึงของลัทธิโลหะเลือดนั้นเขาย่อมรู้ดี

ทว่าหัวหน้าสาขาลัทธิโลหะเลือดที่เยาว์วัยเช่นนี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เคยเห็น

“อย่าได้บอกข้าว่า… เจ้าคือจ้าวเฟิงที่หนีการแต่งงานจากเมืองหงหู เด็กโชคร้ายที่จับตัวหวางเฟยเป็นตัวประกันนั่น”

ดวงตาราบเรียบของเทียนหยุนจือส่องประกายวูบ จิตต่อสู้พุ่งพล่าน

ในยามนี้

ไม่ว่าจะเป็นเทียนหยุนจือหรือว่าจ้าวเฟิงก็นับเป็นอัจฉริยะเลื่องชื่อที่รุ่งโรจน์ของอาณาจักร

เทียนหยุนจือนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงคุณสมบัติ เป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะดารารุ่งโรจน์

จ้าวเฟิงนั้นไม่ติดหนึ่งในสิบ ทว่าเรื่องราวน่าอัศจรรย์ของเขาได้สร้างความวุ่นวายขึ้นในอาณาจักร

การหลบหนีงานแต่งงานจากเมืองหงหู จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน หัวหน้าสาขาที่เด็กที่สุดของลัทธิโลหะเลือด ความสำเร็จทั้งหมดนี่มีหรือจะทำให้อัจฉริยะผู้อื่นไม่รู้สึกด้อยค่า

“หัวหน้าสาขาโปรดระวัง คนผู้นี้คือ ‘เทียนหยุนจือ’ อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลหยุนหลัก ในร่างมีพรสวรรค์สายเลือดของตระกูลเทียนและตระกูลหยุน ก่อกำเนิดเมล็ดพันธุ์จิตแห่งกระบี่ พลังต่อสู้เหนือกว่าคนในรุ่นเดียวกัน”

เตี๋ยเย่ลอบส่งเสียงผ่านจิต

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ หลังจากทักทายพวกเทียนหยุนจือทั้งสองแล้วจึงหมุนตัวกลับไปยังสาขาอย่างเร่งรีบ

สถานการณ์ของสาขาในยามนี้ยังต้องการหัวหน้าสาขาไปสร้างความมั่นคง

“พี่เทียน ชัดเจนว่าท่านต้องการท้าเขาประลอง เหตุใดจึงล้มเลิกเสียเล่า อย่าได้บอกข้านะว่าท่านกลัวเขา…”

ดรุณีชุดแดงหัวเราะคิกคัก

“กลัวเขา? ในรุ่นนี้มีผู้ใดบ้างที่เทียนหยุนจือผู้นี้หวาดกลัว? ทว่าพลังสายเลือดและดวงตาของเขาได้ทำให้พลังสายเลือดของข้าปรากฏความกดดันขึ้น ในเมื่อเขาเร่งรีบมากนัก คราหน้ามีโอกาสจึงค่อยประลองชี้แนะกัน”

เทียนหยุนจือเอ่ยอย่างเรียบเฉย

“ท่านมั่นใจหรือว่าครั้งหน้าจะมีโอกาส อีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าสาขา จำเป็นต้องดูแลเรื่องต่างๆ มากมาย”

ดรุณีชุดแดงราวกับชมชอบในการเถียงอีกฝ่ายมากนัก

“ยอดอัจฉริยะเช่นนั้นที่สามารถทำให้สายเลือดของข้าปรากฏความกดดันขึ้นได้ ลัทธิโลหะเลือดย่อมส่งเขาให้เข้าร่วมใน ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ ทั้งยังมีซินอู๋เหิงแห่งสำนักว่านหยวนผู้นั้น มิคาดหนึ่งปีก่อนใช้เพียงหนึ่งมือก็สามารถเอาชนะข้าได้ ทว่าต้องขอบคุณเขาที่กระตุ้นความสามารถของจิตแห่งกระบี่ของข้า ชัยชนะเกียรติยศทั้งหมดจะปรากฏขึ้นที่งานชุมนุมเซียนมังกร”

“ใช่แล้ว ซินอู๋เหิงผู้นั้นได้นับเป็นดาราแห่งปาฏิหาริย์ของทวีปเหนือแล้ว หกเดือนก่อนได้ประลองกับโม่เทียนอี หัวหน้าศิษย์ของสำนักเทียนหยวน พ่ายแพ้ไปอย่างเฉียดฉิวเท่านั้น โม่เทียนอีในงานชุมนุมเซียนมังกรคราก่อนนับว่าติดหนึ่งในสิบของอัจฉริยะเซียนมังกร”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!