บทที่ 326 : การคัดเลือกรายชื่อล่วงหน้า
อาณาจักรนภา แปดขั้วอำนาจ แต่ล่ะฝ่ายสามารถเรียกได้ว่าเป็นแคว้นใหญ่แคว้นหนึ่ง หรือกระทั่งแข็งแกร่งกว่า รวมทั้งในอาณาจักรยังมีกลุ่มอำนาจเล็กใหญ่อื่นๆ อีก ตระกูลที่แข็งแกร่งเช่นตระกูลหลิวแห่งหงหูเอง ความแข็งแกร่งนับได้ว่าใกล้เคียงแคว้นใหญ่
ทว่า
ดินแดนที่กว้างใหญ่เพียงนั้น กลับมีตำแหน่งให้เข้าร่วมงานชุมนุมมังกรเพียง 10 ตำแหน่ง
เส้นตายที่รองจ้าวลัทธิกำหนดให้คือหนึ่งเดือน
จ้าวเฟิงเองก็กำหนดเวลาไว้แล้วเช่นกัน
สำหรับการแย่งชิงตำแหน่งนั้นจ้าวเฟิงไม่กังวล ความจริงแล้วเด็กหนุ่มกำลังเตรียมตัวเข้าร่วม ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ อยู่
อัจฉริยะที่เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรล้วนเป็นบุตรหลานที่ถูกเลือกจากสวรรค์ของทวีป มีสายเลือดที่พิเศษหลากหลาย เคล็ดวิชาที่ทรงพลัง และความสามารถแปลกประหลาด
หากพูดในยามนี้ จ้าวเฟิงเชี่ยวชาญในด้านเคล็ดวิชาพลังจิตเหนือผู้ใด กระบวนท่าเคลื่อนไหวเองก็ยอดเยี่ยม ไม่หวาดกลัวการต่อสู้ระยะประชิด
การต่อสู้ระยะประชิดมีพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาของตนก็เพียงพอแล้ว
การป้องกันและสนับสนุนของสามปทุมก็ยอดเยี่ยม
บัดนี้เขาขาดเพียงอาวุธระยะไกลที่ทรงพลัง
ตั้งแต่ยามที่หลอมรวมเข้ากับดวงตาเทพเจ้านี้ จ้าวเฟิงก็ได้ให้ความใส่ใจกับอาวุธระยะไกลที่สามารถแสดงความพิเศษของดวงตาเทพเจ้าได้เป็นอย่างมาก
นอกจากนั้น ในการต่อสู้ชี้ชะตานั้น สภาพแวดล้อมหลากหลายซับซ้อน อาวุธระยะไกลที่ทรงพลังย่อมสามารถส่งผลได้มาก
หลังจากครึ่งเดือน
อาจารย์เถี่ยกานได้เร่งรีบมาถึงสาขาพันธาราในที่สุด ชายชราออกมาแทบจะทันทีที่เขาได้รับจดหมายของจ้าวเฟิง
“ผลึกอู่หางหยวน… ผลึกอู่หางรุ่ย… เหล็กเทียนไว่หยุน… ผลึกเสวี๋ยนปิงซุ่ย…”
อาจารย์เถี่ยกานจัดระเบียบวัสดุล้ำค่าของจ้าวเฟิง ดวงตาส่องประกาย
ตามความคิดของจ้าวเฟิงนั้นคือการหลอมธนูและลูกดอกขึ้นใหม่ หรือพัฒนาลูกศรและคันศรหลัวซุยตรงๆ
อาจารย์เถี่ยกานสัมผัสคุณภาพของวัสดุของคันศรหลัวซุย โดยเฉพาะตราบัวหิมะหม่นแสง รู้สึกเสียดายเล็กๆ “น่าเสียดายที่พลังน้ำแข็งของ ‘ตราวิญญาณเหมันต์’ นี่สำหรับระดับของเจ้าในยามนี้นับว่าไม่เพียงพออยู่บ้าง นอกจากนั้น คันศรและลูกศรหลัวซุยยังเป็นเพียงอาวุธชั้นมนุษย์ ยามนี้นับว่าความสามารถของมันได้ถูกรีดเค้นออกมาจนหมดแล้ว”
จ้าวเฟิงรู้สึกเสียดายขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงที่ต้องทิ้งคันศรหลัวซุยไป
แน่นอนว่าผลึกอู่หางหยวนและผลึกอู่หางรุ่ย รวมกันแล้วสามารถกระทั่งพัฒนาอาวุธวิเศษชั้นจิตวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงขั้นมนุษย์เลย
ทว่าการทำเช่นนั้นก็นับว่าเสียเปล่ามิน้อย
อาจารย์เถี่ยกานเข้าใจว่าจ้าวเฟิงและคันศรหลัวซุยอยู่ด้วยกันมานานหลายปี มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อมัน
เขาครุ่นคิดเล็กๆ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมา “คันศรหลัวซุยนี่สามารถแยกชิ้นส่วนและสร้างคันศรกับลูกศรหลัวซุยขึ้นใหม่ได้ ตาแก่ผู้นี้มั่นใจว่าหากเทียบกับลักษณะและคุณภาพของผู้สร้างเดิมของมัน ข้าสามารถสร้างให้มันเป็นของชั้นยอดได้”
จ้าวเฟิงย่อมพึงพอใจ หากเป็นเช่นนี้ย่อมสามารถสร้างความพึงพอใจให้ได้ทั้งสองฝ่าย
คันศรหลัวซุยที่ถูกแยกชิ้นส่วนนั้นย่อมไม่ใช่คันศรเดิม ทว่าจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงของเดิม และเมื่อพัฒนาแล้วกระทั่งเหนือกว่าของเดิม
ที่สำคัญไปกว่านั้น จ้าวเฟิงยังไม่ต้องทำความคุ้นเคยใหม่กับอาวุธระยะไกลที่ไม่เคยจับต้องมาก่อน
จากนั้น จ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกานจึงเริ่มประเมินวัสดุรวมทั้งสิ่งที่ต้องใช้จำนวนมาก
นอกจากผลึกอู่หางหยวน ผลึกอู่หางลุ่ยและวัสดุชั้นยอดอื่นๆ จ้าวเฟิงยังใช้ผลึกเริ่มต้นหลายล้านผลึกไปกับวัสดุอื่นๆ พยายามอย่างหนักที่จะสร้างคันศรหลัวซุยที่สมบูรณ์แบบที่สุดขึ้น
“ฮี่ฮี่ เงินทุนของเจ้าในยามนี้มากนัก ราคาของที่ใช้สร้างมันนั้นเกินกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับกลางทั่วไปแล้ว”
อาจารย์เถี่ยกานหลอมวัสดุอย่างพึงพอใจ วัสดุทั้งหมดสามารถสร้างอาวุธขั้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กระทั่งค่อนข้างมากมายเกินความจำเป็น
หน้าที่การสร้างนั้น จ้าวเฟิงมอบให้กับอาจารย์เถี่ยกานเป็นผู้ดำเนินการ
เขาต้องรีบไปยังกองบัญชาการ เข้าร่วมในการคัดเลือกตำแหน่งงานชุมนุมเซียนมังกร
“สบายใจเถอะ หลังจากครึ่งเดือน ข้าจะส่งธนูระยะไกลที่สมบูรณ์แบบให้กับเจ้า”
อาจารย์เถี่ยกานเอ่ยยืนยัน
จ้าวเฟิงจากไปได้อย่างสบายใจ ควบคุมสามปทุมมุ่งตรงไปยังทิศทางของเมืองหลวงพร้อมกับเตี๋ยเย่
ด้วยพลังฝึกตนในยามนี้ของจ้าวเฟิง ปราณจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ความสามารถในการบินของสามปทุมสามารถเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้
ไม่ถึงสิบวัน
จ้าวเฟิงกลับไปยังกองบัญชาการลัทธิโลหะเลือด
ตำแหน่งของกองบัญชาการนั้นไม่ไกลจากเมืองหลวง
เพียงกลับถึงกองบัญชาการ จ้าวเฟิงก็ได้รับคำเรียกเข้าพบจากรองจ้าวลัทธิในทันที
ไม่เพียงแค่เขา ทว่ายังมีเตี๋ยเย่ด้วย
โถงหลักโลหะเลือด
จ้าวเฟิงและเตี๋ยเย่เดินเข้าไป ในโถงหลักมีคนระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดจำนวนมาก รวมทั้งผู้ดูแล ผู้อาวุโส และหัวหน้าสาขา
นอกจากนั้นยังมีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่ยืนอยู่ใจกลางโถงหลัก ใบหน้าปรากฏความเคารพนอบน้อม
“หัวหน้าสาขาจ้าว!”
เมื่อจ้าวเฟิงเข้าไปในโถงหลักก็ได้ยินเสียงใสกระจ่างดังกังวานไปทั่วทั้งโถงหลัก
ระดับหัวหน้าสาขานั้นนับเป็นบุคคลระดับสูงของลัทธิโลหะเลือด ส่วนมากจะอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้
ดังนั้นแล้ว เมื่อจ้าวเฟิงมาถึงจึงได้รับที่นั่งอย่างรวดเร็ว
ฝั่งที่เด็กหนุ่มนั่งนั้นมีหัวหน้าสาขาและผู้อาวุโสจำนวนมากอยู่ ทว่าพวกเขาก็ล้วนเอ่ยทักทายจ้าวเฟิงก่อน
หัวหน้าสาขาที่เยาว์วัยที่สุดของลัทธิโลหะเลือดได้ทำให้จ้าวเฟิงกลายเป็นจุดสนใจ
ในเวลาเดียวกัน
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่ยืนอยู่กลางโถงหลัก สายตาที่จ้องมองไปยังจ้าวเฟิงปรากฏความริษยา ปฏิเสธที่ยอมรับอยู่ส่วนหนึ่ง
เตี๋ยเย่เองก็ยืนอยู่ข้างหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีทั้งสอง
จ้าวเฟิงคาดเดาว่าอาจมีเรื่องบางอย่าง
“เจียงซานเฟิง ตงเซว่ และเตี๋ยเย่ คนทั้งสามนี้คืออัจฉริยะแนวหน้าที่ผ่านการฝึกฝนของลัทธิโลหะเลือด และเจียงซานเฟิงก็นับเป็นหนึ่งในสิบดาราของคนรุ่นใหม่แห่งอาณาจักร”
ไม่นานจ้าวเฟิงก็ได้รับการแนะนำ
เจียงซานเฟิงสวมชุดต่อสู้ อายุราวๆ 20-30 ปี ท่าทีเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ดวงตาทั้งสองส่องประกายเจิดจ้า สร้างความรู้สึกเร่าร้อนให้ผู้จ้องมอง
พลังฝึกตนของคนผู้นี้สูงถึงขั้นมนุษย์แท้ระดับสูง ทั้งยังเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของคนรุ่นใหม่ในลัทธิโลหะเลือด
ตงเซว่คือเด็กสาวร่างบาง ผิวขาวราวหิมะ อายุราวๆ 20 ปี มีพลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ หากไปอยู่ที่สิบสามแคว้นเมฆานับว่ายากจะจินตนาการได้
คนสุดท้ายคือเตี๋ยเย่ที่จ้าวเฟิงค่อนข้างคุ้นเคย
“เจียนซานเฟิงเพิ่งจะออกมา กลิ่นอายของเขาราวกับเติบโตขึ้นมากนัก ‘คัมภีร์เพลิงอัสดง’ ของเขาอาจจะฝึกจนเข้าสู่ระดับหกแล้ว ในลัทธินี้คงจะปรากฏยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ขึ้นอีกคนในระยะเวลาสำคัญนี้เป็นแน่”
“เจียนซานเฟิงเมื่อสิบปีก่อนได้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร ได้ติดหนึ่งในสามร้อยอันดับแรก ไม่อาจเป็นหนึ่งใน ‘อัจฉริยะมังกร’ ได้ บัดนี้พลังฝึกตนและระดับวิชาของเขาเพิ่มขึ้น จะติดหนึ่งในร้อยความหวังนับว่าไม่น้อย”
คนระดับสูงในโถงหลักลัทธิโลหะเลือดเอ่ยพูดคุยกัน
ในยามนี้ รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดได้เอ่ยปากขึ้น “ครานี้ ลัทธิโลหะเลือดของข้าจะส่งหัวหน้าสาขาจ้าว เจียนซานเฟิง เตี๋ยเย่ และตงเซว่ไปเข้าร่วมในงานคัดเลือกตำแหน่งงานชุมนุมเซียนมังกร ทุกท่านมีข้อคัดค้านอันใดหรือไม่?”
เหล่าระดับสูงที่อยู่ในที่แห่งนั้นต่างผงกศีรษะ ไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด
อัจฉริยะทั้งสี่นี้นับเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของลัทธิโลหะเลือดจริงๆ คนในรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ พลังฝึกตนยังไม่บรรลุถึงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
โดยเฉพาะเจียนซานเฟิงและจ้าวเฟิงที่โดดเด่นในรุ่นนี้นัก
“รายชื่อผู้เข้าร่วมแย่งชิงตำแหน่งได้ถูกตัดสินแล้ว ทว่าลัทธิโลหะเลือดของข้าในแต่ล่ะครั้งจะมี ‘การคัดลือกรายชื่อล่วงหน้า’ ก่อน”
สตรีผมขาวผู้อาวุโสคุมกฎเผยรอยยิ้มบาง
สิ่งที่เรียกว่างานคัดเลือกตำแหน่งนั้น อย่างแรกคือการคัดเลือกผู้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรไว้ก่อนชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องผ่านการแข่งขันวุ่นวายมากมายนัก
ควรจะรู้ว่าทั่วทั้งอาณาจักรนภามีเพียงสิบตำแหน่งเท่านั้น
ทว่าใต้แปดขั้วอำนาจมีกลุ่มอำนาจเล็กใหญ่จำนวนมาก จำนวนคนมากกว่าสิบสามแคว้นเมฆาอย่างน้อยร้อยเท่า
กลุ่มอำนาจจำนวนมากเพียงนั้น อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นเพื่อแข่งขันแย่งชิงสิบตำแหน่ง มันเป็นการแข่งขันที่รุนแรงเพียงใดกัน?
ดังนั้นแล้ว สิบตำแหน่งของอาณาจักรนภาจึงต้องผ่านการแข่งขันและคัดเลือกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่เพียงแค่อาณาจักรนภา ทว่าอาณาจักรและแคว้นใหญ่อื่นๆ กระทั่งระดับของสิบยอดสำนัก เหล่าอัจฉริยะยอดฝีมือทั้งหมดต้องผ่านการแข่งขันที่รุนแรงอย่างมาก
ในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียง
ในทวีปอันกว้างใหญ่ ผู้คนต่างแข่งขันกันเพื่อตำแหน่งจำนวนน้อยนิด
เพื่อที่จะให้มันยุติธรรม ขั้วอำนาจทั้งหลายก็ต้องเข้าร่วมการแข่งขัน
ทว่าผู้ที่ได้รับการ ‘คัดเลือกรายชื่อล่วงหน้า’ นั้นไม่จำเป็นต้องผ่านการแข่งขันในรอบคัดเลือก สามารถเข้าร่วมในงานชุนนุมเซียนมังกรได้โดยตรง
มีเพียงแค่อัจฉริยะคนอื่นๆ สามารถท้าประลองอัจฉริยะที่ได้รับการคัดเลือกรายชื่อล่วงหน้าโดยที่คนเหล่านั้นต้องรับคำท้า
ปัญหาในยามนี้คือผู้ที่ได้รับการ ‘คัดเลือกรายชื่อล่วงหน้า’ ของลัทธิโลหะเลือดจะเป็นผู้ใดกัน?
ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกรายชื่อล่วงหน้านั้นคือสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและเกียรติยศ เป็นสิ่งที่แสดงถึง ‘การได้รับการยอมรับ’ จากคนส่วนมากประการหนึ่ง ยอมรับว่าเจ้ามีความแข็งแกร่ง สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรได้
“รองจ้าวลัทธิ ในอดีต คือสิบดาราของอาณาจักรจะเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกรายชื่อล่วงหน้า”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น
สิบดาราของอาณาจักรนั้นค่อนข้างมีอายุ เคยได้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรมาก่อน ตัวอย่างเช่นเจียนซานเฟิง
แน่นอนว่ามีคนหน้าใหม่ที่สามารถเอาชนะสิบดาราของอาณาจักรรุ่นเก่าได้และแทนที่คนเหล่านั้น
“ลัทธิโลหะเลือดของข้านับความแข็งแกร่งเป็นสถานะและเกียรติยศ ก่อนหน้าจ้าวเฟิงได้เอาชนะเทียนหยุนจือ ความแข็งแกร่งชัดเจนนัก ในขณะเดียวกัน เขาก็คือหัวหน้าสาขาที่เด็กที่สุดของลัทธิโลหะเลือด ครอบครองพื้นที่พันธาราทั้งหมด ด้านฐานะอำนาจไม่อาจตั้งข้อสงสัยได้…”
รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเริ่มพูด
ระดับสูงบางคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ผงกศีรษะ
ในด้านความแข็งแกร่งและฐานะ กระทั่งสติปัญญา จ้าวเฟิงนับว่ายอดเยี่ยม
ที่สำคัญไปกว่านั้น เขายังเด็กนัก อนาคตย่อมไร้ขีดจำกัด
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น เหล่าระดับสูงบางคนก็ยังคิดเล็กคิดน้อย
“จ้าวเฟิงเอาชนะเทียนหยุนจือ ในยามนั้นทั้งสองฝั่งต่อสู้กัน มีหลายสิ่งที่ส่งผลกระทบ การครอบครองเหนือพื้นที่พันธาราเองก็ยังมีอวิ๋นช่า เฉินเมิ่งเจิ่น เตี๋ยเย่ และยอดฝีมือคนอื่นๆ ช่วยเหลือ”
“อาจนับได้ว่าเป็นโชค ยังไม่อาจตัดสินได้ เจียงซานเฟิงเป็นสิบดาราของอาณาจักรมาหลายปี ทั้งยังได้เข้าร่วมในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งก่อน มีประสบการณ์มากกว่า”
เหล่าระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดเอ่ยพูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา ต่างคนต่างความคิดเห็น
จ้าวเฟิงและเจียงซานเฟิงต่างมีคนสนับสนุน
เมื่อเป็นเช่นนี้ อำนาจตัดสินใจย่อมอยู่ในมือของรองจ้าวลัทธิ
ทว่าชายหนุ่มผมสีเลือด เถี่ยหมัว ไม่ได้เอ่ยขึ้นในทันที
เจียนซานเฟิงยืนอยู่กลางโถงหลัก ปรากฏบรรยากาศยิ่งยโสสูงส่งประการหนึ่ง ในใจปรากฏความไม่มั่นใจขึ้นบ้าง
ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก สายตาดุดันกวาดมองไปยังจ้าวเฟิงคราหนึ่ง
พูดตามตรง หัวหน้าสาขาลัทธิโลหะเลือดที่เด็กที่สุดผู้นี้ได้สร้างแรงกดดันแก่เขามิใช่น้อย
ความสำเร็จและความสามารถทุกสิ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายล้วนทรงพลังอย่างมาก กระทั่งในอาณาจักรนภา สถานะในลัทธิโลหะเลือดยังสูงเช่นกัน
นอกจากนั้น รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดยังให้ความใส่ใจกับเด็กหนุ่มอย่างมาก
“ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ เพื่อความยุติธรรม ให้เจียงซานเฟิงและหัวหน้าสาขาจ้าวประลองกันครั้งหนึ่ง”
สตรีผมขาวผู้อาวุโสคุมกฎแย้มยิ้มเล็กๆ
นางเข้าใจความหมายของรองจ้าวลัทธิ
หากเถี่ยหมัวตัดสินใจแล้ว อีกฝ่ายย่อมเอ่ยออกมา
ทว่าชายหนุ่มไม่เปิดปาก แน่นอนว่ามีความนัยอื่น
“หัวหน้าสาขาจ้าวเฟิง เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
มุมปากของบุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว ยกโค้งขึ้นเล็กๆ เขาเองก็ต้องการที่จะสัมผัสความพัฒนาในความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงเช่นกัน
“ได้”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ลุกขึ้นจากตำแหน่งที่นั่งของหัวหน้าสาขาอย่างเชื่องช้า
เขาต้องการที่จะได้รับการ ‘คัดเลือกรายชื่อล่วงหน้า’ นี้เพื่อที่จะไม่ต้องผ่านการแข่งขันคัดเลือกมากมาย
เหล่าระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดรอชมอย่างคาดหวัง
ครืน!
ใจกลางโงถหลักของลัทธิโลหะเลือดปรากฏลานประลองกว้างด้านละหนึ่งร้อยหลา ถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นสีน้ำเงินชั้นแล้วชั้นเล่า
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงและเจียงซานเฟิงทะยานไปยังลานประลอง
“หืม?”
ร่างของจ้าวเฟิงทรุดลง พบว่าลานประลองนี้มีแรงโน้มถ่วงมากกว่าปกติสิบเท่า ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้เชื่องช้าและยากลำบาก หากเป็นขอบเขตก่อกำเนิดปราณที่อ่อนแอกว่า หากเข้ามายังสภาพแวดล้อมเช่นนี้กะทันหันอาจจะกระอักโลหิตออกมาในทันทีแล้ว