Skip to content

King of Gods 336

King Of Gods

บทที่ 336 : เนตรแห่งความตาย

ก่อนที่จะออกเดินทางยังเหลือเวลาอีกสองวัน

ยอดอัจฉริยะทั้งสี่ผู้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรของลัทธิโลหะเลือดได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว

พวกเจียงซานเฟิง เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงออกมาก็เอ่ยขอประลองชี้แนะสักหนึ่งหรือสองกระบวนท่า

วันก่อนๆ เจียงซานเฟิง เตี๋ยเย่ และตงเซว่ ทั้งสามคนได้ประลองกันเอง ทว่าไม่มีโอกาสได้ท้าประลองกับอัจฉริยะอันดับหนึ่งผู้นี้

“ได้”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะตอบรับ เดินไปทางทั้งสามคน

พลังฝึกตนของคนทั้งสามเมื่อกวาดมองดูแล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก หลังจากบรรลุเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง การพัฒนาของพลังฝึกตนแต่ล่ะครั้งก็จะยากเย็นยิ่งนัก ความยากในอนาคตอาจยากขึ้นเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว

ในช่วงวัยเดียวกัน เมื่อขอบเขตพลังแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นขั้นมนุษย์แท้และขั้นผู้วิเศษแท้ ความเร็วในการฝึกตนก็จะแตกต่างกันอย่างน้อยหลายเท่า

รวมทั้งจ้าวเฟิงที่พลังฝึกตนเองก็เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า หากต้องการบรรลุสู่ขั้นมนุษย์แท้ระดับสูงยังเหลือระยะห่างอยู่ในระดับหนึ่ง

จะอย่างไร สายเลือดดวงตาของเขาก็ไม่ได้ช่วยเหลือในความเร็วการฝึกตน ส่วนมากเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ทำความเข้าใจ

ผู้ที่ขึ้นมาคนแรกคือตงเซว่ ขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ

ในด้านความแข็งแกร่ง ตงเซว่นับว่าอ่อนแอที่สุด

“โปรดท่านรองหัวหน้าสาขาจ้าวออมมือให้”

ตงเซว่เอ่ยขึ้น

จ้าวเฟิงได้ออมมือให้คนทั้งสาม ยามที่ประลองกันจะไม่ใช้สายเลือดดวงตา

ตงเซว่ฝึกฝน ‘วิชาลับหยกเย็น’ เป็นวิชาธาตุเหมันต์ ในการโจมตีสร้างลมเย็นเยียบให้พัดหวน ม่านหมอกสีฟ้าปกคลุม โอบล้อมอยู่ทั่วร่าง กระตุ้นสายลมเย็นเยียบให้พุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิงครั้งแล้วครั้งเล่า

จ้าวเฟิงไม่ได้ดูแคลนอีกฝ่าย ธาตุวิชาของอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับธาตุของพลังสายเลือดของตน

ในการต่อสู้ เด็กหนุ่มลงมือเพียงผิวเผิน ดวงตาเทพเจ้าสังเกตลักษณะวิชาธาตุเหมันต์

หลังจากหลายสิบกระบวนท่าจ้าวเฟิงจึงเข้าใจ ร่างของเด็กหนุ่มพลันพุ่งวูบ

เงาร่างทั้งสองของจ้าวเฟิง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาโจมตีไปยังตงเซว่พร้อมกัน

ตงเซว่ลนลานเล็กๆ ถูกหนึ่งฝ่ามือที่เต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้าส่งร่างถอยหลังไปหลายฟุต ร่างบอบบางหนึบชา ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ไปพักหนึ่ง

“ ‘วิชาลับหยกเย็น’ ของเจ้าหากใช้ในช่วงเวลาที่ถูกต้องจะสามารถลดความเร็วของคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังเท่ากันได้อย่างมาก ทว่าทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของเจ้า รวมทั้งความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวยังคงไม่เพียงพอ”

จ้าวเฟิงเอ่ยวิจารณ์ขึ้น

ตงเซว่แลบลิ้น “สำหรับวิชาธาตุเหมันต์นั้น ทั่วทั้งทวีปคงมีเพียง ‘สำนักเฉียนปิง’ ที่อยู่ด้านเหนือสุดที่ฝึกฝน เว่ยเซียนจื่อของสำนักเฉียนปิงในรุ่นนี้ ครั้งหนึ่งเคยได้ครอบครองมรดกเฉียนปิง ล่วงรู้ถึงแก่นแท้ของมัน แทบจะเรียกได้เหนือกว่าคนทั้งหมด ในงานชุมนุมเซียนมังกรครองหนึ่งในสามอันดับแรก”

สำนักเฉียนปิงจ้าวเฟิงเองก็เคยได้ยินมา มันคือหนึ่งในสิบยอดสำนักของทวีป

ตำแหน่งของสำนักเฉียนปิงอยู่ที่ฝั่งเหนือที่เย็นยะเยือก จนถึงจุดที่เป็นที่รับรู้กันว่าได้ครอบครองหนึ่งในสี่มหามรดก ‘มรดกเฉียนปิง’

ทุกๆ หลายสิบปีสำนักเฉียนปิงจะเปิด ‘มรดกเฉียนปิง’ สู่คนภายนอก มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนในวิชาธาตุเหมันต์ที่จะสามารถเข้าไปได้

จากนั้น

เตี๋ยเย่ได้ขึ้นมาประลองกับจ้าวเฟิง

พลังฝึกตนของเตี๋ยเย่สูงถึงขั้นมนุษย์แท้ระดับสูง ในการประลองแย่งชิงตำแหน่งในเมืองหลวงก่อนหน้าพลาดไปเพียงก้าวเดียวที่จะได้เป็นหนึ่งในสิบดารา

จ้าวเฟิงและเตี๋ยเย่ประลองกันราวหนึ่งร้อยกระบวนท่า ทว่าไม่ได้เห็นข้อผิดพลาดใดๆ ที่ชัดแจ้ง

ความเร็วการเคลื่อนไหวของเตี๋ยเย่ดี มีสติปัญญาสูง การต่อสู้ระยะประชิดเองก็มีประสบการณ์มาก

หากจะเอ่ยถึงสิ่งที่เป็นจุดอ่อนก็คงเป็นพลังโจมตีรุนแรงไม่เพียงพอ

ทว่านี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิชาของนางหรือการที่นางไม่มีพลังสายเลือด สตรีโดยทั่วไปมักไม่มีพละกำลังมากมายอยู่แล้ว

นี่คือข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเตี๋ยเย่และเจียงซานเฟิง

สุดท้าย เจียงซานเฟิงจึงเดินขึ้นไปบนลานประลอง

จ้าวเฟิงยังคงไม่ใช้พลังสายเลือด การประลองนี้ค่อนข้างรุนแรง การปะทะกันระหว่างสายฟ้าและเปลวเพลิงรุนแรงยิ่งนัก

หลังจากหนึ่งร้อยกระบวนท่า

“กรงเล็บอัสนี”

จ้าวเฟิงใช้วิชาเก่า วาดมือข้างหนึ่ง กลางอากาศสายฟ้ารวมตัวกันเป็นกรงเล็บกว้างหลายฟุตที่ภายในเต็มไปด้วยกระแสไฟฟ้า ราวกับฟ้าที่ผ่าลง

พลังอำนาจของสายฟ้านั้นรุนแรงเกินต้านทาน สร้างแรงกดดันขึ้นหลายเท่า ความรู้สึกหนึบชาจากสายฟ้าแพร่กระจาย ทำให้เจียงซานเฟิงรู้สึกกดดันอย่างลึกล้ำ ลมหายใจติดขัด

เปรี้ยง

เจียงซานเฟิงถูกตบโดย ‘กรงเล็กอัสนี’ ลงไปกองยังจุดที่ยืนอยู่ ทั่วทั้งร่างหนึบชาไหม้เกรียมเป็นส่วนๆ ใบหน้าหดหู่พร้อมเอ่ยขึ้น “เป็นกระบวนท่านี้…”

กรงเล็บอัสนีคือกระบวนท่าเดี่ยวที่มีพลังรุนแรงที่สุด สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย เมื่อดูจากระยะของมันแล้วก็ยังยากที่จะหลบหลีก

หากรวมกับการจับจ้องของดวงตาเทพเจ้า คู่ต่อสู้แทบจะเป็นไปไม่ได้ในการหลบเลี่ยง มีเพียงแค่พลังฝึกตนมากกว่าจ้าวเฟิงมากนักจึงจะมีโอกาส

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มไม่เอ่ยคำใด แม้ความเร็วของเจียงซานเฟิงจะมากกว่านี้หนึ่งเท่าก็ยังยากที่จะหลบหนีไปจากระยะของ ‘กรงเล็บอัสนี’ ได้

กรงเล็บอัสนีนั้นเมื่อปรากฏอยู่เหนือขอบเขตใดจะสร้างกระแสไฟฟ้าให้ความรู้สึกหนึบชาในระดับหนึ่ง จำกัดความเร็วการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้

นอกจากนั้น ในใจของจ้าวเฟิงยังคำนวณทุกการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ หากรวมกับดวงตาเทพเจ้ากระทั่งสามารถคาดเดาถึงการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ล่วงหน้าได้

ครึ่งก้านธูปผ่านไป คนทั้งสามต่างพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิง

หลังจากที่พ่ายแพ้ เจียงซานเฟิงยังเสนอว่าอยากจะ ‘รู้สึก’ ถึงพลังสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง

“ในระดับของพวกเจ้า มันยากที่จะต่อต้านดวงตาของสายเลือดของข้าได้”

จ้าวเฟิงส่ายศีรษะเล็กๆ

“หัวหน้าสาขา เราไม่ได้คิดจะทำความเข้าใจในสายเลือดดวงตาของท่าน เพียงแต่ในงานชุมนุมเซียนมังกรย่อมมีอัจฉริยะผู้ครอบครองสายเลือดดวงตาผู้อื่นปรากฏตัวขึ้น”

เตี๋ยเย่เอ่ยตอบ

“โอ้? เจ้ามั่นใจหรือว่าจะมีปรากฏตัวขึ้น”

“มีแน่นอน”

ใบหน้าของเจียงซานเฟิงเต็มไปด้วยความมั่นใจ

จ้าวเฟิงเปลี่ยนใจ เมื่อคิดว่ากระทั่งในดินแดนสิบสามแคว้นเมฆายังมีหลินทงที่มีสายเลือดดวงตาเช่นนั้น ยามมองไปทั่วทั้งทวีปบุปผาคราม การที่จะมีผู้มีพลังสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นอีกย่อมเป็นเรื่องธรรมดา

“สายเลือดดวงตานั้นหายาก ทว่าทวีปนั้นกว้างใหญ่นัก จากทั้งหมดมีสามตระกูลใหญ่ที่มีพลังสายเลือดดวงตาแข็งแกร่งที่สุด ในงานชุมนุมเซียนมังกร สามตระกูลผู้ครอบครองสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งนี่ย่อมต้องส่งอัจฉริยะที่แข็งแกร่งอย่างมากมาเข้าร่วมในงานชุมนุมเซียนมังกรแน่นอน”

เมื่อเอ่ยถึงสามตระกูลสายเลือดดวงตา สีหน้าของเจียงซานเฟิงและคนอื่นๆ ก็ย่ำแย่ลง

ในงานชุมนุมเซียนมังกรที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นยอดอัจฉริยะมากความสามารถ เมื่อเผชิญหน้ากับอัจฉริยะจากสามตระกูลชนชั้นสูงที่สืบทอดสายเลือดดวงตาก็ต้องพ่ายแพ้ กระทั่งนับได้ว่าพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

“ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งที่แล้ว ข้าเผชิญหน้ากับ ‘เนตรคมสวรรค์’ แห่งตระกูลถัวป๋า ภายใต้พลังดวงตาของเขาได้ส่งดาบที่มองไม่เห็นมาเฉียดคอข้า”

เจียงซานเฟิงเอ่ยน้ำเสียงสั่นสะท้าน

หากเป็นการต่อสู้เอาเป็นเอาตาย ‘เนตรคมสวรรค์’ แห่งตระกูลถัวป๋านั่นย่อมสามารถเฉือนคอหรือแทงหัวใจของเจียงซานเฟิงได้

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกประทับใจ มรดกสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว

ในขณะเดียวกัน ในใจของเขาก็ปรากฏความคาดหวังอย่างมาก

หากสามารถเรียนรู้ถึงวิชาลับสายเลือดดวงตาจำนวนมากย่อมมีประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาดวงตาของตนเอง

ควรรู้ว่าเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงนั้นโดดเด่นในการเรียนรู้ทำความเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องเข้าใจในวิชาอย่างลึกซึ้ง ทว่าสามารถ ‘คัดลอก’ ไปได้ตรงๆ

“ได้ ตามที่เจ้าต้องการ”

จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่เดิม เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหวอย่างเยือกเย็น

คุกลวงตา

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเปิดออก กวาดมองคนทั้งสาม

ตุบ ตุบ

พวกเจียงซานเฟิงทั้งสามทรุดลงบนพื้น เหงื่อเย็นเยียบไหลโชกทั่วร่างเหนื่อยล้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“การรับมือกับคุกลวงตาสามารถเพิ่มความสามารถในการต้านทานพลังจิตลวงตาได้ ข้ามีเนตรหัวใจวิญญาณ ดวงตาแห่งวิญญาณ สามารถควบคุมส่งผลต่อจิตใจได้ ทั้งสามารถแช่แข็งมัน…”

จ้าวเฟิงหัวเราะ

ในยามนี้ วิชาดวงตาของเขาได้เริ่มก่อร่างเป็นระบบแรกเริ่มแล้ว

หลังจากสองวัน

บุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว และผู้อาวุโสอีกสองคนนำพวกจ้าวเฟิงทั้งสี่ออกเดินทางไปพร้อมกัน

เกี้ยวทองมังกรโลหิตนำอยู่เบื้องหน้า ความเร็วเหนือกว่ายอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไป

“เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้คือแท่นดวงดาว ทว่าเหล่าผู้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรทั่วทั้งอาณาจักรสามารถออกเดินทางพร้อมกันได้”

รองจ้าวลัทธิเอ่ย

ราชวงศ์แห่งอาณาจักรรวมตัวกันที่จัตุรัส

นำโดยจินไท่จื่อ เทียนหยุนจือ เหล่าสิบดาราแห่งอาณาจักรได้ปรากฏตัวขึ้นทีล่ะคน

นอกจากนั้น ทั้งราชวงศ์ ลัทธิโลหะเลือด และกลุ่มอำนาจอื่นๆ ยังมีตำแหน่งที่ยังไม่ได้ประกาศออกมา ตัวอย่างเช่นเตี๋ยเย่และตงเซว่

จากภายนอก อาณาจักรมีตำแหน่งเข้าร่วมทั้งหมดสิบตำแหน่ง ทว่าจำนวนตำแหน่งทั้งหมดจริงๆ นั้นคือ 16

เหล่าตัวแทนอัจฉริยะทุกคน ณ ที่แห่งนี้ได้นับ ‘จินไท่จื่อ’ เป็นผู้นำ

จินไท่จื่อยืนอยู่ด้านหน้า ท่าทางกระตือรือร้น จนกระทั่งเห็นจ้าวเฟิงมาถึงสีหน้าจึงเผยความหม่นหมองออกมาเล็กๆ

การมาถึงของจ้าวเฟิงได้นำพาสายตาหวาดเกรงของอัจฉริยะทั้งหลายมา

เด็กหนุ่มไม่สนใจ ปิดตาทำความเข้าใจต่อไป

บัดนี้

ความเข้าใจใน ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ของเขาได้เริ่มมีพื้นฐานแล้วในระดับหนึ่ง

จากนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะทำความเข้าใจ ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ วิชาดวงตาที่ไม่สมบูรณ์นี้

‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ และ ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ เป็นของที่จ้าวเฟิงได้รับมาจากชายชราผมแดงผู้นั้น

‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ เป็นหนึ่งในวิชาพิเศษสำหรับดวงตา ทั้งยังนับได้ว่าเป็นวิชาต้องห้าม

ในใจของจ้าวเฟิงได้เข้าไปในโลกของ ‘ชิ้นส่วนหมิงถง’ อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าอัจฉริยะของอาณาจักรทั้งหมดจะมารวมตัวกันทั้งหมดแล้ว จ้าวเฟิงก็ยังไม่เปิดเปลือกตา

ในตารางการเดินทาง

ผู้อาวุโสสองคนควบคุมปักษาขั้นผู้วิเศษแท้โดยสารร่างของอัจฉริยะทั้งสี่

วิ้วว

การบินกลางเวหานั้นสายลมรุนแรง มักจะเกิดการปะทะอยู่บ่อยๆ

จ้าวเฟิงยังคงจมลึกอยู่ในการทำความเข้าใจสำนึกรู้เช่นแต่ก่อน

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยกระโดดออกมา เรอเป็นกลิ่นเหล้า รับผิดชอบในการดูแลผู้เป็นนาย

ในเกี้ยวทองมังกรโลหิต

รองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัวใบหน้าปรากฏรอยยิ้มขึ้น

เขาวางแผนจะให้จ้าวเฟิงเข้ามาในเกี้ยวทองมังกรโลหิตเพื่อทำความเข้าใจสำนึกรู้ ทว่ามิคาดสัตว์เลี้ยงของอีกฝ่ายเป็นเพียงแมวตัวเล็กๆ ทว่ายังพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

แม้ว่าขนาดของแมวขโมยตัวน้อยจะเล็ก ทว่าพลังและความสามารถของมันนั้นไม่อนุญาตให้ผู้คนดูแคลนได้อย่างแน่นอน

มันยืนอยู่บนไหล่ของจ้าวเฟิง ไม่ว่ากระแสลมจะกวาดผ่านรุนแรงเพียงใด เมื่อเข้าใกล้ร่างของเด็กหนุ่มผมฟ้าก็จะอ่อนกำลังลงกะทันหัน

“แมวนี่…”

รองจ้าวลัทธิจ้องมองแมวขโมยตัวน้อย ท่าทีครุ่นคิด

สัตว์วิเศษชนิดแมวนั้นเขาเคยเห็นมามากนัก ทว่าตัวที่ดูลึกลับไม่ธรรมดานั้นเคยเห็นเพียงสอง

หนึ่งคือตัวตรงหน้า

อีกหนึ่งคือของปราชญ์หอคอย ลิ่วอู

รองจ้าวลัทธิครั้งหนึ่งเคยพบกับปราชญ์ลิ่วอู ในยามนั้นจ้าวลัทธิและผู้ควบคุมทวีปล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

ภายใต้การชี้แนะของปราชญ์ลิ่วอู จ้าวลัทธิจึงได้ตกลงสู่การนอนหลับอันยาวนาน เฝ้ารอคอยแสงแห่งความหวัง

ดวงตาของแมวขโมยตัวน้อยกลอกไปมา ท่าทีราวกับจะนอนหลับ มองไปยังทิศทางของเกี้ยวทองมังกรโลหิตคราหนึ่ง

นัยน์ตาของมันปรากฏความฉลาดเจ้าเล่ห์เกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตใดๆ ที่เกิดมาเพียงหนึ่งหรือสองปีจะมีได้

มิติในดวงตาซ้าย

ในจิตใจของจ้าวเฟิงได้ปรากฏตำราโบราณที่ผุผังเล่มหนึ่ง

ตำราโบราณนั้นค่อนข้างผุผัง ข้อความจำนวนมากพร่าเลือน

“ ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ หากมิใช่สายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งไม่อาจฝึกฝน พลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจะฝึกฝนได้ไม่ต่อเนื่อง…”

จ้าวเฟิงกวาดมองรายละเอียด สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้

ข้อกำหนดในการฝึกฝนวิชาดวงตานี้สูงยิ่งนัก

หนึ่ง ต้องการสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่ง

สอง พลังฝึกตนจะเหมาะสมหากมากกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ขั้นต่ำสุดเองก็อยู่ที่ขั้นนายเหนือแท้

จ้าวเฟิงกวาดมองผ่านๆ ไม่คิดสิ่งใดมาก

เป้าหมายสุดท้ายของ ‘ชิ้นส่วนหมิงถง’ คือการฝึกวิชาดวงตาที่ชั่วร้ายโหดเหี้ยมที่สุด อาจกล่าวได้ว่าเป็นวิชาดวงตาต้องห้าม เนตรแห่งความตาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!