บทที่ 335 : การเตรียมการอย่างเต็มที่
ในที่สุด เป็นเพราะไม่มีผู้ใดท้าประลอง จินไท่จื่อจึงกลายเป็นดาราอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักร เป็นหัวหน้าของผู้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร
จินไท่จื่อลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ ในใจปรากฏความยินดี
การแข่งขันครั้งนี้แรงกดดันมีมากนัก เหล่าอัจฉริยะผู้ครอบครองพรสวรรค์ที่สวรรค์มอบให้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ธรรมดา
ตั้งแต่อันดับสองถึงสี่ ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถสั่นคลอนตำแหน่งของจินไท่จื่อได้ทั้งสิ้น
อันดับสอง หวังเสี่ยวก้วย เมื่อครู่อาการไม่ค่อยดีนัก หากควบคุมอารมณ์ได้ดีอีกหน่อย ไม่แน่ว่าสถานการณ์อาจเปลี่ยนไป
อันดับสาม เทียนหยุนจือ จิตแห่งกระบี่พังทลายและหลอมขึ้นใหม่ พลังต่อสู้ไม่อาจประมาณได้
ทว่าอันดับสองและสามนี้ได้พ่ายแพ้ให้แก่ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิง
เทียนหยุนจือเดิมต้องการจะท้าประลองจินไท่จื่อ แต่เมื่อรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงก็พลันหมดอารมณ์ไป
อันดับสี่จ้าวเฟิง ในสายตาของระดับสูงของขั้วอำนาจทั้งแปด ความแข็งแกร่งกระทั่งอาจเหนือกว่าจินไท่จื่อ
จินไท่จื่อเป็นดาราอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเพียงแค่ในนาม
ในสายตาของหลายๆ คน จ้าวเฟิงคืออันดับหนึ่งที่แท้จริง
เพียงแต่
จ้าวเฟิงนั้น บางทีอาจนับได้ว่าไม่สนใจอันดับหนึ่ง ทำเพียงปิดตาทำความเข้าใจต่อไป
จิตวิญญาณเหมันต์นั้นได้นำพาเขาเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณอันกว้างใหญ่ มีความรู้อันไร้ที่สิ้นสุดลึกล้ำ ทำให้เขาต้องศึกษาทำความเข้าใจ
กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดได้ทำให้จ้าวเฟิงสร้างกฎเกณฑ์ของตนเองสำเร็จในระดับหนึ่ง นี่ นับเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น
งานชุมนุมเซียนมังกรจะเริ่มขึ้นในอีกหลายเดือน จ้าวเฟิงต้องฉวยโอกาสทุกวินาทีเอาไว้
การแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งเข้าถึงช่วงสุดท้ายในที่สุด
แปดขั้วอำนาจที่อยู่ในที่แห่งนั้นแยกตัวออกไป
จ้าวเฟิงทิ้งสติเพียงน้อยนิดไว้ด้านนอก จิตใจส่วนมากเพ่งไปยังการทำความเข้าใจ
บุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว ลอบผงกศีรษะ บอกทุกคนไม่ให้รบกวนจ้าวเฟิง
ทุกคนกลับไปยังกองบัญชาการลัทธิโลหะเลือดโดยไร้ซึ่งคำพูดใด
โถงหลักโลหะเลือด
เถี่ยหมัวเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ตำแหน่งเข้าร่วมงานมีทั้งหมด 10 ตำแหน่ง ลัทธิโลหะเลือดของข้าได้ครอง 2 ตำแหน่ง นับว่าประสบความสำเร็จ”
เหล่าระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดทั่วทั้งใบหน้าแดงซ่าน รู้สึกภาคภูมิใจ
การที่มีคนจำนวนมากได้ครอบครองตำแหน่งนั้นเป็นเพราะเหตุผลหนึ่ง
เหล่าบุคคลระดับสูงจำนวนมากสายตาจ้องมองไปยังจ้าวเฟิง
เด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นี้กำลังหลับตาอยู่ ทว่าไม่มีผู้ใดคิดว่าเขายโสโอหัง
ในงานแข่งขันแย่งชิงตำแหน่ง จ้าวเฟิงใช้หนึ่งฝ่ามือหนึ่งฝ่าเท้าส่งร่างของจินไท่จื่อให้กระเด็นลอยไป หนึ่งการมองในเสี้ยววินาทีจัดการหวังเสี่ยวก้วย เพียงคิดพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแล้ว
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้ครองอันดับหนึ่ง แต่อัจฉริยะอันดับหนึ่งและสองก็ได้สั่นคลอนในมือเขา
อย่างน้อยในความคิดของผู้คน จ้าวเฟิงคือดาราอันดับหนึ่งของอาณาจักร
“การแข่งขันสำหรับตำแหน่งเข้าร่วมของอาณาจักรเป็นเพียงปาหี่เล็กๆ ฉากหนึ่ง ความท้าทายที่แท้จริงนั้นอยู่ใน ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ สถานที่ถือกำเนิดของอัจฉริยะเซียนมังกรทั้งร้อยที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของทวีป เป็นผู้ชี้นำในครานี้”
สายตาของบุรุษผมสีเลือด เถี่ยหมัว ปรากฏความคาดหวังขึ้น
งานชุมนุมเซียนมังกร เขาได้เฝ้ามองมาหลายสิบครั้ง
ทว่าครานี้พิเศษนัก อัจฉริยะมากพรสวรรค์จากหลากหลายดินแดนปรากฏตัวขึ้นราว หน่อไม้ที่เติบโตขึ้นหลังฝนตก เหนือกว่ากาลก่อนหลายสิบเท่า
หากมิเป็นเช่นนั้น โอกาสที่มรดกความลับสวรรค์และทวีปจะเชื่อมต่อกันย่อมไม่สูงเพียงนี้
ในยามนี้
จ้าวเฟิงเองก็เปิดเปลือกตา มิรู้ว่าความรู้สึกยิ่งใหญ่ในครานี้นับเป็นโชคดีหรือโชคร้าย
“งานชุมนุมเซียนมังกรนี้ ลัทธิโลหะเลือดของข้าจะมีจ้าวเฟิง เจียงซานเฟิง เตี๋ยเย่ และตงเซว่เข้าร่วมสี่คน”
เถี่ยหมัวเอ่ยประกาศออกมา
เหตุใดจึงกลายเป็นสี่คน?
จ้าวเฟิงสงสัย
“เป็นเช่นนี้ ลัทธิโลหะเลือดของเรานับเป็นสำนักที่มีระดับครึ่งดารา ในจุดสูงสุดกระทั่งใกล้เคียงกับระดับหนึ่งดารา เทียบเท่าได้กับสิบยอดสำนัก ดังนั้นแล้วลัทธิโลหะเลือดจึงได้ครอบครองตำแหน่งที่ยังไม่ได้ประกาศอีกสองตำแหน่ง ทั่วทั้งอาณาจักรนภามีเพียงราชวงศ์ ลัทธิโลหะเลือด สำนักเจี่ยนจง และกลุ่มอำนาจอีกจำนวนน้อยนิดที่ได้รับเกียตรินี้ สี่ตระกูลและคนอื่นๆ นับว่าคุณสมบัติด้อยกว่า”
หัวหน้าสาขาคนหนึ่งเอ่ย
จ้าวเฟิงเข้าใจขึ้นในทันที
หากจะพูดในเรื่องของความแข็งแกร่งแล้ว ลัทธิโลหะเลือดสามารถเทียบเคียงกับแคว้นใหญ่บางแคว้นได้ กระทั่งเหนือกว่า
แคว้นใหญ่มีสองตำแหน่ง ลัทธิโลหะเลือดเองก็ย่อมต้องมีอยู่บ้าง
เมื่อระดับของชุมชนใหญ่มากพอจะมีตำแหน่งให้เข้าร่วม
เหมือนเช่นที่สำนักและกลุ่มอำนาจอื่นๆ ที่ระดับสูงพอจะได้รับตำแหน่ง
การจัดระดับของกลุ่มอำนาจนั้นเป็นเช่นเดียวกับการนับดาวของสำนักโบราณ
สำนักระดับครึ่งดารามีสองตำแหน่ง ตัวอย่างเช่นลัทธิโลหะเลือด
สำนักระดับหนึ่งดารา มีตำแหน่งมากถึงสิบตำแหน่ง ตัวอย่างเช่นสำนักเทียนหยวนแห่งทวีปเหนือ
“สำนักหนึ่งดารา อย่างน้อยมีผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคอยควบคุมและข้อกำหนดอื่นๆ อีก หากเป็นเช่นนี้ สิบสำนักของทวีปย่อมมีผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”
ในใจของจ้าวเฟิงมีความเข้าใจชัดเจน
“ครึ่งเดือนต่อไป พวกเจ้าทั้งสี่จะไปยัง ‘แท่นดาวเหนือ’ ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายดาวเหนือในการไปยังดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของทวีปกลางโดยตรง ในยามนั้น อัจฉริยะของสามอาณาจักรแห่งทวีปเหนือ อัจฉริยะจากแคว้นใหญ่และยอดสำนัก รวมทั้งสำนักเทียนหยวนจะรวมตัวกันที่นั่น”
เถี่ยหมัวเอ่ยอธิบายตารางการเดินทาง
แท่นดาวเหนือเป็นจุดรวมพลของทั้งทวีปเหนือ
ทวีปบุปผาครามแบ่งออกเป็น เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และอื่นๆ เป็นต้น
จุดศูนย์กลางของแต่ละดินแดนคือแท่นดวงดาวที่จะมุ่งหน้าตรงไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของทวีปกลาง
แน่นอนว่ามันมิใช่ว่าผู้ใดก็ตามจะสามารถใช้แท่นดวงดาวได้ดั่งที่ใจปรารถนา
หลังจากที่รับรู้ถึงตารางการเดินทาง จ้าวเฟิงก็กลับไปยังที่พักและเริ่มปิดด่านฝึกตนในทันที
เจียงซานเฟิง เตี๋ยเย่ และตงเซว่ คนทั้งสามมักจะหาเวลามาประลองกันเพื่อแลกเปลี่ยนวิชา
ทว่าพวกเขาไม่ได้ไปหาจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงและพวกเขา ชัดเจนว่าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
กระทั่งเจียงซานเฟิงยังนับได้ว่าห่างไกล
ในสถานที่มืดทึม
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท มิติในดวงตาซ้ายได้กระตุ้น ‘กฎเกณฑ์แห่งสายเลือด’ อย่างไม่หยุดยั้ง
กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของเขาอิงมาจากจินไท่จื่อและคนอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงและหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาเล็กๆ
หากจะพูดในยามนี้ กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดนี้ยังนับว่าหยาบกระด้าง ไม่สมบูรณ์อยู่บ้าง
“พลังสายเลือดของข้าพิเศษมากนัก มีแก่นกลางอยู่ที่ดวงตาเทพเจ้า แม้ได้รับประโยชน์จากกฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของผู้อื่นมา ก็ต้องพึ่งพาตนเองในการคิดค้นอย่างช้าๆ”
จ้าวเฟิงถอนหายใจอย่างหดหู่
กฎเกณฑ์แห่งสายเลือด ของแบบนี้นั้นหากจ้าวเฟิงจะเอ่ยขอ ลัทธิโลหะเลือดย่อมจัดหาให้
ทว่าทางแห่งสายเลือดของเขาจำเป็นต้องพึ่งพาตนเองมากกว่า
หลังจากผ่านไปหลายวัน
จ้าวเฟิงได้ประโยชน์จากกฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของผู้อื่นจำนวนมาก กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของตนเองได้พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อจ้าวเฟิงเริ่มคิด พลังสายเลือดก็แปรเปลี่ยนกลายไปเป็นเส้นสายจำนวนมาก โคจรในร่างอย่างไม่หยุดยั้ง ทว่าราวกับมีสติปัญญาเป็นของตนเอง ไม่เข้ากระทบกระทั่งกัน
เปิด!
จ้าวเฟิงตวาดเบาๆ พลังสายเลือดทั้งหลายแยกออกไปนับร้อย บางส่วนหลอมรวมเข้ากับปราณจิตวิญญาณ บางส่วนเกาะติดอยู่กับร่างกาย
ในเสี้ยววินาที
ทั่วทั้งร่างของเด็กหนุ่มปรากฏลวดลายสีฟ้าอ่อนขึ้น สายลมพัดหวน ปรากฏเงาร่างสีฟ้าพร่าเลือนขึ้นจางๆ
จ้าวเฟิงเข้าใจว่าเงาร่างสีฟ้านั้นคือ ‘บรรพบุรุษแห่งสายเลือด’ สายเลือดของตนเอง ทว่าบางส่วนอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์
หากสายเลือดมีความเข้มข้นต่ำเกินไป แม้จะสามารถปรากฏได้เพียงรูปร่างก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว
การที่จะทำให้ปรากฏรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์ของบรรพบุรุษ ระดับการย้อนคืนของสายเลือดต้องมากกว่ากึ่งหนึ่ง
ฮู้
เมื่อความคิดของจ้าวเฟิงเคลื่อนไหว พลังสายเลือดก็ได้สลายไปอย่างรวดเร็ว หลอมรวมเข้ากับร่างกาย หายไปไร้ซึ่งร่องรอย
ในยามนี้ กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของเขา เมื่อเทียบกับงานชิงตำแหน่งแล้วนับว่าแข็งแกร่งกว่าหลายส่วน โดยเฉพาะระดับความบริสุทธิ์ ด้านความคล่องแคล่วและการควบคุมนับว่าพัฒนาขึ้นอย่างมาก
หลังจากที่กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดได้มั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว จ้าวเฟิงจึงเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณโบราณ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’
หนทางแห่งวิญญาณโบราณนั้นมีระบบที่กว้างใหญ่ เคล็ดวิชาพลังจิตในทุกวันนี้เป็นเพียงหนึ่งในกิ่งก้านเล็กๆ ของมันเท่านั้น
หนทางวิญญาณนั้นก่อกำเนิดมาจากวิชาวิญญาณที่ลึกล้ำยิ่งกว่า
พลังจิตก็ก่อกำเนิดขึ้นโดยมีวิญญาณเป็นแก่นกลาง
ในจิตวิญญาณเหมันต์ หนทางแห่งวิญญาณโบราณเป็นแก่นแท้ความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนมากเป็นการหลอมรวม ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ เข้าด้วยกัน
จิตวิญญาณเหมันต์ แก่นแท้ของหนทางวิญญาณแห่งธาตุเหมันต์
“หนทางของจิตวิญญาณเหมันต์นี้ ด้วยความสามารถของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของข้าในยามนี้นับว่าเหมาะสมกัน ค่อนข้างสะดวกในการฝึก”
จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ
ที่น่าเสียดายมีเพียงข้อมูลในจิตวิญญาณเหมันต์ไม่สมบูรณ์ ทำให้ระบบของมันไม่สมบูรณ์
แม้กระนั้น จ้าวเฟิงก็ยังคงยินดี
หากไม่ได้ครอบครอง ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ นี้ เขาย่อมไม่อาจที่จะสัมผัสถึงความสามารถของสายเลือดดวงตาของเขาได้
ในสถานการณ์เช่นนั้น เขาอาจสามารถครองได้เพียงหนึ่งในห้าสิบอันดับแรก
ทว่าเมื่อได้ครอบครอง ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ นี้ความหวังก็เพิ่มมากขึ้น อาจครอบครองหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกได้
ในเสี้ยวพริบตา เวลาหลายวันได้ผ่านไป
ในข้อมูลของ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ ชั้นแรกของจ้าวเฟิง ‘พื้นฐานจิตวิญญาณเหมันต์’ นับได้ว่าเข้าใจไปมากกว่าครึ่งแล้ว
ชั้นที่สอง พลังจิตวิญญาณเหมันต์ แก่นแท้ลึกล้ำ การทำความเข้าใจนับว่าค่อนข้างยากลำบาก
ทว่ายิ่งความเข้าใจในหนทางแห่งวิญญาณโบราณลึกล้ำขึ้นเท่าใด ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงก็ยิ่งพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
มิติในดวงตาซ้าย
บ่อน้ำสีฟ้าเย็นขยายออกเป็นเก้าฟุต
อาจประมาณได้ว่ามันกว้างถึงหนึ่งหลา ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงนับว่าเทียบเท่ากับขั้นผู้วิเศษแท้ได้
“บางทีอาจไม่มีผู้ใดที่มีพลังต่ำกว่าขั้นผู้วิเศษแท้ที่สามารถต่อต้านหนึ่งการมองของข้าได้ กระทั่งขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปบางคนยังอาจทำไม่ได้”
จ้าวเฟิงมีความมั่นใจอยู่ในใจ
ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาเข้าสู่ขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด
แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกตนระดับเดียวกันหลายเท่าตัว ทว่ายังมีบางส่วนที่ยังไม่อาจนำความสามารถออกมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์
ดวงตาเทพเจ้านั้น หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปที่จิตใจไม่แข็งแกร่งมากนัก หรือถูกมองเห็นจุดอ่อนโดยจ้าวเฟิง มีโอกาสที่จะได้ผลมากนัก
ในวันนี้
จ้าวเฟิงได้ออกจากการปิดด่านฝึกตนในที่สุด
เวลาที่จะออกเดินทางยังเหลืออีกสองวัน
เด็กหนุ่มนึกถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่เขามอบหมายให้อาจารย์เถี่ยกานทำได้
“หัวหน้าสาขา นี่คืออาวุธที่อาจารย์เถี่ยกานสร้างให้ท่าน”
เตี๋ยเย่นำกล่องโลหะสีดำออกมา
เมื่อจ้าวเฟิงเปิดฝากล่องโลหะสีดำนั้น กลิ่นอายเย็นเยียบก็พลันแพร่กระจายออกมา
เมื่อมองไปภายในกล่อง แสงสีฟ้าได้ส่องประกายเข้าไปในสายตาของผู้มอง
จ้าวเฟิงนำคันธนูสีฟ้าใสออกมา รูปลักษณ์เหมือนเช่นคันศรหลัวซุย ทว่าใหญ่กว่า
สายธนูนั้นปรากฏประกายสายฟ้า สะท้อนตอบสนองกับปราณจิตวิญญาณในร่างของเด็กหนุ่ม
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
ลูกธนูสีดำประกายเงินพุ่งกลับมาราวกับสายฟ้า
“ธาตุน้ำแข็งของคันศรนี่กับสายเลือดข้าเข้ากันได้ดี ธาตุอัสนีที่สายคันศรตอบสนองต่อมรดกอัสนีของข้า ลูกศรทั้งสามนี้แหลมคม ยอดเยี่ยมในการเจาะทะลวง พลังที่ส่งผ่านจะถูกเสริมขึ้นอย่างมาก…”
สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองและสรุปออกมา
คันศรหลัวซุยคันใหม่นี้ ทั้งตัวคันศรและลูกธนูเข้าใกล้อาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับกลาง
ในจุดนี้นับว่าน่าอัศจรรย์นัก ทำให้จ้าวเฟิงต้องผงกศีรษะอย่างชื่นชม
ยอดฝีมือขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปสามารถใช้อาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับต่ำได้ หากใช้อาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับกลางจะสูญเสียพลังมากเกินไป นับว่ายากลำบากอยู่บ้าง
มีเพียงในขั้นผู้วิเศษแท้ที่สามารถแสดงพลังของอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับกลางออกมาได้จนถึงขีดสุด
พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาและผ้าคลุมเงาหยินนับเป็นกรณีพิเศษ เป็นสมบัติชั้นมรดก สามารถปรับตัวเข้ากับพลังฝึกตนและสายเลือดได้ แสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
รวมทั้ง
คันศรหลัวซุยและลูกธนูหลัวซุยนั้นต่างเป็นส่วนประกอบของกันและกัน
เมื่อใช้อาวุธชั้นจิตวิญญาณสองชิ้นพร้อมกัน พลังที่ต้องใช้ไปนั้นน่าพรั่นพรึงนัก
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือระดับของคันศรและลูกธนูนี้เข้าใกล้ชั้นจิตวิญญาณระดับกลาง ทว่ายังไม่ถึงชั้นจิตวิญญาณระดับกลาง
“ทั้งสองใช้ร่วมกัน พลังอาจนับได้ว่าเหนือกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณระดับกลางทั่วไป ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ข้าไม่ด้อยกว่าเท่าใด”
จ้าวเฟิงสัมผัส ‘คันศรหลัวซุย’ อย่างแผ่วเบา มันส่องเสียงครืนครางพร้อมกับสั่นสะท้านเล็กๆ บนพื้นผิวปรากฏตราสีฟ้าเย็น เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วนับว่าพลังด้อยลงไม่มากนัก
ดังนั้นแล้ว อาวุธที่จะใช้ในงานชุมนุมเซียนมังกรของจ้าวเฟิงจึงได้รับการพัฒนาเสร็จสมบูรณ์