Skip to content

King of Gods 329

King Of Gods

บทที่ 329 : คืนสติ

“ยามที่สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงเปิดออก ผลึกนั่นก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ที่แปลกประหลาด นับเป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดไว้…”

ชายชราผมแดงคิ้วหนาถอนหายใจเบาๆ

จิตวิญญาณเหมันต์นั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวอยู่กับราชาในขอบเขตปราณเทวะยามยังมีชีวิตอยู่ สำนึกรู้แก่นแท้ที่หลงเหลือนั้นไม่อาจประเมินค่าได้

ทว่าของชิ้นนี้อยู่เคียงข้างเขามาหลายปีก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ แต่เมื่อจ้าวเฟิงมาถึงมันกลับตอบสนองขึ้น

ดังนั้นจึงสามารถเห็นได้ว่า เขาไม่มีวาสนากับสิ่งนี้

“นอกจากนั้น เจ้ายังดูแคลนพลังสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงอยู่ ด้วยความสามารถของมัน กระทั่งประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของข้ายังยากที่จะล่วงรู้ได้ รวมทั้งเขายังมีวาสนากับ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ โชคลาภของเขาไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นแล้ว ข้าจะส่งพระถังซัมจังก็ต้องส่งให้ถึงชมพูทวีป ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด จึงได้มอบ ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ ให้แก่เขา จะอย่างไรเขาก็มีสายเลือดดวงตาและพลังจิตที่แข็งแกร่ง โอกาสที่จะฝึกฝน ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ ได้ย่อมมีโอกาสสูงกว่า”

ชายชราผมแดงเอ่ยตอบ

เถี่ยหมัวพลันผงกศีรษะ

ไม่ว่าจะเป็น ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ หรือ ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ สำหรับชายชราผมแดงและตัวหมิงถงนั้นนับว่าไม่มีประโยชน์มากนัก

แต่กลับเป็นจ้าวเฟิงที่มีวาสนาต่อ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ทั้งสายเลือดดวงตาของเขายังมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง นับว่าตรงตามเงื่อนไขของการฝึก ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง (冥瞳 หมิงถง: เนตรทมิฬ)’

“ทั้งหมดล้วนเป็นวาสนาอันดีของเขา…”

ชายชราผมแดงปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ กลิ่นอายทั้งหลายบนร่าง รวมทั้งกลิ่นอายแห่งชีวิตจางหายไปอย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่ง

จ้าวเฟิงนำ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ และ ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ ออกจากตำหนักใต้ดิน

เด็กหนุ่มเอ่ยพึมพำ ชายชราผมแดงผู้นั้นคือผู้ใดกัน กระทั่งสามารถทำให้รองจ้าวลัทธิเอ่ยเรียกเป็นพี่ชายได้

“อย่าได้บอกว่า…”

หัวใจจ้าวเฟิงพลันกระตุกวูบ

ในลัทธิโลหะเลือด ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในความคิดของทุกคนคือรองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัว

ทว่าในตำแหน่งของเถี่ยหมัวนั้นยังมีตัวอักษร ‘รอง’ อยู่หนึ่งตัว

จ้าวลัทธิโลหะเลือด ในร้อยปีมานี้ไม่เคยปรากฏตัว

ในตำนาน จ้าวลัทธิโลหะเลือดหลายร้อยปีก่อนได้เข้าร่วมการทำลายล้างลัทธิมารจันทราชาด เป็นตัวละครสำคัญเช่นเดียวกับผู้นำลัทธิมารจันทราชาด

เพียงแต่หลังจากนั้น ด้วยอุบัติเหตุบางอย่างได้ทำให้จ้าวลัทธิโลหะเลือดเข้าสู่การหลับลึก

กลับสู่ความเป็นจริง

‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ที่กลางฝ่ามือส่งความเย็นเยียบแปลกประหลาด

ในความเป็นจริงแล้วความเย็นนี้มิได้ปรากฏอยู่ ทว่ามันกลับแพร่กระจายอยู่ภายในจิตใจ เป็นเช่นพลังที่มองไม่เห็นของจิตแห่งกระบี่และจิตแห่งดาบ

คราแรกที่เขาเห็นสิ่งนี้ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ไปปรากฏปฏิกิริยาบางอย่าง

จ้าวเฟิงเปิดดวงตาเทพเจ้า หลอมรวมประสาทสัมผัสจิตวิญญาณเข้าไปใน ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ เล็กน้อย

ด้วยเหตุใดไม่ทราบ ทว่าพลังเย็นเยียบที่ไม่อาจมองเห็นนั้นได้ส่งผ่านความรู้สึกคุ้นเคยมาสู่เด็กหนุ่ม

บ่อน้ำเหมันต์ในมิติในดวงตาซ้ายในยามนี้ปรากฏระลอกคลื่นบางเบา ความเย็นแปลกประหลาดที่ไม่อาจมองเห็นแพร่กระจายในอากาศ ก้องกังวานไปในความนึกคิด

วูบ!

แก่นกลางของจิตวิญญาณเหมันต์ส่องประกายเป็นแก่นเหมันต์ครามสีใสขึ้น

แก่นเหมันต์ครามนั้นไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันปรากฏขึ้นเพียงในจิตใจ เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็สามารถมองเห็นได้เช่นกัน

จากการเชื่อมต่อนั้น ข้อมูลที่พร่าเลือนไม่สมบูรณ์จำนวนหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นในประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงจาก ‘แก่นเหมันต์คราม’ ภายในเต็มไปด้วยความรู้และแก่นแท้อันลึกซึ้งโบราณประการหนึ่ง

ข้อมูลเหล่านั้นจ้าวเฟิงไม่อาจทำความเข้าใจได้เป็นส่วนมาก ทว่าสำนึกรู้บางอย่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของเคล็ดวิชาพลังจิต เพียงแค่ลึกล้ำยิ่งกว่า

“นี่คือหนทางแห่งวิญญาณ? ลึกล้ำยิ่งกว่าเคล็ดวิชาพลังจิต เป็นขอบเขตที่ห่างไกลออกไป…”

จ้าวเฟิงเหม่อลอยครุ่นคิด เต็มไปด้วยคำถามมากมาย

เขาสามารถรับรู้ได้ว่าความรู้แก่นแท้ของ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ นั้นเหนือกว่าเคล็ดวิชาพลังจิตที่เคยพบเจอมา ลึกซึ้งกว่ามากนัก

เมื่อเทียบกันแล้ว ‘เคล็ดควบคุมจิตใจ’ ที่เขาเคยศึกษาก่อนหน้าก็ไม่อาจนับเป็นอันใดได้

กระทั่งเมื่อเทียบกับ ‘มรดกอัสนี’ ความนัยแก่นแท้ของข้อมูลและเสวี๋ยนอ้าวเหล่านี้ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงกันได้

สิ่งเดียวที่น่าเสียดายนั้นคือ สิ่งนี้ไม่สมบูรณ์ เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่ง

สติของจ้าวเฟิงพุ่งลงไป ถูกดูดเข้าไปภายใน ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ที่เต็มไปด้วยแก่นแท้ของเสวี๋ยนอ้าวที่ลึกล้ำ คนทั่วไปแม้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังยากที่จะทำความเข้าใจ

หากมิใช่เพราะจ้าวเฟิงมีเคล็ดวิชาพลังจิตเป็นพื้นฐานและความสามารถในการทำความเข้าใจเรียนรู้อันแข็งแกร่งของดวงตาเทพเจ้า รวมทั้งแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่ทรงพลังย่อมยากที่จะสัมผัสมันได้

เพียงพริบตา เวลา 2-3 วันก็ได้ผ่านพ้นไป

แก่นแท้เสวี๋ยนอ้าวของ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ได้ถูกคัดลอกแยกแยะโดยดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเป็นส่วนๆ

ชั้นแรก พื้นฐานจิตวิญญาณเหมันต์

ชั้นที่สอง พลังจิตวิญญาณเหมันต์

ชั้นที่สาม หัวใจจิตวิญญาณเหมันต์

แน่นอนว่าทั้งสามชั้นมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์จำนวนมาก รวมทั้งนี่ยังมาจากความสามารถในการคำนวณอันทรงพลังของดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มที่ใช้เวลา 2-3 วันจนสามารถคัดแยกมาได้ถึงระดับนี้

“ในยามนี้ ข้าทำได้เพียงทำความเข้าใจเนื้อหาของ ‘พื้นฐานจิตวิญญาณเหมันต์’ ”

จ้าวเฟิงคิดในใจ

แม้ว่าจะเป็นเพียงชั้นแรก ‘พื้นฐานจิตวิญญาณเหมันต์’ ก็ยังได้ทำลายความรู้ความเข้าใจในการฝึกฝนด้านพลังจิตไปมาก

ข้อมูลจำนวนหนึ่งได้ทำลายสายตาที่เด็กหนุ่มใช้มองโลกไป

ตัวอย่างเช่น ในพื้นฐานจิตวิญญาณเหมันต์ที่เกี่ยวข้องกับมรดกหนทางแห่งวิญญาณได้บันทึกเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ราชาพ่อมด’ เอาไว้

ร่างกายของราชาพ่อมดนั้นไม่ได้แข็งแกร่ง กระทั่งอาจเรียกได้ว่าเปราะบาง

ทว่าพลังวิญญาณของราชาพ่อมดนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไร้ที่สิ้นสุด กายเนื้อเป็นเพียงภาชนะ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนัก

แม้ว่าศัตรูจะสามารถทำลายร่างเนื้อได้ ราชาพ่อมดก็สามารถเปลี่ยน ‘ภาชนะ’ ได้ในเสี้ยววินาที

แต่แม้ว่าราชาพ่อมดจะมีภาชนะจำนวนมาก การตายและกำเนิดใหม่ก็ไม่นับเป็นเรื่องแปลกประหลาด

“กายเนื้อเป็นเพียงภาชนะรองรับชีวิต วิญญาณคือแก่นแท้ของชีวิต กายเนื้อแหลกสลาย วิญญาณคงอยู่ หากวิญญาณแหลกสลายจะสูญสิ้นเป็นความว่างเปล่า”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะซ้ำๆ อย่างเข้าใจ

สำหรับมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตใด ความคิดคือแก่นแท้ คือวิญญาณ

“หัวหน้าสาขา เราต้องออกเดินทางไปยังเมืองหลวงเดี๋ยวนี้”

ในยามเช้า เสียงเสียงหนึ่งได้ทำลายห้วงภวังค์ของจ้าวเฟิงลง

เด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาออก ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นความตื่นเต้น

การทำความเข้าใจนั้นได้ทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

นอกโถงหลัก เตี๋ยเย่รอคอยอยู่พร้อมรอยยิ้ม

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ นำสติเพียงส่วนหนึ่งอยู่ภายนอก จิตส่วนมากยังคงใช้ในการทำความเข้าใจ

โถงหลักโลหะเลือด

จ้าวเฟิง เจียงซานเฟิง เตี๋ยเย่ และตงเซว่ คนทั้งสี่รวมตัวกัน

เกี้ยวทองมังกรโลหิตลอยลงจากหมู่เมฆ ผู้ดูแลในชุดโบราณและคนระดับสูงคนอื่นๆ ปรากฏขึ้น

“รองจ้าวลัทธิ ทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว”

เตี๋ยเย่เอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“ไปได้”

เถี่ยหมัวที่อยู่ในเกี้ยวทองมังกรโลหิตผงกศีรษะเล็กๆ

เมืองหลวงนั้นอยู่ไม่ห่างจากกองบัญชาการลัทธิโลหะเลือดเท่าใด ทุกคนเดินทางด้วยความเร็วปกติ ไม่ถึงครึ่งวันก็ไปถึงยังเมืองหลวงแห่งอาณาจักรนภา

เมื่อเข้าไปในเมืองหลวงอาณาจักรนภาอีกครั้ง หัวใจจ้าวเฟิงก็กระตุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

คนจากลัทธิโลหะเลือดจำนวนมากมองไปยังเด็กหนุ่มผมฟ้าหัวหน้าสาขาผู้นั้นอย่างสงสัย

ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มผู้นี้ได้จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกันในเมืองหลวง สร้างความวุ่นวายขึ้นในอาณาจักร เป็นเงามืดที่ใหญ่ที่สุดของเกียรติยศของราชวงศ์

จ้าวเฟิงสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่เอ่ยคำใด ความสนใจส่วนมากอยู่ที่สำนึกรู้ของ ‘พื้นฐานจิตวิญญาณเหมันต์’

เวลาทุกนาที เขาไม่อยากที่จะให้มันสูญเปล่า

เขาเดินตามคนหมู่มากไปอย่างอัตโนมัติ เมื่อคนข้างๆ เอ่ยสิ่งใดก็เอ่ยตอบเพียง ‘อืม’

“อย่ารบกวนเขา”

รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเผยรอยยิ้มบาง ส่งสัญญาณให้กับคนในลัทธิโลหะเลือดคนอื่นๆ

กลุ่มของลัทธิโลหะเลือดนำทางเด็กหนุ่มผมฟ้าที่ตาแทบจะปิดลงไปขณะที่เดินอยู่

สำหรับจ้าวเฟิงที่ทำความเข้าใจอยู่นั้น เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ด้านนอกเกิดอันใดขึ้นเขาไม่รับรู้แม้แต่น้อย

“ราชา! ฉินหวางเฟย!”

“หัวหน้าตระกูลหลิว!”

“เจ้าเมืองหงหู!”

เมื่อใดก็ไม่ทราบ รอบกายของจ้าวเฟิงก็เต็มไปด้วยเสียงดัง

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ที่ที่ของตน

“เด็กผมฟ้านี่คือผู้ใดกัน มานั่งอยู่ที่ ‘ตำแหน่งคัดเลือกก่อน’ แล้วยังกล้านั่งสัปหงกอีกหรือ?”

“ทำเกินไปแล้ว”

“ผมฟ้าตาฟ้า เขาคือตัวแทนของลัทธิโลหะเลือด จ้าวเฟิง!”

“จ้าวเฟิง? คนร้ายที่จับ ‘ฉินหวางเฟย’ เป็นตัวประกันผู้นั้นหรือ? ทุกคนยังไม่รีบเข้าไปจับตัวเขาไปขึ้นเงินอีก!”

เบื้องล่างต่างวุ่นวายกันยกใหญ่

เมืองหลวงของอาณาจักรนภา ภายในพื้นที่เปิดขนาดใหญ่ปรากฏเก้าอี้จำนวนมาก

ฝั่งตะวันออกคือฝั่งของราชวงศ์ ราชา ฉินหวางเฟย และคนระดับสูงอื่นๆ ได้มาถึง

ที่อยู่ใกล้ๆ คือลัทธิโลหะเลือด ตระกูลหลิว สำนักเจี่ยนจง และขั้วอำนาจอื่นๆ

พื้นที่ตรงกลางปรากฏลานประลองแปดลาน แต่ละลานมีพื้นที่กว้างยาวราวหนึ่งลี้

ในขณะเดียวกัน

ใจกลางลานประลองทั้งแปดได้ปรากฏแท่นสูงอันหนึ่งขึ้น

บนแท่นนั้นมีที่นั่งสิบที่ ครอบครองตำแหน่งควบคุม

บนสิบที่นั่งนั้นคือคนหนุ่มสาวที่เป็นผู้ครอบครอง ‘ตำแหน่งคัดเลือกก่อน’ ทั้งสิบของอาณาจักรนภา

สำหรับผู้ที่ครอบครองตำแหน่งคัดเลือกก่อนจะมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร ไม่จำเป็นต้องผ่านการแข่งขันจำนวนมาก

ที่นั่งทั้งสิบได้เรียงลำดับกัน

ที่นั่งแรกปรากฏร่างของชายหนุ่มผมน้ำตาลชุดทอง รูปร่างใหญ่ กระทั่งอาจเรียกได้ว่าอ้วน ดวงตาทั้งสองปรากฏแสงสีทองส่องประกายเจือจาง ลมหายใจให้ความรู้สึกราวกับภูเขาอันยิ่งใหญ่

จินไท่จื่อ ดาราอันดับหนึ่งของอาณาจักร

ที่นั่งที่สองเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง มือทั้งสองไม่อยู่เฉย ท่าทีไม่ใส่ใจ

หวังเสี่ยวก้วย ดาราอันดับที่สองของอาณาจักร มาจากสำนักเฟิงหยุน หนึ่งในสามสำนัก

ที่นั่งที่สามเป็นชายหนุ่มในชุดต่อสู้ ความงดงามเกินคนทั่วไป บนไหล่ปรากฏกระบี่โบราณสีเขียวดวงตาปรากฏประกายแสงสว่างวูบเป็นพักๆ แหลมคมราวคมดาบ ตัดผ่านอากาศ สร้างความเย็นเยียบไปถึงกระดูก

เทียนหยุนจือ ดาราอันดับสามแห่งอาณาจักร

ที่นั่งที่สี่

เด็กหนุ่มผมฟ้า ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ราวกับกำลังนอนหลับอยู่

ในยามนี้

คำโต้เถียงส่วนมากของผู้คนด้านล่างคือเด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นี้

จ้าวเฟิง หัวหน้าสาขาลัทธิโลหะเลือด อัจฉริยะแห่งอาณาจักรที่ได้รับสติปัญญาจากพระเจ้า

“คนเยอะเกินไป…”

จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาขึ้น เลิกทำความเข้าใจสำนึกรู้ ใบหน้าปรากฏความเหนื่อยล้าอยู่บ้าง

ตำแหน่งคัดเลือกก่อนทั้งสิบคนอยู่ที่ใจกลางลานประลองทั้งแปด รอบลานประลองนั้นคือคนจากกลุ่มอำนาจทั้งหลายของอาณาจักร

สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองไปรอบๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่น

ลานประลองทั้งแปดจะเริ่มการประลองขึ้นเร็วๆ นี้

เมื่อจ้าวเฟิงลืมตาสำรวจ รอบๆ ก็ปรากฏเสียงครางหึ่งของอัสนีดังขึ้น ทำให้สายตาจำนวนมากจับจ้องไป

ฝ่ายราชวงศ์ ราชาแห่งอาณาจักรนภาและคนอื่นๆ ดวงตาจับจ้องไปยังจ้าวเฟิงอย่างมุ่งร้าย

ท่าทีของฉินหวางเฟยเคร่งขรึม รูปลักษณ์งามล่มเมือง สมเป็นเช่นมารดาของอาณาจักร

ในเวลาเดียวกัน คนจากเมืองหงหู ตระกูลเทียนหลัก ตระกูลหลิวหลัก และยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจอื่นๆ อีกจำนวนมากได้จ้องมองไปด้วยสายตาเย็นชาไม่เป็นมิตร

โดยเฉพาะฝั่งของเมืองหงหู รูม่านตาของเจ้าเมืองหงหูหดเล็กลง เค้นเสียงเย็นพร้อมกวาดมองจ้าวเฟิงคราหนึ่ง

ใบหน้าของหลิวฉินซินยังคงงดงามราบเรียบ นั่งนิ่งราวกับภาพวาดของเทพธิดา

ผลนั้นคือร่างกายของจ้าวเฟิงพลันหนาวเยือก รู้สึกไม่สบายอย่างมาก

“จ้าวเฟิง เราได้พบกันอีกแล้ว”

น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวพลันดังขึ้น

เทียนหยุนจือ! อีกฝ่ายนั่งอยู่ที่ตำแหน่งที่สาม ข้างๆ จ้าวเฟิง

“ฮี่ฮี่ นี่คือหัวหน้าสาขาที่เด็กที่สุดของลัทธิโลหะเลือดหรือ?”

ในตำแหน่งที่หนึ่ง ‘จินไท่จือ’ หัวเราะอย่างมีพลัง ดวงตาส่องประกายเย็นเยียบแพร่กระจายไปในอากาศ หรี่ตามองไปยังจ้าวเฟิง

ทันทีที่จ้าวเฟิงคืนสติก็ได้นำพาสายตามุ่งร้ายมากมายมา รวมทั้งสิบดาราที่เข้าร่วมนั้นยังมากถึงแปด จึงลองใช้โอกาสนี้ในการกลั่นแกล้งเด็กหนุ่มที่ ‘สติยังไม่เข้าที่’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!