บทที่ 334 : อันดับหนึ่งของอาณาจักร (3)
ฟุ่บ
ฝ่ามือของจ้าวเฟิงถูกผลักไปด้านหน้า ใบหูพลันปรากฏเสียงคำรามของสายลมอันเย็นเยียบ พลังของฝ่ามือนั้นปรากฏเงาร่างเย็นเยียบกลุ่มหนึ่งปะปนอยู่ ความเย็นของมันเสียดแทงเข้าไปในกระดูก
เทียนหยุนจือและหลิวฉินซินที่นั่งอยู่ข้างๆ มองจ้าวเฟิงด้วยสายตาตื่นตะลึง
พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงได้โคจรไปพร้อมกัน เบื้องหลังร่างของเด็กหนุ่มปรากฏเงาพร่าเลือนสีฟ้าเย็น ดูราวกับเทพเจ้าบรรพกาลที่ข้ามผ่านห้วงเวลาลงมาจุติ
จินไท่จื่อถูกโจมตีกะทันหัน ความเร็วของฝ่ามือนั้นมากนัก รับแรงโจมตีจากฝ่ามือที่มีพลังสายเลือดของจ้าวเฟิงเข้าไปเต็มๆ
“พรวด ตูม”
ประกายกระแสไฟฟ้าแตกกระจายออกเป็นสี่ทิศ เงาร่างสีฟ้าเย็นคำรามลั่นระเบิดออก พลังรุนแรงกลืนกินร่างของจินไท่จื่อเข้าไป
พรวด
จินไท่จื่อกระอักโลหิตที่อมไว้ในปากออกมา
ร่างกายแสนแข็งแกร่งน่าหวาดกลัวของเขารับรู้ได้ถึงความเย็นเสียดแทงถึงกระดูกที่แพร่กระจายกัดกินไปทั่วทั้งร่างจนสั่นสะท้านขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“บัดซบ”
จินไท่จื่อบาดแผลเพิ่มขึ้น โลหิตทั่วทั้งกายราวกับจับตัวแข็ง ไม่เว้นแม้แต่พลังสายเลือดและปราณจิตวิญญาณที่จับตัวเป็นก้อน การโคจรทำได้ยากลำบากนัก
ในสายตาของผู้คน ทั่วทั้งร่างของจินไท่จื่อถูกครอบคลุมไปด้วยน้ำแข็งสีฟ้าอ่อน แข็งเกร็งงุ่มง่าม
“จ้าวเฟิง เหตุใดเจ้าจึงลอบโจมตีข้า”
จินไท่จื่อคำรามออกมาอย่างกราดเกรี้ยว คนเลวเอ่ยโทษก่อน ลอบโคจรพลังสายเลือดและปราณจิตวิญญาณในร่างหลอมละลายความเย็นเยียบน่าพรั่นพรึงที่ครอบคลุมร่างกายออก
ฟิ้ว
ร่างของเด็กหนุ่มผมฟ้าพุ่งวาบ ปรากฏตัวขึ้นข้างกายจินไท่จื่อ ยกเท้าถีบออกโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
เปรี้ยง
จินไท่จื่อถูกถีบออกจากแท่นโดยฝ่าเท้าหนึ่ง ร่างสูงใหญ่ทรงพลังกระเด็นออกไปหลายสิบหลาในทันที
พรวด
ในเสี้ยววินาที ร่างของจินไท่จื่อก็ร่วงลงที่พื้นพร้อมกระอักโลหิต ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกราดเกรี้ยวหรือไม่ที่ทำให้อาการบาดเจ็บรุนแรงยิ่งขึ้น
เหล่าคนดู ทั้งยอดฝีมือจากทั้งแปดขั้วอำนาจและเหล่าอัจฉริยะนิ่งอึ้ง มองตรงไปยังจ้าวเฟิงด้วยใบหน้าโล่งว่าง
“เด็กนี่มีพลังสายเลือดเทพเจ้าที่บริสุทธิ์ยิ่งนัก กระทั่งเหมือนกับว่าเหนือกว่าจินไท่จื่ออยู่เล็กๆ”
“การเสริมพลังของสายเลือดนั้นสามารถเทียบกับจินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วยได้ ทั้งยังมีพลังธาตุเหมันต์ลึกลับอยู่ด้วย”
“เงาร่างเบื้องหลังเขาแสดงถึงพลังสายเลือดโบราณใดกัน? อย่าได้บอกข้าว่าเป็นสายเลือดหนึ่งใน ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ เชียว? มันเป็นไปไม่ได้”
เหล่ายอดฝีมือจากขั้วอำนาจทั้งแปดของอาณาจักรอุทานออกมาอย่างตื่นตะลึงและเอ่ยพูดคุยคาดเดากัน
“เมื่อใช้ผ่านกฎเกณฑ์แห่งสายเลือดทำให้สามารถใช้พลังสายเลือด เทียบกับแต่ก่อนแล้วพลังยังมากกว่าเดิมมากกว่าหนึ่งส่วน การโจมตีพลังสายเลือดยังมีธาตุเหมันต์ปะปน…”
จ้าวเฟิงกลับไปนั่งที่ ลอบผงกศีรษะ
ฝ่ามือเมื่อครู่ย่อมสามารถข้ามขั้นไปคุกคามผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ได้ ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปเพียงหนึ่งฝ่ามือเมื่อครู่ร่างกายก็สามารถกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไป
หากเปลี่ยนเป็นโจรเถาชานเฟ่ยก่อนหน้า บางทีอาจจะไม่มีกระทั่งโอกาสหลบหนี
อัจฉริยะผู้ครอบครองพลังสายเลือดควรค่าที่จะเรียกเป็นบุตรที่สวรรค์เลือกสรร
แน่นอนว่าพลังป้องกันกายภาพอันแข็งแกร่งของจินไท่จื่อ ‘สายเลือดสุกรทอง’ ทำให้ผิวหนังหนาขึ้นก็อยู่ เหนือกว่าการคาดเดาของจ้าวเฟิง
อีกฝ่ายนั้นสามารถรับฝ่ามือของเขาได้ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บจากความเย็นรุนแรงที่แทรกซึม ทว่าไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ควรค่าที่จะได้รับการเรียกขานว่าเป็นพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักร
รวมทั้งจินไท่จื่อผู้นี้เมื่อครู่ต่อสู้ประลอง ปราณแท้พลังสายเลือดใช้ไปจำนวนมาก ทั้งยังอยู่ในสภาพบาดเจ็บ
“จ้าวเฟิง ไอ้ตัวเลวร้ายนี่กล้าลอบโจมตี ใช้วิธีการต่ำช้าไร้ยางอาย ไม่สมเป็นบุรุษเอาเสียเลย หากมีฝีมือก็จงมาต่อสู้กันตรงๆ”
จินไท่จื่อฝืนยันตัวลุกขึ้นยืนจากพื้น ทั่วทั้งใบหน้าระบายไปด้วยความเกลียดชังโกรธแค้น
เขาคิดจะใช้แรงจากการปะทะนั้นในการฆ่าจ้าวเฟิง ทว่าผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายจะรวดเร็วเพียงนี้ ไม่เพียงตอบโต้ธรรมดา ทว่ายังระเบิดพลังสายเลือดที่น่าพรั่นพรึงออกมาด้วย
“ฮี่ฮี่ เจ้ากล้าที่จะสู้กับข้าตอนนี้?”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“เจ้า…”
จินไท่จื่อชะงักไป ความโกรธเกรี้ยวพุ่งทะยาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย
ทว่าสถานการณ์ของเขาในยามนี้ ร่างกายได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปราณจิตวิญญาณใช้ไปจำนวนมาก มีหรือจะมีความมั่นใจในการประลองกับจ้าวเฟิงที่พลังลึกล้ำไม่อาจคาดคำนวณ
เมื่อครู่ที่จ้าวเฟิงระเบิดพลังสายเลือดโจมตี ทำให้จินไท่จื่อร่างกายสั่นสะท้านอยู่เป็นเวลานาน
ฝ่ามือเมื่อครู่พลังโจมตีน่าหวาดผวา ทั้งยังสามารถทำลายการป้องกันของพลังสายเลือดของเขาได้อีกด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้น พลังสายเลือดของอีกฝ่ายยังมีสมบัติความเย็นกัดกร่อน ทำให้ร่างกายของเขาเกือบจะถูกแช่แข็ง ปราณจิตวิญญาณและพลังสายเลือดถูกสกัดกั้น
หากจ้าวเฟิงไม่ได้โจมตีเพียงแค่ฝ่ามือเดียว แต่เป็นหลายฝ่ามือติดต่อกัน ไท่จื่อหนุ่มก็ยากที่จะคาดคิดถึงผลที่จะตามมา
“เจ้าวายร้ายไร้ยางอาย จินไท่จื่อผู้นี้มิใช่ของเล่นของเจ้า เมื่อข้าฟื้นตัวแล้วข้าจะมาสู้กับเจ้าอีกครั้ง”
จินไท่จื่อตวาดอย่างกราดเกรี้ยว สูญเสียศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิง
หากเขาโอ้อวดไม่ประมาณตน ท้าประลองจ้าวเฟิงในสภาพนี้ โอกาสพ่ายแพ้มีมากกว่าชนะอยู่หลายส่วนนัก
“จ้าวเฟิง เจ้าวายร้ายนี่ มิคาดในร่างมีพลังสายเลือดที่ทรงพลัง บางทีแม้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม จินไท่จื่อก็อาจมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“พลังสายเลือดของจินเอ๋อร์เพิ่มพลังและการป้องกันทางกายภาพอย่างมาก ไม่ถนัดด้านความเร็ว เมื่อต่อสู้กันจ้าวเฟิงผู้นั้นจะเหมือนเช่นโซ่เหล็กที่คอยฉุดรั้งเขา”
คนระดับสูงฝ่ายราชวงศ์ ผู้อาวุโสหลายคนลอบส่งเสียงผ่านกระแสจิตอย่างเงียบๆ
“จินไท่จื่อมิอาจนับเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้จริงๆ มีเพียงแค่ยอมแลกเปลี่ยนใช้วิชาต้องห้าม…”
ฉินหวางเฟยถอนหายใจเบาๆ สายตาที่มองไปยังจ้าวเฟิงปรากฏความย่ำแย่ลงหลายส่วน
ตัวจ้าวเฟิงนั้นมีความเร็วสูงเป็นพิเศษ พลังสายเลือดมีธาตุเหมันต์ สามารถฉุดถ่วงความเร็วการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้ เมื่อต่อสู้กับอีกฝ่าย จินไท่จื่อดูจะสามารถทำได้เพียงรับการโจมตีไม่อาจตอบโต้
“ฮ่า… เขาไม่กล้าสู้กับเจ้า แต่ข้ากล้า”
เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้นจากลานประลองที่พังทลายอีกฝั่ง
เจ้าของคำพูดนั้นคือหวังเสี่ยวก้วย
ถึงแม้หวังเสี่ยวก้วยได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ทว่าความสามารถในการต่อสู้ยังไม่เลวร้าย นอกจากนั้นสายเลือดโบราณของเขายังพิเศษมาก ยิ่งได้รับบาดเจ็บมากเท่าใด พลังต่อสู้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น
คนจำนวนมากจึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงหวังเสี่ยวก้วย รวมทั้ง ‘ผู้ที่ล้มลงและลุกขึ้นใหม่’ เทียนหยุนจือที่ไม่วางแผนจะประลองกับเขา
มีเพียงจินไท่จื่อที่มีพลังสายเลือดสุกรทอง พึ่งพาพลังป้องกันกายภาพที่เกินกว่าปกติในการต่อสู้กับหวังเสี่ยวก้วยตรงๆ
“หวังเสี่ยวก้วยผู้นี้…”
จ้าวเฟิงคิ้วมุ่นเข้าหากัน ไม่ขยับ
พลังสายเลือดของอีกฝ่ายพิเศษจริงๆ ยิ่งบาดเจ็บมากเท่าใด พลังต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
“เจ้าคนผมฟ้า เจ้าดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าจินไท่จื่อ จงออกมาประลองกัน”
หวังเสี่ยวก้วยท่าทีเร่งร้อน ท้องฟ้าเหนือลานประลองที่พังทลายส่งเสียงดัง
“วายร้ายจ้าวเฟิง ออกมาประลองสิ”
“วายร้ายจ้าวเฟิง ทำเพียงแค่ลอบโจมตี ถ้ามีความสามารถก็ออกมาประลองตรงๆ สิ”
“เฮ้ เจ้าวายร้ายนี้เมื่อครู่ลอบโจมตีจินไท่จื่อ ความสามารถไม่มากนัก บัดนี้กลายเป็นเต่าหดหัวไปเสียแล้ว”
อัจฉริยะจำนวนมากรอบลานประลองเอ่ยตะโกนประณามเสียงดัง
เป้าหมายที่พวกเขาเอ่ยประณามนั้นคือเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีที่ทำให้ทั่วทั้งอาณาจักรต้องสั่นสะเทือนเลือนลั่น
ได้รับสมบัติสายธารจันทรา… จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน… ครองตำแหน่งหัวหน้าสาขาลัทธิโลหะเลือดที่เยาว์วัยที่สุด… ครอบครองพื้นที่ทั้งพันธารา
บัดนี้
เขานับเป็นคนที่โด่งดังที่สุดของอาณาจักรแล้ว
อายุเพียงเท่านั้น ประสบความสำเร็จมากมายเพียงนี้ ทั้งพลังเกียรติยศเลื่องลือ ทำให้เหล่าดาราอันรุ่งโรจน์จำนวนมากของอาณาจักรต้องริษยา
ทว่า
จ้าวเฟิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ปิดเปลือกตาท่าทีไม่ใส่ใจ
เขาอยู่ในระหว่างการทำความเข้าใจวิธีการใช้พลังสายเลือด พยายามที่จะพัฒนามันขึ้นไปกว่าเดิม สร้างระบบของตนเองเพียงผู้เดียว
ความจริงแล้ว ความสามารถในการเรียนรู้ของสายเลือดดวงตานั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก สามารถคัดลอกข้อมูลรูปแบบบางอย่างได้อย่างง่ายดาย
ทว่าสิ่งของของผู้อื่น ที่สุดแล้วก็เป็นเพียงของผู้อื่น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเหมาะสมกับตัวมัน
“เจ้าเด็กผมฟ้า ต่อให้เจ้าไม่ต้องการสู้ก็ต้องสู้”
หวังเสี่ยวก้วยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง วาดกระบองสีเงินทองไปยังร่างของจ้าวเฟิง
กรรมการ และผู้คุมกฎของราชวงศ์ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นจงใจไม่ขัดขวาง มุมปากกระทั่งปรากฏรอยยิ้มยินดีในโชคร้ายของผู้อื่น
“ไอ้เด็กบ้า อย่าทำอะไรบ้าๆ จ้าวเฟิงคือคนของลัทธิโลหะเลือด เป็นพันธมิตรกับสำนักเฟิงหยุนของข้า”
จ้าวสำนักเฟิงหยุนสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ส่งเสียงผ่านจิตไปหยุดอีกฝ่ายอย่างเร่งรีบ
ทว่าในยามนี้ หวังเสี่ยวก้วยเข้าสู่สภาวะเสียสติ ไม่สนใจฟังคำของผู้อื่น โดยปกติแล้วเขาก็ไม่เคยทำตามกฎเกณฑ์ หลายครั้งแล้วที่ไม่สนใจฟังคำของจ้าวตำหนัก
คุกลวงตา
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพลันเปิดขึ้น
ดวงตาซ้ายเย็นเยียบไร้ความรู้สึก ราวกับแผ่ขยายออกเป็นบ่อน้ำเหมันต์ที่ลึกล้ำไร้ก้นบึ้ง กระทั่งลึกลงไปเรื่อยๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีพลังกายเกินธรรมดา จ้าวเฟิงก็ไม่คิดจะปะทะกับอีกฝ่ายตรงๆ มันนับเป็นการกระทำที่ไร้ค่า
ฟุบ
หวังเสี่ยวก้วยจิตใจหนาวเยือก บรรยากาศเย็นเยียบแทรกซึมเข้าไปในจิตใจ
ครึ่งลมหายใจ หนึ่งลมหายใจ หนึ่งลมหายใจครึ่ง…
ตุบ
หวังเสี่ยวก้วยกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เหงื่อเย็นเยียบไหลโชกทั่วร่าง กัดฟันกรอด สายตาจับจ้องไปยังจ้าวเฟิงด้วยความหวาดกลัวตื่นตะลึง “เจ้า…”
ในคุกลวงตาที่มั่นคง เขาได้ถูกทรมานโดยจ้าวเฟิงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
จ้าวเฟิงจำต้องยอมรับว่าจิตใจของอีกฝ่ายแข็งแกร่งอย่างมาก
สิ่งที่หวังเสี่ยวก้วยเชี่ยวชาญนั้นคือการฝึกกาย พลังทางกายภาพแข็งแกร่งเป็นพิเศษ จิตใจเองก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง น่าเสียดายที่เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เชี่ยวชาญด้านพลังจิต รวมทั้งจ้าวเฟิงยังก้าวเข้าสู่หนทางแห่งวิญญาณเหมันต์อีกด้วย
เฮือก
เหล่าผู้ชมที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นจำนวนมาก รวมทั้งอัจฉริยะที่ได้รับตำแหน่งต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบ ตื่นตะลึงไม่อาจเทียบเคียง
คนผู้นี้นับว่าน่าตื่นตะลึงตามที่ได้ยินมาโดยแท้
เพียงจ้าวเฟิงกวาดตามอง หนึ่งวินาทีจัดการหวังเสี่ยวก้วยได้
กระทั่งจินไท่จื่อที่กลับไปนั่งที่เดิม สีหน้ายังแข็งทื่อ ความไม่พอใจเคืองแค้นในใจสลายหายไปในอากาศ
แน่นอนว่า
การที่จ้าวเฟิงไม่ได้ใช้ ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ ในครานี้และใช้ ‘คุกลวงตา’ แทนนั้นมีเหตุผล
เนตรจิตวิญญาณเหมันต์มีพลังโจมตีต่อจิตใจที่รุนแรงมาก อาจทำให้คู่ต่อสู้ตกสู่สภาวะจิตใจแหลกสลาย มีความเสี่ยงมากเกินไป
ทว่าคุกลวงตานั้นเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ที่สุดแล้วมีพื้นฐานมาจากพลังจิตลวงตา การโจมตีหลักเป็นการเผาผลาญพลังจิตของอีกฝ่ายจนกระทั่งเหนื่อยอ่อนหรือสลบไป
หวังเสี่ยวก้วยมาจากสำนักเฟิงหยุน เป็นพันธมิตรกับลัทธิโลหะเลือด
การโจมตีของจ้าวเฟิงย่อมออมมือไว้หน้า
หลังจากใช้หนึ่งการมองเอาชนะหวังเสี่ยวก้วย จ้าวเฟิงก็ปิดเปลือกตาลงอย่างเงียบงัน
ที่โจมตีเมื่อครู่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับกายแม้แต่น้อย
“พลังสายเลือดดวงตาของเด็กหนุ่มผู้นี้มีพื้นเพเช่นไรกัน?”
“บางทีอาจมีเพียงมรดกสายเลือดดวงตาของตระกูลชนชั้นสูงในทวีปที่มีดวงตาที่แข็งแกร่งเช่นนี้”
คนระดับสูงของกลุ่มอำนาจในอาณาจักรปรากฏความหวาดเกรงในแววตา ดวงตาส่องประกายระริก
พลังและสายเลือดดวงตาที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาได้สร้างแรงกดดันครอบคลุมต่ออัจฉริยะทั้งหมดในอาณาจักรอยู่จางๆ
“ฮี่ฮี่ พลังสายเลือดและพลังฝึกตนของหวังเสี่ยวก้วยนั้นส่งผลในด้านของพลังกายและร่างกาย พลังฝึกตนเองก็ยังไม่เข้าสู่ขั้นมนุษย์ระดับสุดยอด การที่เด็กนี่ออมมือใช้เคล็ดวิชาดวงตานับว่ามีเหตุผลอยู่”
ผู้ฝึกตนชราของราชวงศ์เอ่ย
“สำหรับการที่สามารถเอาชนะจินไท่จื่อได้เป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้า อย่างที่สองคือเจ้าวายร้ายนั่นลอบโจมตี หากจินไท่จื่ออยู่ในสภาพสมบูรณ์ ด้วยพลังฝึกตนในขั้นมนุษย์ระดับสุดยอดและใช้สมบัติป้องกันจิตวิญญาณ โอกาสที่จะชนะมีอย่างน้อยหกส่วน”
การวิเคราะห์นี้ได้รับการเห็นด้วยจากคนบางส่วน
“แขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย เมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องไม่คาดฝัน ทว่าการลอบโจมตีของหัวหน้าสาขาจ้าวเองก็ไม่อาจนับได้ว่าขาวสะอาดแต่อย่างใด”
กรรมการจากราชวงศ์ค้อมคำนับขออภัยไปรอบทิศด้วยรอยยิ้ม
คนระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดพลันปรากฏความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันที คนมีปัญญาย่อมสามารถเห็นได้ว่าจินไท่จื่อจงใจโจมตีไปยังจ้าวเฟิงเมื่อครู่
สำหรับเรื่องนี้ จ้าวเฟิงไม่สนใจว่าจะโดนป้ายสี ทำเพียงปิดเปลือกตาไม่สนใจโลกภายนอก
“การประลองระหว่างจินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วย จินไท่จื่อเหนือกว่าเล็กน้อย หากไม่มีผู้ใดท้าประลองต่อ จินไท่จื่อจะเป็นหัวหน้าของเหล่าผู้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรของอาณาจักร
กรรมการจากราชวงศ์เอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้ม
ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงบ
หวังเสี่ยวก้วยเหนื่อยล้า ไม่อาจประลองได้อีก เทียนหยุนจือหมดอารมณ์จะท้าประลองกะทันหัน หลิวฉินซินสงบนิ่ง ไม่สนใจว่าผู้ใดจะชนะหรือพ่ายแพ้
“ฮี่ฮี่ ดูเหมือนว่าทุกท่านจะไม่มีข้อคัดค้าน เช่นนั้นจินไท่จื่อก็คือดาราอันดับหนึ่งของอาณาจักร”
คนของฝ่ายราชวงศ์แย้มรอยยิ้ม