บทที่ 337 : แท่นดาวเหนือ
เนตรแห่งความตายนั้นคือขอบเขตสุดท้ายที่วิชาต้องห้ามนี้จะสามารถไปถึงได้ มันเป็นตัวแทนของเจตจำนงแห่งความตาย
“เมื่อสามารถก่อกำเนิด ‘เนตรแห่งความตาย’ ขึ้นได้ ภายใต้การจับจ้องของดวงตา ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตใดก็ไม่อาจหลบซ่อนถูกบังคับกลืนกิน แม้ไม่อาจตัดสินที่จะไขว่คว้าชีวิตแต่สามารถหยิบฉวยความตายได้”
ภายใต้การกวาดอ่านของจ้าวเฟิง สายตาที่ใช้มองโลกของเด็กหนุ่มก็ได้พังทลายลงอีกครั้ง
แก่นแท้ของเนตรแห่งความตายนั้นคือการควบคุมสำนึกรู้แห่งความตาย
มีชีวิตอยู่หรือตายตก มันคือกฎแห่งโลกที่ไม่อาจควบคุม
ในทวีปนี้ กระทั่งบัดนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดสามารถเข้าใจชีวิตและความตาย ครอบครองชีวิตอมตะได้
กระทั่งผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด มีช่วงชีวิตยาวนานหลายร้อยปีหลายพันปี ทว่าก็ยังมิอาจเข้าใจถึงแก่นแท้ของชีวิตและความตายได้
ราชาแห่งขอบเขตปราณเทวะก็ไม่อาจออกจากวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายนี้
เหนือขอบเขตปราณเทวะ ยังมีขอบเขตผู้วิเศษแห่งแสง รวมทั้งขอบเขตเซียนสวรรค์ในตำนาน
ขอบเขตเซียนสวรรค์ถูกกล่าวไว้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเซียน
บางทีอาจมีเพียงบรรลุถึงระดับนี้จึงจะสามารถมีชีวิตอันเป็นอมตะได้
“ในฐานะตัวแทนของเจตจำนงแห่งความตาย ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ นี่เป็นเรื่องเล่าเทพนิยายหรืออย่างไร?”
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้สึกว่ามันสามารถเป็นจริงได้
อย่างน้อย ตำรานี่ก็เป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่ง ไม่ได้สมบูรณ์
จากสิ่งที่บรรยายไปด้านบน ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถงทั้งเก้าชิ้น หากประกอบเป็นหนึ่งจึงจะสามารถฝึกฝน ‘เนตรแห่งความตาย’ ได้
ในระดับปัจจุบันของจ้าวเฟิง การทำความเข้าใจรายละเอียดใน ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ นับว่ายากลำบากโดยแท้
‘คำศัพท์’ ภายในจำนวนมากเก่าแก่ยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงเรียนรู้ศาสตร์แห่งวิญญาณโบราณในระดับหนึ่ง เกรงว่ากระทั่งความรู้เพียงผิวเผินก็ไม่อาจเข้าใจได้
ในระยะเวลาสั้นๆ แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่สามารถฝึกฝน ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ ได้ ทว่ามันได้เป็นการเปิดโลกทัศน์ของเด็กหนุ่มให้กว้างไกลขึ้นกว่าเดิมมาก
ใน ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ มีวิชาดวงตาต้องห้ามมากมายที่ถูกเรียกว่า ‘เคล็ดวิชาลับหมิงถง’
และเคล็ดวิชาลับหมิงถงบางส่วนสามารถกัดกร่อนจิตใจของคู่ต่อสู้ หากจิตวิญญาณถูกเคล็ดวิชาเหล่านี้โจมตี แม้จะเป็นหมอที่เก่งที่สุดในโลกใบนี้ก็ยังยากที่จะรักษาให้หายได้ ทำได้เพียงเดินหน้าเข้าสู่ความตายอย่างไร้หนทาง
รวมทั้งเคล็ดวิชาลับหมิงถงบางส่วนยังสามารถรวบรวมวิญญาณคนตาย รวบรวมพลังของวิญญาณคนตาย ฆ่าคนได้โดยไร้ร่องรอย
เคล็ดวิชาลับระดับสูงนั้นกระทั่งสามารถร่ายคำสาปที่โหดเหี้ยมเลวร้ายสู่ร่างคู่ต่อสู้ได้เพียงแค่จ้องมองเข้าไปในดวงตา
เมื่อก่อน จ้าวเฟิงได้สัมผัสคำสาปอันทรงพลังของ ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ กระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังยากที่จะหลบหนีไปได้โดยไร้รอยขีดข่วน กระทั่งบัดนี้ มีเพียงผู้นำลัทธิมารจันทราชาดที่สามารถถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย
พูดสั้นๆ เคล็ดวิชาลับดวงตาใน ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ เป็นวิชาโหดเหี้ยมชั่วร้าย ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้มนุษย์ต้องหวาดกลัว
ด้วยระยะทางที่ยาวไกล เวลาค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ
จ้าวเฟิงกวาดตาอ่าน ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ อย่างผ่านๆ แม้ว่าจะยังไม่ได้ฝึกฝนอย่างจริงจัง ทว่าก็ได้ถือกำเนิดความคิดรับรู้ขึ้นบ้าง
ประโยชน์ที่ได้รับจากเคล็ดวิชาภายใน ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ ทำให้จ้าวเฟิงสามารถพัฒนาความสามารถของสายเลือดดวงตาของตนเองได้มากขึ้นไปอีก
ในยามนี้
เขามีแกนกลางอยู่สองอย่าง
หนึ่งคือแกนกลางมรดกอัสนี อีกหนึ่งคือ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ศาสตร์แห่งวิญญาณโบราณ
หนึ่งคือโลกแห่งวัตถุ อีกหนึ่งคือโลกแห่งวิญญาณ
เมื่อรวมทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน จ้าวเฟิงก็ปรากฏความเข้าใจลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
ในเสี้ยวพริบตา เวลาเกือบสองเดือนได้ผ่านพ้นไป
ในวันนี้
จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาปรากฏความเหนื่อยล้าขึ้นหลายส่วน
ทว่าประกายแสงที่ส่องระริกนั้นได้สร้างแรงกดดันให้จิตวิญญาณอย่างหนักหน่วง
ผ่านการทำความเข้าใจมากว่าสองเดือน แกนกลางทั้งสองของจ้าวเฟิงได้มีความพัฒนาขึ้นในระดับหนึ่ง
‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ในชั้นที่สอง พลังจิตวิญญาณเหมันต์ ได้ทำให้ขอบเขตแห่งจิตของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้นวันแล้ววันเล่า ไม่ด้อยไปกว่าขั้นผู้วิเศษแท้
‘มรดกอัสนี’ ชั้นที่สองเองก็ได้ทำให้พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงเข้าใกล้ขอบเขตมนุษย์แท้ระดับสูงมากขึ้นไปทุกที
ในยามนี้
ผนึกอัสนีบนหน้าผากของจ้าวเฟิงได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าจะไม่ได้ใช้พลังของมรดกอัสนีก็ยังสามารถมองเห็นได้
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยหาวขึ้น ท่าทีง่วงนอนเป็นอย่างมาก
“อืม ขอบใจเจ้ามาก”
จ้าวเฟิงนำแมวขโมยตัวน้อยใส่เข้าไปในถุงเก็บสัตว์วิเศษ
ทว่าเมื่อเขาสำรวจกำไลมิติและแหวนในมือ สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนไป
“ไอ้แมวขโมยเวรนี่”
คิ้วของจ้าวเฟิงกระตุก กราดเกรี้ยวหงุดหงิดอย่างหนัก
ผนึกอัสนีบนหน้าผากของเขาส่องสว่างขึ้นจางๆ ไอสวรรค์อัสนีรอบกายพลันกราดเกรี้ยวขึ้น ปรากฏเสียงครืนครางของสายฟ้า
ในที่เก็บของของเขา ทรัพยากรและผลึกเริ่มต้นมากกว่าครึ่งได้หายไป
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นแมวขโมยตัวตัวนี้ที่กินไป
แมวขโมยตัวน้อยย่อมไม่ทำสิ่งใดโดยไร้ซึ่งของตอบแทน มันได้ ‘ดูแล’ จ้าวเฟิงกว่าสองเดือน ป้องกันสายลมที่พัดมากลางอากาศนี้ มันย่อมต้องเก็บค่าตอบแทนไปบ้าง
“เป็นกลิ่นอายสายฟ้าที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”
เหล่าตัวแทนจากอาณาจักรนภาต่างเริ่มรับรู้
โดยเฉพาะจินไท่จื่อและสิบดาราคนอื่นๆ สีหน้าเย็นชา รู้สึกถึงแรงกดดันปริมาณมากกว่าเก่า
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเข้าเบาๆ เก็บกลิ่นอายนั้นกลับไป
ในยามนั้น เขาได้คว้าแมวขโมยตัวน้อยกลับออกมา
แมวขโมยตัวน้อยแสดงท่าทีน่าสงสาร อุ้งเท้าทั้งสองวาดไปมา เอ่ยแก้ต่างให้ตนเอง
“อันใดนะ? เจ้าอยู่ในช่วงกำลังเติบโต ต้องการทรัพยากรและผลึกเริ่มต้นเป็นอาหารเสริม?”
จ้าวเฟิงสงสัย กวาดตามองขึ้นลงไปยังร่างของแมวขโมยตัวน้อยอย่างเคลือบแคลง
แม้อีกฝ่ายจะกินทรัพยากรและผลึกเริ่มต้นจำนวนมากที่ตนได้สะสมเอาไว้ ทว่ากลับไม่ปรากฏความเจริญเติบโตที่เด่นชัดแต่อย่างใด
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยแสดงท่าทางอีกอย่าง บอกว่าในงานชุมนุมเซียนมังกรมันจะช่วยเหลือจ้าวเฟิง
“กินทรัพยากรของข้าไปมากเพียงนี้ เจ้าทำอันใดเพิ่มได้บ้าง?”
“…” แมวขโมยตัวน้อยทำหน้าเศร้า
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ รู้สึกผิดหวังกับสัตว์เลี้ยงตัวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในยามนี้
ดวงตาเทพเจ้าของเขารับรู้ได้ถึงบางอย่าง มองตรงไปยังบางสิ่งที่อยู่ห่างออกไป
ในสถานที่ห่างไกลออกไปกว่าพันลี้ แสงสีขาวได้กระเพื่อมอย่างแปลกประหลาด
แสงนั้นได้เข้าใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“ในที่สุดก็มาถึงแท่นดาวเหนือแล้ว”
คนของอาณาจักรนภาเอ่ยประกาศ
ต้นกำเนิดแสงนั้นคือแท่นที่สร้างขึ้นจากผลึกสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่องสว่าง กว้างใหญ่กว่าสิบลี้
ใจกลางแท่นผลึกนั้นได้ปรากฏ ‘ประตูศิลา’ ลักษณะธรรมดาเรียบง่ายสีดำสนิทอยู่
แท่นผลึกสีขาวและประตูศิลาสีดำนั้น อยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่ว่างเปล่านี้นับว่าโดดเด่นยิ่งนัก
ทะเลทรายนี้ ทุกปีจะปรากฏพายุทะเลทรายที่น่าหวาดกลัวขึ้น เพียงพอที่จะปิดบังทัศนะวิสัยของผู้ฝึกตนที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ บนท้องนภาปรากฏนกอสูรที่แข็งแกร่ง หากผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้มาที่นี่นับว่ายากที่จะล่าถอยไปได้โดยปลอดภัย
“นี่คือแท่นดาวเหนือหรือ?”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมอง คุณภาพของวัสดุและค่ายกลของสถานที่แห่งนี้เหนือกว่าที่ตัวเขาจะสามารถเข้าใจได้
รูปแบบการจัดวางที่คุ้นเคยนั้นทำให้เด็กหนุ่มคิดถึงแท่นศิลากลาง ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ ที่เคยไปมา
ยามที่อาณาจักรนภาไปถึง แท่นดาวเหนือได้ปรากฏเงาคนอยู่จำนวนมากแล้ว
“อาณาจักรจื่อจินและอาณาจักรชื่อเซียวมาถึงแล้ว”
สายตาของจินไท่จื่อกวาดมองไปยังฝูงชน
ในยามนี้ ฝูงชนบนแท่นดาวเหนือต่างก็สร้างที่พักของตนเอง
อัจฉริยะจากสามอาณาจักรแห่งทวีปเหนือได้มารวมกันที่นี่แล้ว
นอกจากนั้นยังมีแคว้นใหญ่จำนวนมาก สำนักใหญ่ และตระกูลชนชั้นสูงจากที่ห่างไกล อยู่ที่นี่อีกด้วย
ในทวีปเหนือ จำนวนของแคว้นใหญ่นั้นอาจมีราวร้อยแคว้น
ทว่าแคว้นใหญ่แต่ล่ะแคว้นมีเพียงสองตำแหน่งที่ได้เข้าร่วม
ในทางกลับกัน สามอาณาจักรในทวีปเหนือคือดินแดนที่ใหญ่ที่สุด
แคว้นใหญ่จำนวนไม่น้อยต่างขึ้นตรงกับอาณาจักรทั้งสามนี้
ตัวอย่างเช่น เมื่อฝ่ายอาณาจักรนภามาถึง คนของแคว้นใหญ่หลายแคว้นก็ได้เข้ามาทักทายอย่างรวดเร็ว
สามอาณาจักรนั้นแบ่งออกเป็น อาณาจักรจื่อจิน อาณาจักรชื่อเซียว และอาณาจักรนภา
เมื่อจ้าวเฟิงสังเกตดูก็พบว่าคนของสามอาณาจักรในทวีปเหนือนั้นเกินครึ่งไปเล็กน้อย
อีกทั้งภายในอาณาจักรก็มีสำนักและตระกูลใหญ่จำนวนมาก มีตำแหน่งเข้าร่วมเป็นของตนเองที่ไม่ได้ประกาศออกไปจำนวนมาก
“ฮี่ฮี่ เจ้าหมูน้อย พวกเราพบกันอีกแล้ว”
น้ำเสียงหยอกล้อของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นจากฝั่งอาณาจักรจื่อจิน
ผู้นำอัจฉริยะฝั่งอาณาจักรจื่อจินคือเด็กสาวท่าทีกล้าหาญผมม่วงผู้หนึ่ง สวมใส่อาภรณ์ลวดลายนกยูง
หมูน้อย?
จ้าวเฟิงพบว่าสตรีในชุดลายนกยูงนั้นเอ่ยกับฝั่งอาณาจักรนภา
“หลิงเยว่กงจูผู้นี้…”
จินไท่จื่อกัดฟันกรอด ทว่ารู้สึกปวดหัวขึ้นเล็กๆ
เจียงซานเฟิงพยายามกักเก็บสีหน้ายินดี เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หมูน้อยที่ว่านั่นคือชื่อเล่นที่หลิงเยว่กงจูตั้งให้จินไท่จื่อผู้นั้น จินไท่จื่อเคยประลองกับนางสองครั้ง และได้พ่ายแพ้ให้แก่หลิงเยว่กงจูผู้นี้ทั้งหมด”
แต่เดิม หลิวเยว่กงจูนั้นคือองค์หญิงของอาณาจักรจื่อจิน และในเวลาเดียวกันก็คืออัจฉริยะที่มีพลังสายเลือดแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร
“พลังของหลิวเยว่กงจูผู้นี้ ทั่วทั้งทวีปเหนือเป็นที่เลื่องลือว่าก่อนหน้าได้จัดการยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้สองคนติดต่อกัน…”
“ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งก่อน หลิงเยว่กงจูผู้นี้ก็ติดหนึ่งในร้อยของอัจฉริยะเซียนมังกร มารอบนี้ความแข็งแกร่งและสายเลือดของนางยามนี้ย่อมต้องเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
บนแท่นดาวเหนือ กองกำลังทุกฝ่ายเอ่ยพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หลิงเยว่กงจูสีหน้าเย้ยหยัน ค่อยๆ เดินมายังฝั่งอาณาจักรนภาอย่างสบายๆ
“โอ้ หมูน้อย เจ้าเป็นผู้นำของอาณาจักรนภา? ดูเหมือนว่ามาตรฐานอัจฉริยะของอาณาจักรนภาในครานี้จะไม่เท่าใดนะ?”
นัยน์ตาหงส์ของหลิงเยว่กงจูกวาดมอง สังเกตอัจฉริยะของอาณาจักรนภา
สายตาที่ดูจะกวาดมองผ่านๆ ทว่ากลับปรากฏความแหลมคมและแรงกดดันแปลกประหลาดอยู่
อัจฉริยะที่ถูกกวาดมองยามนี้ หลายคนจิตใจสั่นสะท้าน หลบเลี่ยงสายตานั้นไปอย่างไม่รู้ตัว
หึ
หวังเสี่ยวก้วยไม่แสดงท่าทีอ่อนแอ
นัยน์ตาของเทียนหยุนจือปรากฎประกายเย็นเยียบขึ้น ราวกับคมดาบที่มองไม่เห็นได้ควบรวมกัน พุ่งแหวกอากาศออกไป
จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจ หลิวฉินซินยังคงสงบนิ่ง ไม่สนใจเหตุการณ์ทั้งหมด
เจียงซานเฟิงหลบสายตานั้นไปอย่างไม่รู้ตัว ไม่อาจมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายได้
“เอ๋?”
หลิงเยว่กงจูชะงักไปเล็กๆ
นางได้ใช้วิชาลับของราชวงศ์ไปเมื่อครู่เพื่อตรวจสอบความสามารถของคู่ต่อสู้
หากอีกฝ่ายไม่อาจมองเข้ามาในดวงตาของนางได้ แสดงว่ามีพลังแตกต่างจากนางอย่างน้อยสองขั้น
หากอีกฝ่ายสามารถมองเข้ามาในดวงตาของนางได้ อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าสามารถท้าทายความสามารถของนางได้ พลังไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก
ทว่าหลังจากที่ตรวจสอบดู หลงเยว่กงจูก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นบางส่วน
หวังเสี่ยวก้วยและเทียนหยุนจือสามารถมองตานางได้ กระทั่งยังตอบโต้กลับมา
โดยเฉพาะจิตแห่งกระบี่ของเทียนหยุนจือที่แทบจะสั่นสะท้านจิตใจของนาง
“เทียนหยุนจือผู้นี้ มิคาดได้ก่อกำเนิดต้นอ่อนแห่งดาบที่แข็งแกร่งเพียงนี้ ดูเหมือนว่าพลังของเขาอาจจะเหนือกว่าจินไท่จื่อ เป็นศัตรูที่ทรงพลังของข้า”
หลิงเยว่กงจูสรุป
นอกจากนี้
ฝั่งอาณาจักรนภา จ้าวเฟิงและหลิวฉินซินได้ทำให้หลิงเยว่กงจูไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งได้
โดยเฉพาะจ้าวเฟิง มีท่าทีไม่สนใจโดยสิ้นเชิง ทำราวกับสายตาของนางเป็นเพียงสายตาธรรมดาทั่วไป
“ฮี่ฮี่ ช่างเป็นผมสีฟ้าที่งดงามนัก”
ร่างของหลิงเยว่กงจูพุ่งวูบไปยังเบื้องหน้าจ้าวเฟิง ใบหน้าปรากฏความริษยาขึ้น
เรือนผมสีฟ้าอ่อนของจ้าวเฟิงนั้นราวกับภาพลวงตา บริสุทธิ์ราวท้องนภา
หลิงเยว่กงจูยังมีเป้าหมายอีกอย่าง คือการสำรวจความสามารถในยามนี้ของอีกฝ่าย
ทว่าหลังจากที่สังเกตอย่างละเอียดแล้วก็มั่นใจว่าเด็กหนุ่มนั้นมีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ
“ทวีปเหนือไม่ควรที่จะปรากฏซินอู๋เหินคนที่สอง…”
หลิงเยว่กงจูลอบส่ายศีรษะ นับว่านางคงคิดมากไป
ตั้งแต่ยามที่หลิงเยว่กงจูมาและจากไป จ้าวเฟิงก็ยังคงไม่ใส่ใจ
อาณาจักนรภา จินไท่จื่อและคนอื่นๆ ลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
หลิงเยว่กงจูนั้นยากจะรับมือเพียงใด ดาราที่ครองตำแหน่งมานานอย่างพวกเขามีความเข้าใจอย่างลึกล้ำ
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
กลางอากาศได้ปรากฏเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนของแคว้นใหญ่และสำนักใหญ่ได้รวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
“หืม? เป็นแคว้นใดกัน ดูแปลกตานัก?”
ห่างออกไปได้ปรากฏปักษาสีฟ้าเลือดขนาดใหญ่ ร่างของคนหลายคนทิ้งกายลงมา ดูไม่เข้ากันกับกลุ่มคนอื่นๆ อยู่บ้าง
“คิดออกแล้ว ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในแคว้นใหญ่ที่ห่างไกลที่ถูกเรียกว่า มังกรโลหะ”