บทที่ 333 : อันดับหนึ่งของอาณาจักร (2)
เรือนผมยุ่งเหยิงและใบหน้าสกปรกของหวังเสี่ยวก้วยเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ นัยน์ตาส่องประกายแสงสีม่วงทองเจือจาง
ระหว่างที่พลังสายเลือดถูกใช้ออก กระบองในมือวางลง ทำให้ทั่วทั้งลานประลองสั่นสะท้านเล็กๆ พลังที่น่าหวาดกลัวนี้กระทั่งสามารถคร่าชีวิตของผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสูงได้
“เป็นพรสวรรค์สายเลือดที่แข็งแกร่งนัก”
ผู้คนที่อยู่รอบๆ อุทานขึ้นดังสนั่น
กระทั่งจ้าวเฟิงเองยังตกใจ กลิ่นอายสายเลือดโบราณของอีกฝ่ายกระทั่งปลุกพลังสายเลือดในร่างของจ้าวเฟิงให้บีบรัดเข้าหากัน
จ้าวเฟิงไม่ค่อยได้เจอเหตุการณ์เช่นนี้มากนัก
มีเพียงสองสาเหตุ หนึ่งคือระดับพลังสายเลือดของหวังเสี่ยวก้วยสูง สองคือระดับพลังสายเลือดย้อนคืนสูง
ตัวอย่างเช่น หากการตื่นของสายเลือดมากถึงหนึ่งในสิบหรือมากกว่านั้น รวมทั้งการตื่นของสายเลือดอยู่ที่หนึ่งในแสนส่วน
“ฮ่าฮ่าฮ่า นับว่าสำนักเฟิงหยุนของข้าสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนแล้ว”
“พลังสายเลือดของหวังเสี่ยวก้วย เมื่อหกเดือนก่อนได้ตื่นมากขึ้น เกิดการหวนคืน พลังของพวกมันนั้นไม่อาจเทียบเคียงกันได้”
“บางทีตำแหน่งสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรของจินไท่จื่ออาจจะต้องเปลี่ยนมือแล้ว”
คนระดับสูงของสำนักเฟิงหยุนมีสีหน้าเยาะเย้ย
“สำนักเฟิงหยุนให้กำเนิดอัจฉริยะที่มีพลังสายเลือดขึ้นอีกแล้ว น่ายินดีนัก”
รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเผยรอยยิ้มบาง เอ่ยแสดงความยินดีต่อสำนักเฟิงหยุน
ในอาณาจักรนภา สำนักเฟิงหยุนคือพันธมิตรของลัทธิโลหะเลือด
“หวังเสี่ยวก้วยผู้นี้มาจากสำนักเฟิงหยุน เป็นคนนิสัยประหลาดไร้เหตุผล นับได้ว่าเสียสติ พลังความแข็งแกร่งมากมาย ต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต หลังจากนั้นพลังสายเลือดในร่างได้ตื่นขึ้น จึงได้รับการฝึกฝนจากสำนักเฟิงหยุน…”
เทียนหยุนจือเห็นจ้าวเฟิงสงสัยจึงเอ่ยอธิบายขึ้น
จ้าวเฟิงประหลาดใจขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ มิใช่ว่าเทียนหยุนจือผู้นี้มีความขุ่นเคืองกับตัวมันอยู่หรือ?
ในวันเดียวกันนั้น การโจมตีอันทรงพลังของ ‘พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถา’ ของจ้าวเฟิงแทบจะทำลายอนาคตของอีกฝ่ายไป
“ในบรรดาศัตรูที่แข็งแกร่งที่ข้าเผชิญหน้ายามมีชีวิตนั้น มีสองคนที่ควรค่าแก่การนับถือและซาบซึ้ง คนผู้หนึ่งทำให้ข้าก่อกำเนิดจิตแห่งกระบี่ อีกคนหนึ่งคือเจ้า ทำให้ข้าล้มลงและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ถือกำเนิดขึ้นใหม่”
เทียนหยุนจือแย้มรอยยิ้ม
เขาทำลายและสร้างต้นอ่อนจิตแห่งกระบี่ แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ทว่าจ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าระดับขอบเขตของมันนับว่าสูงกว่าก่อนหน้า
ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อครู่เทียนหยุนจือก็ต้องการที่จะท้าประลองจินไท่จื่อ
“หวังเสี่ยวก้วย พลังสายเลือดของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น แต่ว่าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของพลังสายเลือดราชวงศ์ของข้า”
น้ำเสียงของจินไท่จื่อฟังดูหนักแน่นและกระตือรือร้น มือทั้งสองไขว้กัน เรือนผมสีน้ำตาลพลิ้วไหว
วืดดด
เลือดเนื้อทั่วทั้งร่างของเขา โดยเฉพาะผิวหนังที่หนาขึ้น ปรากฏลวดลายสีเหลืองทองขึ้น
ในเสี้ยววินาที ร่างของจินไท่จื่อก็สูงขึ้นอีก 1-2 ฟุต เลือดเนื้อทั่วทั้งร่างหนาขึ้น ทำให้ร่างดูสูงและแข็งแกร่งทรงพลังยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่เพียงเท่านั้น
เบื้องหลังร่างของเขายังปรากฏเงาทรงพลังขนาดใหญ่ สูงราวหนึ่งหลา
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเพ่งมอง พบว่ารูปลักษณ์ของเงานั้นคล้ายกับสัตว์บางชนิด
“สายเลือด ‘สุกรทอง’ ของราชวงศ์แห่งอาณาจักนนภาอันหายากนี้มีผลให้ร่างกายและเรี่ยวแรงมากขึ้น เมื่อมีสายเลือดสุกรทองจะสามารถรับมือการโจมตีของผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันหลายคนพร้อมกันได้”
“สายเลือดสุกรทองของจินไท่จื่ออัตราการตื่นสูงมากนัก ทั้งยังฝึกฝนวิชาลับของสายเลือดได้อย่างสมบูรณ์…”
เปรี้ยง ตูม
สองยอดอัจฉริยะใช้พลังสายเลือด เท้าย่างก้าว ลานประลองสั่นสะท้านเล็กๆ
กระบองอสูรวายุเมฆา
หวังเสี่ยวก้วยคำรามออกมาด้วยเสียงแปลกประหลาด กระบองสีเงินทองถูกเหวี่ยงออกไปอย่างรุนแรง สายลมสีม่วงครามกวาดระยะหนึ่งร้อยหลาโดยรอบ พลังรุนแรงยิ่งนัก แรงกดดันครอบคลุมไปทั่วทั้งลานประลอง
“ฝ่ามือทองพิฆาตมาร”
จินไท่จื่อคำรามเสียงดังยาวนาน ลวดลายสีเหลืองทองขยายออกที่ระหว่างฝ่ามือ มือนั้นคล้ายกลับกลายเป็นพัดขนาดใหญ่ พลังรุนแรงพุ่งออกไปเป็นรูปฝ่ามือสีทองทรงพลังขนาดยักษ์ พุ่งตรงไปยังร่างของหวังเสี่ยวก้วย
คว้างง เปรี้ยง!
สองพลังสั่นสะท้านภูผาเข้าปะทะกัน พลังสายเลือดและปราณจิตวิญญาณเข้าหลอมรวม ก้าวข้ามขอบเขตของพลังตน
ความแข็งแกร่งของคนผู้หนึ่ง หากคิดจะก้าวล่วงเกินกว่าพลังฝึกตนของตนนับว่ายากนัก
ทว่ายังมีทางเป็นไปได้
โดยปกติแล้วจะทำโดยการใช้เคล็ดวิชาลับ หรือเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ เพียงแต่สิ่งแลกเปลี่ยนของสองวิธีนับว่าใหญ่หลวงนัก
นอกจากนั้นคือการใช้อาวุธวิเศษที่แข็งแกร่งขึ้น ทว่าพลังที่ต้องใช้ควบคุมย่อมมากขึ้น ยากที่จะใช้ได้ดั่งใจ
ทว่าพลังสายเลือดแทบจะไม่มีผลข้างเคียงต่อผู้ครอบครอง
ดังนั้นแล้ว อัจฉริยะที่ครอบครองพลังสายเลือดจึงนับได้ว่าเป็นผู้ที่สวรรค์ให้ความเอ็นดู สามารถทำลายสิ่งที่แบ่งกั้นขอบเขตทั้งหลาย ข้ามขั้นแสดงพลังต่อสู้ที่เกินกว่าปกติ
จินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วยในยามนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจน
คนทั้งสองต่อสู้กัน บนลานประลองเต็มไปด้วยร่องรอย ทว่าผู้เข้าร่วมบางคนนั้นกระทั่งยากที่จะสร้างรอยขีดข่วนลานประลองแม้เพียงเล็กน้อย
มันให้ความรู้สึกราวกับยักษ์สองตนกำลังต่อสู้กัน ทำให้ลานประลองสั่นสะท้านครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้าสัตว์ประหลาดสองตัวนี่”
เหล่าบุตรหลานแห่งสวรรค์ของอาณาจักรเมื่อเห็นการต่อสู้ในยามนี้พลันรู้สึกหวาดเกรง
เหล่ายอดฝีมือที่ชนะต่อเนื่องก่อนหน้ารู้สึกยินดีขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ที่ไม่ได้ท้าประลองจินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วย
ผู้มีพลังขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดลงไป เมื่อเผชิญหน้ากับคนสองคนนี้ หากไม่ถูกมือตบจนแบนก็คงถูกตีด้วยกระบองจนตาย
เปรี้ยง!
คนทั้งสองต่อสู้กันอย่างยาวนาน ลานประลองปรากฏรอยแตกแยกหลายแห่ง ฝุ่นผงโดยรอบฟุ้งกระจายขึ้น
“พลังสายเลือดที่คนทั้งสองแสดงออกมาเทียบเท่ากัน พลังสายเลือดของหวังเสี่ยวก้วยมีระดับสูง ในขณะที่ระดับการตื่นของพลังสายเลือดของจินไท่จื่อสูง ทั้งยังมีวิชาลับเข้ามาเกี่ยวข้อง”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสังเกตคนทั้งสองบนลานประลอง
ในบางครา
ดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มจะเปิดออก ตรวจจับวิธีการเคลื่อนไหวภายในร่างของปราณจิตวิญญาณและสายเลือดของคนทั้งสอง
ในที่สุด
เขาก็พบถึงกฎการใช้พลังสายเลือดของทั้งสอง
และหวังเสี่ยวก้วยนั้นใช้อย่างสะเปะสะปะ
ทว่าจินไท่จื่อนั้นมีวิธีการใช้เป็นระบบสมบูรณ์
“โอ้”
ฝ่ามือข้างหนึ่งของจ้าวเฟิงตบลงที่หน้าผากของตน
เมื่อสังเกตการณ์กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของจินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วยแล้ว เขาก็ค้นพบว่ากฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของตนเองนั้นต้อยต่ำเพียงใด
มันไม่ใช่ต้อยต่ำ
จ้าวเฟิงเพียงแค่ไม่เข้าใจมัน และใช้มันอย่างหยาบๆ โดยไม่ผ่านวิชาใดๆ
แน่นอนว่านี้ไม่นับว่าแปลก พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงนั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน มาจากการหลอมรวมกับเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าที่เปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของเขา
ดังนั้นแล้ว เขาจึงไม่มีกฎเกณฑ์แห่งสายเลือดที่สมเหตุสมผลและยังไม่สามารถสร้างระบบที่สมบูรณ์ของมันขึ้นได้
ในทางกลับกัน พลังสายเลือดของจินไท่จื่อมีกฎเกณฑ์ของมัน ทั้งยังมีระบบที่ถูกพัฒนามาอย่างสมบูรณ์
ทั้งมันยังเป็นสายเลือดราชวงศ์ ผ่านการสืบทอดมารุ่นต่อรุ่นอย่างสมบูรณ์
“อืม ช้าก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย ทำตอนนี้ก็ยังไม่นับว่าสาย”
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเปิดออกอย่างเต็มที่ จับตามองการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของคนทั้งสอง
กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของจินไท่จื่อผู้นั้นนับว่าพัฒนาอย่างมาก
ส่วนหวังเสี่ยวก้วยนั้น เป็นเพราะสายเลือดหายาก ระบบจึงไม่สมบูรณ์
ทว่าเขายังนับว่าดีกว่าจ้าวเฟิง
ประการแรก พลังสายเลือดของหวังเสี่ยวก้วยนั้นมีมาตั้งแต่เกิด ร่างกายได้ปรับตัวเข้ากับมันปีแล้วปีเล่า การใช้ออกกลายเป็นสัญชาตญาณไป
ประการที่สอง หลังจากที่สายเลือดของเขาตื่นขึ้นก็ได้ยอดฝีมือจากสำนักหยุนเฟิงคอยชี้แนะ
ทว่าจ้าวเฟิงนั้นได้รับมันมาในไม่กี่ปีให้หลังมานี้ มาจากสถานที่ห่างไกล ทั้งพลังสายเลือดยังหายากเป็นพิเศษ
ในการเฝ้ามอง ความสามารถในการเรียนรู้และวิเคราะห์ที่แข็งแกร่งของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้ทำหน้าที่ ลอบสังเกตสิ่งที่มีประโยชน์บางประการ
“พลังสายเลือดของจินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วยเป็นแบบเสริมพลัง ความสามารถไม่แน่ชัด ทว่าพลังสายเลือดบางส่วนได้เพิ่มความเร็วและความแรงการโจมตี กระทั่งมีความสามารถ…”
ในการวิเคราะห์ทำความเข้าใจของจ้าวเฟิงรวมกับสิ่งที่รู้อยู่ก่อนหน้าได้ทำให้เห็นพลังของสายเลือดบางส่วน
พลังสายเลือดของปี้เจียงชิงก่อนหน้ามีความสามารถในเสริมพลัง กระตุ้นเพลิงสีฟ้าครามที่ทรงพลัง
เช่นนั้น จ้าวเฟิงเล่า?
“พลังสายเลือดของข้า แก่นกลางอยู่ที่เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า ก่อนหน้าเป็นสีเขียว ยามนี้มีสีฟ้าอ่อน เช่นนั้นพลังสายเลือดในยามนี้ของข้าย่อมมีธาตุเหมันต์”
จ้าวเฟิงปิดเปลือกตา เริ่มทำความเข้าใจ
ส่วนลึกภายในร่างกาย สายเลือดสีฟ้าอ่อนเจือจางได้ส่องสว่างขึ้น จากการโคจรแบบเฉพาะได้หลอมรวมเข้ากับเลือด เนื้อ กระดูก และปราณจิตวิญญาณแต่ล่ะส่วนอย่างเป็นเอกเทศ
กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดของจ้าวเฟิงนั้นมาจากจินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วย
ระบบของจินไท่จื่อนั้นสมบูรณ์แบบกว่า ในขณะที่หวังเสี่ยวก้วยมีสายเลือดโบราณเช่นเดียวกัน มีบางส่วนคล้ายคลึงกับจ้าวเฟิง
วูบ
แสงสีฟ้าอ่อนในร่างของจ้าวเฟิงหลอมรวมเข้ากับปราณจิตวิญญาณใกล้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ จากนั้นจึงหลอมรวมเข้ากับเลือด เนื้อ และกระดูก
ทันใดนั้น
ภายในร่างของจ้าวเฟิงพลันปรากฏกระแสน้ำสีฟ้าครามไหลเวียน กลิ่นอายเย็นเยียบแพร่กระจายออกมา
“ง่ายเพียงนี้? มันดูราวกับห่างเพียงแค่กระดาษคั่น”
จ้าวเฟิงประหลาดใจและยินดี คอขวดของพลังสายเลือดหลายปีมานี้กลับสามารถทะลวงผ่านได้ในครั้งเดียว
ด้วยการโคจรที่คุ้นเคย กระแสน้ำสีฟ้าอ่อนนั้นได้ก็แพร่กระจายไปในทุกซอกมุมของร่างกาย
ทุกการกระตุ้น พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงจะเข้มข้นมากขึ้น
จ้าวเฟิงโคจรครบรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะการพัฒนาของดวงตาเทพเจ้าทำให้ความแข็งแกร่งของสายเลือดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เดินทางไปทั่วเลือดเนื้อกระดูกของตน
การวิวัฒนาการแต่ล่ะครั้ง เขารับรู้ได้ถึงพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งขึ้นภายในร่าง
มันราวกับบุคคลที่มีพลังอันไร้ที่สิ้นสุดสามารถหาวิธีใช้มันออกได้ เผยความสามารถอันทรงพลังออกมา
“กลิ่นอายนี่…”
หลิวฉินซินและเทียนหยุนจือที่อยู่ด้านข้างรู้สึกได้ว่าภายในร่างของจ้าวเฟิงส่งกลิ่นอายสายเลือดออกมาเจือจาง ทำให้พลังสายเลือดของตนเองสั่นสะท้านอย่างกระวนกระวาย
เทียนหยุนจือสืบทอดสายเลือดสองสาย พลังของมันย่อมแข็งแกร่ง
พลังสายเลือดของหลิวฉินซินยิ่งพิเศษลึกลับกว่า
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บนลานประลองเต็มไปด้วยความเร่าร้อน จินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วยเข้าปะทะกัน พื้นดินแตกแยก พังทลายไม่เหลือเค้าเดิม
ทว่าจ้าวเฟิงได้เข้าสู่สถานะบางอย่าง บนร่างได้ปรากฏลวดลายสีฟ้าขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ความเย็นเยียบในอากาศเสียดแทงเข้าไปถึงในกระดูก
หลังจากครึ่งชั่วยาม
“ขั้นต้นสำเร็จแล้ว”
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจยาวค่อยๆ เก็บพลังสายเลือดเข้าไปช้าๆ
ในยามนี้ พลังสายเลือดของเขาเมื่อเทียบกับการโคจรก่อนหน้าแล้วนับว่าแข็งแกร่งกว่าหนึ่งเท่า
นี่เหมือนราวกับหยกที่ยังไม่ได้รับการเจียระไน หลังจากที่ตัดแต่งแล้วได้เผยความงดงามของมันออกมา
“หืม? ยังประลองกันอยู่อีกหรือ?”
จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตา ใบหน้าเผยความประหลาดใจออกมา
คนทั้งสองนี้ได้ประลองกันเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว
แคร่ก เปรี้ยง ตูม
ทันใดนั้น บนลานประลองก็ได้เกิดแรงระเบิดขึ้น พื้นดินแตกแยก ลมพัดฝุ่นฟุ้งกระจาย
จินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วยพลังต่อสู้พุ่งสู่จุดสูงสุด เริ่มที่จะส่งการโจมตีทำลายภูผาสั่นคลอนสวรรค์ออกมา
เปรี้ยง เปรี้ยง
ร่างทั้งสอง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ร่างกระเด็นออกไปพร้อมกัน
มุมปากของจินไท่จื่อปรากฎสายโลหิตขึ้น หวังเสี่ยวก้วยกระอักเลือดออกมากลางอากาศ
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเพ่งมองวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว
ในด้านพลังต่อสู้ ไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่า ทว่าในด้านพลังโจมตี หวังเสี่ยวก้วยแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย
ทว่าพลังสายเลือดสุกรทองของจินไท่จื่อมีพลังป้องกันกายภาพแข็งแกร่งเกินไป เป็นที่รู้กันว่าสามารถต้านการโจมตีของคนหลายคนจากระดับเดียวกันได้
ดังนั้นแล้ว เขาจึงได้รับบาดเจ็บน้อยกว่า
“ไม่ดีแล้ว”
ในยามนี้ คนที่อยู่ด้านนอกลานประลองปรากฏความวุ่นวายขึ้น
การปะทะกันของทั้งสองคนได้สร้างลมพัดกระโชกรุนแรง แรงจากลูกหลงนั้นไม่น้อยไปกว่าแรงโจมตีของคนทั้งสอง
ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นผู้วิเศษแท้ยากที่จะรอดชีวิตภายใต้กระบวนท่านี้
โดยเฉพาะตำแหน่งที่จินไท่จื่อล่าถอยไปนั้นเป็นทิศทางที่สิบดาราแห่งอาณาจักรนั่งอยู่
“โอกาสดีที่จะฆ่าจ้าวเฟิง”
จินไท่จื่อใช้แรงส่งนั้นอย่างจงใจ นำเงาสุกรขนาดยักษ์มาพร้อมกับสายลมรุนแรง โจมตีไปยังจ้าวเฟิงอย่างโหดเหี้ยม
ไม่ดีแล้ว
หลิวฉินซิน เทียนหยุนจือ และคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนไป รู้สึกคาดไม่ถึง
ทว่าการกระทำของจินไท่จื่อจะเล็ดรอดไปจากดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้หรือ?
“ไสหัวไป”
จ้าวเฟิงตวาดเสียงดังลั่น พลังสายเลือดโคจรในรูปแบบเฉพาะ ยื่นมือออกไปสัมผัสยังอากาศ
ครืนน
ในวินาทีที่ฝ่ามือนั่นยื่นออก เบื้องหลังของจ้าวเฟิงพลันปรากฏเงาร่างสีฟ้ากำยำขึ้น ราวกับเทพเจ้าที่เดินทางผ่านห้วงกาลเวลา
ตูม เปรี้ยง
พลังจากฝ่ามือนั้นระเบิดออก ภายใต้กระแสไฟฟ้าสีฟ้ายังปรากฏเงาเย็นเยียบเงียบงันขึ้นส่วนหนึ่ง ส่งผลให้อากาศพลันเย็นยะเยือกลง เสียงคำรามดังก้องปะทะไปยังร่างของจินไท่จื่อพร้อมเสียง ‘พรวด’