บทที่ 338 : เหล่าดวงดาราที่รวมตัวกัน (1)
คนหลายคนที่ทิ้งกายลงมาจากปักษาสีฟ้าเลือดขนาดยักษ์คือแคว้นมังกรโลหะที่ห่างไกล
เพราะแคว้นนี้อยู่ห่างออกไป จึงมีคนเพียงจำนวนน้อยนิดที่รู้จักแคว้นใหญ่มังกรโลหะนี้
ผู้นำคือชายหนุ่มชุดดำ ในมือถือพัดเหล็ก ดวงตาราวเหยี่ยว สีหน้าไร้ความรู้สึก
ที่แปลกประหลาดนั้นคือผิวหนังทั่วทั้งร่างของเขาได้ส่องประกายราวโลหะทอง กระทั่งเสื้อผ้าและเรือนผมของเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ราวกับว่าถูกสร้างขึ้นจากโลหะทอง ส่องกลิ่นอายเย็นเยียบของโลหะทองออกมา
ขั้นนายเหนือแท้!
ยามที่สายตาของผู้คนกวาดมองไปยังคนผู้นี้ก็ไม่กล้าที่จะดูแคลน เต็มไปด้วยความหวาดเกรงเสียมากกว่า
แม้ว่าแคว้นมังกรโลหะจะอยู่ห่างไกล ทว่าก็ยังสามารถนับได้ว่าเป็นแคว้นใหญ่เช่นกัน อย่างน้อยยังมีผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้
แคว้นใหญ่มังกรโลหะมีตัวแทนสองคน
คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มชุดดำ อีกหนึ่งคือเด็กหนุ่มในชุดเก่า ฝ่ายแรกมีพลังฝึกตนในขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ ฝ่ายหลังมีพลังในขั้นมนุษย์แท้ระดับแรกเริ่ม
“ที่นี่คือ ‘แท่นดาวเหนือ’ ลู่หลง เป่ยม่อ พวกเจ้าสามารถพูดคุยกับอัจฉริยะผู้อื่นได้ ทว่าอย่าได้สร้างเรื่องไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม”
น้ำเสียงของนายเหนือเถี่ยเซียวเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ขอรับ นายเหนือ”
เป่ยม่อสูดลมหายใจลึก สายตาของอัจฉริยะจำนวนมากบนแท่นดาวเหนือได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้แก่เขา
คนที่แข็งแกร่งเช่น ‘นายเหนือเถี่ยเซียว’ ที่มีพลังอำนาจมากเสียจนทำให้สิบสามแคว้นในอดีต คนระดับสูงของสิบสามสำนักพันธมิตรต้องยอมแพ้ ทว่าเมื่อมาถึงยังแท่นดาวเหนือนี้กลับกระทำตัวไม่โดดเด่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แคว้นใหญ่มังกรโลหะอยู่ในทวีปเหนือ ถือว่าเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ทว่าก็ยังนับเป็นกลุ่มอำนาจระดับกลางถึงเล็ก
แท่นดาวเหนือในยามนี้ได้รวบรวมตัวแทนของสามอาณาจักรเอาไว้ ทั้งตัวแทนของแคว้นใหญ่และสำนักใหญ่ต่างๆ ก็ปรากฏตัวอยู่ที่นี่
สามอาณาจักรนั้นมีอำนาจเหนือแคว้นใหญ่ ต่อให้มีแคว้นใหญ่มังกรโลหะนับสิบแคว้นก็ไม่สามารถทำอันใดได้
กระทั่งพลังของสำนักใหญ่บางสำนักและตระกูลชนชั้นสูงยังสามารถกวาดล้างแคว้นมังกรโลหะได้
ดังนั้นแล้ว
ฝั่งแคว้นมังกรโลหะจึงพยายามทำตัวไม่โดดเด่นระมัดระวังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เป่ยม่อ…”
จ้าวเฟิงประหลาดใจ จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มในชุดเก่าๆ ตัวแทนจากฝั่งอาณาจักรมังกรโลหะ
เป่ยม่อยืนอยู่ที่เดิม ท่าทีระมัดระวังกระวนกระวาย ไม่กล้าที่จะเดินไปไหนมาก
รวมทั้งอัจฉริยะทั้งหมดบนแท่นดาวเหนือยังมากมาย เป่ยม่อจึงยังไม่เห็นจ้าวเฟิง
ทว่าจ้าวเฟิงกลับสังเกตอีกฝ่ายไว้เพียงฝั่งเดียว
“เป่ยม่อผู้นี้ทรยศเจ้าเมืองกว่านจวินในอดีต ทรยศสำนักจันทร์สลายพร้อมกับผู้อาวุโสหยุนไห่ หืม? ผู้อาวุโสหยุนไห่ไม่มาด้วยหรือ?”
สายตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก ไม่เห็นร่างของผู้อาวุโสหยุนไห่ รู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กๆ
หากผู้อาวุโสหยุนไห่มีระดับพลังฝึกตนในระดับเดียวกับก่อนหน้า จ้าวเฟิงสามารถฆ่าเขาได้ในเสี้ยววินาทีราวกับการละเล่นของเด็กๆ
ในยามนี้
พื้นที่แท่นดาวเหนือได้ปรากฏความวุ่นวายขึ้นเล็กๆ
สองดาราวัยเยาว์ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำ ลงมือโจมตีอีกฝ่ายในทันที
อัจฉริยะทั้งสองที่ลงมือต่อสู้นั้นบรรลุถึงขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดและมนุษย์แท้ระดับสูงตามลำดับ เมื่อปะลองกัน พื้นที่ในระยะหนึ่งร้อยหลาโดยรอบก็ปรากฏสายลมพัดกระโชก คลื่นอากาศพัดผกผันไปมา
“ดี!”
อัจฉริยะโดยรอบท่าทียินดี มองไปอย่างกระตือรือร้น
อัจฉริยะบนแท่นดาวเหนือนั้นมีจำนวนมาก ต่างก็เป็นบุตรหลานที่สวรรค์เอ็นดูจากหลากหลายดินแดน จะทะเลาะกันโดยที่ไม่เอ่ยคำใดนับว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก
“ทุกครั้งที่มารวมตัวกันที่ีแท่นดาวเหนือแห่งนี้อัจฉริยะจากกลุ่มอำนาจที่มาจากทวีปเหนือทั้งหมดยากที่จะเป็นมิตรต่อกัน อย่างมากหากคุยกันไม่รู้เรื่องก็มักจะประลองกันเลย”
เจียงซานเฟิงสั่นศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
“พวกคนรุ่นเก่าไม่ขัดขวางคนรุ่นหลังหน่อยหรือ?”
สายตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวาบ
ในการรวมตัวกันนี้ได้ปรากฏอัจฉริยะจากหลายกลุ่มอำนาจเข้าต่อสู้กันแล้ว
“ในทางหนึ่ง นี่คือความขัดแย้งระหว่างแคว้น ระหว่างสำนัก กระทั่งรวมไปถึงบุญคุณความแค้นจากงานชุมนุมเซียนมังกรคราที่แล้ว อีกเหตุผลคืออัจฉริยะจากหลายกลุ่มอำนาจพยายามที่จะค้นหาความสามารถของผู้อื่น เขาเรียกว่า ‘รู้สถานการณ์จริง’ ”
เตี๋ยเย่เอ่ยตอบ
รู้สถานการณ์จริง?
จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม คำนี้นับว่าเหมาะสมนัก
ดินแดนแห่งทวีปเหนือนั้นกว้างใหญ่นัก หลายกลุ่มอำนาจ หลายอาณาจักรอยู่ห่างไกล โอกาสที่จะประลองกันย่อมมีไม่มากนัก
ทว่าบัดนี้ เหล่าดวงดาวได้รวมตัวกัน มันเป็นเวลาที่จะล้วงความสามารถของคู่ต่อสู้
เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้จะไม่มีความขัดแย้ง ก็ย่อมมองหาความขัดแย้ง
กระทั่งหนึ่งในสามอาณาจักร อาณาจักรนภายังยากที่จะไม่เข้าร่วม
แคว้นใหญ่และสำนักใหญ่ โดยปกติแล้วย่อมไม่กล้าที่จะหาเรื่องอาณาจักรนภา
ทว่าอาณาจักรในทวีปเหนือนั้นมีมากกว่าหนึ่ง ทั้งยังมียอดสำนักและตระกูลชนชั้นสูงที่เก่าแก่บางส่วนไม่หวาดกลัวอาณาจักร
“ฮี่ฮี่ อาณาจักรนภายามนี้นับว่าหลากสีสันโดยแท้ ผมทอง ผมฟ้า ผมม่วง… ทำให้ข้านึกถึงที่อยู่ของสุนัข”
น้ำเสียงเยาะเย้ยเสียดสี ดังขึ้นจากใกล้ที่พักของอาณาจักรนภา
เจ้าของคำพูดนั้นคือบุรุษผมล้านเลี่ยน บนแผ่นอกปรากฏลวดลายสีดำแดงแปลกประหลาด มันไม่ใช่รอยสัก ทว่าเป็นกลิ่นอายของสายเลือด ลมหายใจของอีกฝ่ายนั้นราวกับของเหลวที่ไหลริน ราวกับมีชีวิตเป็นของตนเอง
“เซี่ยชิงหลงแห่งอาณาจักรชื่อเซียว”
“คนผู้นี้นับเป็นอันดับสามของอาณาจักรชื่อเซียว ครอบครองสายเลือดหายากแห่ง ‘มังกรลายเพลิงเขียว’ ในงานชุมนุมเซียนมังกรคราก่อนติดหนึ่งในร้อยอันดับแรก”
อัจฉริยะจากอาณาจักรและแคว้นใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างรับรู้ได้ถึงตัวตนของบุรุษผมล้านผู้นี้ทันที
ฝั่งที่หาเรื่องมาจากอาณาจักรชื่อเซียว ‘เซี่ยชิงหลง’ พลังฝึกตนสูงถึงขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด
จินไท่จื่อและคนอื่นๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นย่อมโกรธเคืองสบถด่า เอ่ยตอบโต้กลับไป
“ฮ่า… ข้าก็นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็เป็นตัวดูดเลือดแห่งอาณาจักรชื่อเซียวนี่เอง”
น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวยโสดังขึ้นจากฝั่งอาณาจักรนภา
ผู้คนรู้สึกราวกับคมดาบเย็นเยียบที่มองไม่เห็นได้ปรากฏขึ้นในอากาศ ผิวหนังปรากฏความรู้สึกเจ็บราวโดนบางอย่างทิ่มแทงจนต้องมองไปอย่างสงสัย
บุรุษหล่อเหลาในชุดต่อสู้ บนไหล่ปรากฏกระบี่โบราณยืนอยู่
“เทียนหยุนจือ! อัจฉริยะอันดับสามของอาณาจักรนภา”
“หากจำไม่ผิด เขาได้พ่ายแพ้ให้แก่เซี่ยชิงหลงมาก่อนมิใช่หรือ?”
เทียนหยุนจือเพียงปรากฏตัวก็ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
“แพ้แล้วยังกล้าออกมาทำตัวขายขี้หน้าอีก”
เซี่ยชิงหลงหัวเราะ
คนทั้งสองจากสองอาณาจักรต่างครองอันดับที่สาม
ทว่าในอดีต เทียนหยุนจือเคยพ่ายแพ้ให้แก่เซี่ยชิงหลงครั้งหนึ่ง
การปะทะกันของอัจฉริยะของอาณาจักรได้ทำให้อัจฉริยะจากทุกกลุ่มอำนาจบนแท่นดาวเหนือต้องให้ความสนใจ
รวมทั้งหลิงเยว่กงจูจากอาณาจักรจื่อจินที่มองไปพร้อมกับรอยยิ้มบาง
อาทิตย์เขียวมังกรพิโรธ!
แขนทั้งสองข้างของเซี่ยชิงหลงสั่นสะท้าน ลวดลายสีดำแดงบนแผ่นอกเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต สร้างเปลวเพลิงสีเขียวในรูปลักษณ์ของงูมังกรขึ้น
เปรี้ยง ตูม!
เซี่ยชิงหลงยกหมัดทั้งสองขึ้น งูมังกรที่สร้างขึ้นจากเปลวเพลิงสีเขียวคำรามอาละวาด เปลวเพลิงความร้อนสูงรุนแรง กวาดผ่านระยะหลายสิบลี้ไปอย่างรวดเร็ว ต้องการจะเผาไหม้ กลืนกินร่างของเทียนหยุนจือ
“เป็นวิชาสายเลือดที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
“นี่คือพลังของอัจฉริยะเซียนมังกร หนึ่งในร้อยอันดับแรก”
พลังที่เซี่ยชิงหลงแสดงออกมานั้นได้ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรเป็นครั้งแรกจำนวนมากรู้สึกหวาดกลัวและหวั่นเกรง
พลังของเปลวเพลิงรุนแรงนั้น ย่อมเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปกลายเป็นกองขี้เถ้า
ฝั่งแคว้นใหญ่มังกรโลหะ
“นี่คืออัจฉริยะชั้นแนวหน้าของทวีปเหนือ”
เป่ยม่อสูดลมหายใจลึก วิชาสายเลือดของเซี่ยชิงหลงสามารถต้านทานด้วยมรดกธาราทมิฬของเขาได้ระดับหนึ่ง
ในยามนี้ เขารู้สึกได้ถึงเลือดเนื้อและปราณจิตวิญญาณที่สั่นสะท้าน หากประลองกันจริงๆ บางทีตนเองอาจไม่สามารถรับมือเซี่ยชิงหลงได้หลายกระบวนท่านัก
เคล็ดกระบี่วาดเมฆา!
เคร้ง!
กระบี่โบราณสีเขียวถูกชักออกจากฝัก สร้างประกายคมดาบสายรุ้งสีครามยาวหลายฟุต ตัดผ่านเปลวเพลิงสีเขียวในรูปลักษณ์ของมังกรพิโรธที่อยู่โดยรอบ
ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายจิตแห่งกระบี่ที่มองไม่เห็นได้ก้าวขึ้นไปอีก เสียงคำรามท่องทะยานสู่ฟากฟ้า สั่นคลอนจิตใจผู้คน
อัจฉริยะหลายคนในที่แห่งนั้น ร่างกายจิตใจหนาวเยือก ราวกับถูกคมกระบี่ที่มองไม่เห็นฟาดฟันร่างกาย
“จิตแห่งกระบี่! ต้นอ่อนจิตแห่งกระบี่!”
“เมื่อใดกันที่เทียนหยุนจือมีจิตแห่งกระบี่ที่ทรงพลังรวดเร็วเช่นนั้น”
อาณาจักรจื่อจินที่อยู่ใกล้ๆ รวมทั้งกลุ่มอำนาจระดับแคว้นใหญ่จำนวนมากที่อยู่ข้างๆ ใจกระตุกไป สีหน้าแปรเปลี่ยน
จิตแห่งกระบี่ตัดผ่าความว่างเปล่า พลังของกระบี่ของเทียนหยุนจือสร้างความเย็นเยียบไร้ที่สิ้นสุด คมกระบี่เหล่านั้นได้บีบบังคับให้เซี่ยชิงหลงต้องล่าถอยไปก้าวสองก้าว
นี่เป็นเพียงแค่การใช้กระบวนท่าวิชากระบี่เท่านั้น
จากนั้น เทียนหยุนจือจึงกระตุ้นการโคจรของพลังสายเลือดแห่งตระกูลเทียนและตระกูลหยุน ประกายคมดาบได้ส่องแสงสีฟ้าขาวขึ้น มีพลังราวกับสามารถตัดผ่าสายน้ำได้
“เมื่อใดกันที่เด็กนี่ก่อกำเนิดจิตแห่งกระบี่ ทั้งยังแข็งแกร่งเพียงนี้?”
ท่ามกลางประกายคมกระบี่ เซี่ยชิงหลงถูกไล่ต้อน บนใบหน้าและลำตัวปรากฏรอยเลือดขึ้นเป็นทาง
ในด้านพลังสายเลือด เทียนหยุนจือไม่อาจนับได้ว่าด้อยกว่าเขา กระทั่งแข็งแกร่งกว่า จิตแห่งกระบี่ที่แตกสลายและก่อร่างขึ้นใหม่ พลังโจมตีของมันเพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ระดับใหม่
กระทั่งจินไท่จื่อและหลิงเยว่กงจูยังชะงักไปเล็กๆ
ความสามารถของเทียนหยุนจือนั้นย่อมสามารถครอบครองหนึ่งในร้อยอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกรได้กระทั่งได้ครองตำแหน่งที่สูงกว่านั้น
“ข่าวลือไม่ผิดพลาด หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ให้แก่ ‘ซินอู๋เหิน’ ก็ได้ก่อกำเนิดจิตแห่งกระบี่ ทว่าเมื่อเทียบดูแล้วยังนับว่าแข็งแกร่งกว่าจิตแห่งกระบี่ที่อัจฉริยะทั่วไปก่อกำเนิดขึ้นครั้งแรก”
นัยน์ตาหงส์ของหลิงเยว่กงจูกลอกไปมา
พลังของซินอู๋เหิน หลิงเยว่กงจูเคยสัมผัสมาก่อน
เมื่อหกเดือนก่อนเคยได้ประลองกันครั้งหนึ่ง พวกนางได้ประลองกันจนเสมอ
แต่ที่ทำให้นางโกรธนั้นคือ อัจฉริยะลึกลับที่ไม่อาจหยั่งถึงผู้นั้น ตั้งแต่เริ่มจนจบใช้เพียงมือเดียวประลองกับนาง
เรื่องราวแปลกประหลาดที่เกี่ยวข้องกับซินอู๋เหิง ในทวีปเหนือนับเป็นเรื่องที่ต้องเอ่ยทุกครั้งหลังอาหาร
เขาไม่มีพรสวรรค์สูงส่ง ไม่มีมรดกพลังสายเลือด กระทั่งไม่เคยได้รับคำชี้แนะจากยอดอาจารย์
ทว่าคนเช่นนี้ ได้ก้าวไปทีล่ะก้าว ศึกษาทำความเข้าใจ หลอมรวมวิชามรดกจำนวนมากด้วยตนเอง สร้างวิธีการฝึกตนของตนเองขึ้น
เปรี้ยง พรวด!
ร่างของเซี่ยชิงหลงซวนเซ รับมือกับกระบี่ของเทียนหยุนจืออย่างยากลำบาก สุดท้ายพ่ายแพ้ กระอักเลือดออกมา
“เจ้าปล่อยให้ข้าชนะแล้ว”
เทียนหยุนจือกลับไปยังฝั่งอาณาจักรนภาอย่างผู้ชนะ
ชัยชนะของอาณาจักรนภาย่อมทำให้สีหน้าของฝั่งอาณาจักรชื่อเซียวแปรเปลี่ยนไปบ้าง ส่งอัจฉริยะที่ครองอันดับสองออกมาเผชิญหน้าอีก
ในสามอาณาจักร ความแข็งแกร่งโดยรวมของอาณาจักรนภาย่อมไม่ด้อยไปกว่าอีกสองอาณาจักร ทว่าพลังของอัจฉริยะในรุ่นแรกๆ ย่อมไม่อาจเทียบเคียงกับอาณาจักรทั้งสองในอดีตได้
“สวะ…”
หวังเสี่ยวก้วยเตรียมตัวต่อสู้ กระโดดออกไปอย่างกระตือรือร้น วาดกระบองสีเงินทอง ปะทะกับอาณาจักรชื่อเซียวตรงๆ
อัจฉริยะอันดับสองของอาณาจักรชื่อเซียวพลังฝึกตนสูงถึงขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด ในอดีตความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับจินไท่จื่อ ไม่ด้อยกว่าเท่าใด
การต่อสู้นี้ หวังเสี่ยวก้วยโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
พลังสายเลือดของเขานั้น ยิ่งบาดเจ็บหนักเท่าใด พลังต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น นับว่าไม่ธรรมดาโดยแท้
หลังจากหนึ่งร้อยกระบวนท่า หวังเสี่ยวก้วยก็บาดเจ็บหนัก พลังต่อสู้เพิ่มขึ้น เอาชนะอีกฝ่ายได้ในการโจมตีครั้งเดียว
หลังจากแพ้ติดต่อกันสองครั้ง สีหน้าของอาณาจักรชื่อเซียวจึงแปรเปลี่ยนไปในที่สุด
“อัจฉริยะอันดับสองกับสามของอาณาจักรนภานี้แข็งแกร่งยิ่งนัก จินไท่จื่อที่ครองอันดับหนึ่ง บางที…”
อัจฉริยะจากอาณาจักรชื่อเซียวและอาณาจักรจื่อจินเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างช่วยไม่ได้
ความจริงแล้ว
จ้าวเฟิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของหวังเสี่ยวก้วยและจินไท่จื่อนั้นเท่าเทียมกัน หากเป็นการต่อสู้เอาเป็นเอาตาย หวังเสี่ยวก้วยมีโอกาสชนะ
เทียนหยุนจือพลังต่อสู้ด้อยกว่า ทว่าแรงโจมตีนั้นกระทั่งเหนือกว่าจินไท่จื่อ
“อาณาจักรนภาในครานี้ไม่ธรรมดาโดยแท้ อันดับหนึ่งจินไท่จื่อนั้นข้าเข้าใจ ทว่าความแข็งแกร่งของอันดับสองและสามมากขึ้นอย่างกะทันหัน…”
นัยน์ตาหงส์ของหลิงเยว่กงจูส่องประกายระริก สายตากวาดมองไปยังจ้าวเฟิงและหลิวฉินซินที่ครองอันดับถัดไป
ในแท่นดาวเหนือ
เพื่อความสะดวกในการท้าประลอง เหล่าอัจฉริยะจึงนั่งเรียงกันตามลำดับ
“เค่อลี เจ้าไปตรวจสอบความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผมฟ้านั่น ฝานเสี่ยวเยว่ เจ้าไปตรวจสอบความแข็งแกร่งของสตรีหน้าสวยชุดขาวที่ทำให้ผู้อื่นต้องอิจฉานั่น”
หลิงเยว่กงจูกำชับ
เค่อลีและฝานเสี่ยวเยว่ครองอับดับสี่และห้าใน ‘อาณาจักรจื่อจิน’ ตามลำดับ เทียบเท่าได้กับความแข็งแกร่งของอันดับสามและสี่ของอาณาจักรนภาในอดีต
เป้าหมายที่หลิงเยว่กงจูต้องการล้วงความสามารถนั้นคือจ้าวเฟิงและหลิวฉินซิน