บทที่ 363 : การโจมตีของเปลวเพลิงและน้ำแข็ง
ในมิติ
นัยน์ตาของมี่เทียนอี้ส่องประกายสว่างจ้า มีท่าทียโสโอหังขึ้น ชะงักฝีเท้าอยู่ที่ที่เดิม
ข้างกายเขาคือยอดอัจฉริยะจากสำนักเทียนหยวนอีกสองคน หนึ่งในนั้นคือจ้าวหยูเฟ่ย อีกคนคือบุรุษหน้าเหลืองที่ครองลำดับสอง
“พี่จ้าวเฟิง…”
จ้าวหยูเฟ่ยจับจ้องไปยังแสงมังกรทองที่อยู่ห่างออกไป ท่าทียินดีและกังวลไปพร้อมกัน
สามยอดอัจฉริยะแห่งสำนักเทียนหยวน ตราคำสั่งเซียนมังกรในมือมีสีทองเป็นอย่างน้อย โม่เทียนอี้มีสีทองสว่าง เพียงแค่แสงนั้นยังไม่เจิดจ้าเป็นเงามังกรเท่านั้น
“ศิษย์พี่โม่ ทำเช่นไรดี?”
บุรุษหน้าเหลืองใจบีบรัดแน่น
งานชุมนุมเซียนมังกรนี้ ความสามารถของจ้าวเฟิงนับว่าแข็งแกร่งจนเกินไป ต่อต้านผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้โดยไม่หลีกเลี่ยง ตำแหน่งม้ามืดอันดับหนึ่งของเขาไม่อาจตั้งข้อสงสัยได้
ไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
ทั้งยามนี้ บนร่างของจ้าวเฟิงยังปรากฏเงามังกรขึ้นจางๆ เทียบกับห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้อยู่บ้าง
“หากต้องสู้ก็จะสู้”
ใบหน้าของโม่เทียนอี้เยือกเย็น สีหน้าย่ำแย่อย่างมาก เตรียมตัวที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิง
วันนั้นบนแท่นดาวเหนือ
โม่เทียนอี้เห็นจ้าวเฟิงครั้งแรก คำวิจารณ์ที่มีให้อีกฝ่ายคือ ก็พอใช้ได้
วันนี้เผชิญหน้ากัน เขากลับเป็นฝ่ายที่ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต
รอบแรก ‘ห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่’ การประลองระหว่างจ้าวเฟิงกับปิงเว่ยเซียนจื่อ โม่เทียนอี้ได้เฝ้าดูอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นปาฏิหาริย์ที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเทพเจ้าที่แปลงกายลงมา ความตื่นตระหนกในใจยามนั้นไม่ด้อยไปกว่ายามนี้
แม้เขาจะมากศักดิ์ศรีหยิ่งยโสเพียงใดก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว
สายตาของบุรุษหน้าเหลืองสั่นระริก ส่งเสียงผ่านจิตเอ่ย “หากพวกเราสามคนร่วมมือกันต่อต้านเด็กนี่ อย่างน้อยก็จะไม่พ่ายแพ้”
บางทีหากโม่เทียนอี้เผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงเพียงคนเดียวจะอันตรายมากเกินไปบ้าง แต่หากรวมเขากับจ้าวหยูเฟ่ยเข้าไป มันย่อมกลายเป็นสถานการณ์ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
จะอย่างไร ในมิตินี้อาจกล่าวได้ว่าไร้ซึ่งกฎ ไม่ว่าจะเป็นการลอบโจมตีหรือการรุมล้วนแต่เป็นวิธีการที่ใช้ได้
“ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องยุ่งเกี่ยว ”
โม่เทียนอี้สูดลมหายใจลึก ส่งเสียงผ่านจิตไปอย่างหนักแน่นเด็ดขาด
คำกล่าวของผู้เป็นศิษย์น้องได้ทำให้เขารู้สึกละอาย
หัวหน้าศิษย์ของหนึ่งในสิบยอดสำนัก เป็นศิษย์ของผู้สูงศักดิ์ ยอดอัจฉริยะแห่งทวีปเหนือในตำนาน โม่เทียนอี้จะร่วมมือกับผู้อื่นรุมม้ามืดคนใหม่ของงานชุมนุมเซียนมังกรคนหนึ่งได้อย่างไร?
ฟุบ
จ้าวเฟิงยืนอยู่บน ‘สามปทุม’ บินตรงไปทางพวกโม่เทียนอี้ทั้งสาม ดวงตาเทพเจ้ากวาดมองไปทั่วทุกทิศทาง
เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอีกเล็กน้อย
บรรยากาศโดยรอยพลันหนักหน่วงขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ อัจฉริยะที่ลอบมองอยู่ห่างออกไปกลับกลายเป็นเงียบงันยิ่งนัก ผู้คนแทบจะกลั้นหายใจ
ผู้ที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชมนอกมิติ รวมทั้งผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูงมีสีหน้าสนใจ เต็มไปด้วยความคาดหวัง
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนจุดสูง มีดวงตาเทพเจ้า ย่อมสามารถมองเห็นพวกโม่เทียนอี้ทั้งสามที่ใกล้เข้ามาได้
ทว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ถอยห่าง เคลื่อนร่างเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อย
สถานการณ์เริ่มตึงเครียดยิ่งขึ้น
หัวใจของจ้าวหยูเฟ่ยบีบรัดแน่น ใจกระตุกวูบ อย่าได้บอกข้านะว่าพี่จ้าวเฟิงจะลงมือกับพวกตนทั้งสาม?
จากสถิติก่อนหน้า เมื่อจ้าวเฟิงลงมือ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีทางหลุดรอดไปได้
“ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ปราณจิตวิญญาณในร่างของโม่เทียนอี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ทำให้บรรยากาศโดยรอบหนักหน่วงราวขุนเขาอันยิ่งใหญ่
จ้าวหยูเฟ่ยและบุรุษหน้าเหลืองล่าถอยออกห่าง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของโม่เทียนอี้และจ้าวเฟิง
ก่อนหน้า ตำแหน่งอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งทวีปเหนือของโม่เทียนอี้ไม่อาจสั่นคลอน รวมทั้งซินอู๋เหินและเซี่ยเซียนชางที่อยู่ในรุ่นเดียวกันยังพ่ายแพ้ในมือของเขา
วืดดด
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้ปรากฏเพลิงอัสนีสีเขียวขึ้น ไม่ใช่สีเขียวอ่อนเช่นก่อนหน้า
เพลิงอัสนีสีเขียวนั้นส่องประกายสว่างวาบดูงดงาม ทว่ากลับแฝงไปด้วยอันตรายมากมายยิ่งนัก
พวกโม่เทียนอี้ทั้งสามใจหนาวเยือก ในใจลอบคิดว่าไม่ดีแล้ว
‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ของจ้าวเฟิงนั้นได้สร้างความหวาดกลัวอย่างมากให้กับผู้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรรอบห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่ แม้เทียบกับสามตระกูลดวงตาแล้วยังนับว่าเป็นวิชาดวงตาที่น่าหวาดกลัวกว่า
กระทั่งปิงเว่ยเซียนจื่อ ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ยังหวาดกลัววิชาดวงตานี้นัก
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าบัดนี้ พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด พลังของเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าย่อมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ในยามนี้
ไม่ว่าจะเป็นโม่เทียนอี้หรือบุรุษหน้าเหลืองก็ล้วนอยู่ในสภาพเตรียมต่อสู้ร่างกายเกร็งแข็งเตรียมปะทะ
ทุกคนเข้าใจว่าวิชาสายเลือดของจ้าวเฟิงนั้นเมื่อใช้ออกไม่อาจหลบหลีกได้ อย่างน้อยในระดับจิตใจก็ไม่มีผู้ใดหลบเลี่ยงได้
บุรุษหน้าเหลืองมีพลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ ในยามนี้กลับลมหายใจติดขัด รู้สึกราวกับเผชิญหน้ากับเทพเจ้า รู้สึกร้อนรนขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
ภายนอกโม่เทียนอี้อาจดูเยือกเย็นสงบนิ่ง ทว่าก็ยังไม่อาจหาหนทางรับมือกับ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ได้
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า
เพลิงอัสนีสีเขียวในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงส่องสว่างวูบ
ในยามนั้น
หัวใจของโม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองเต้นดัง ‘ตุบ’
ฟุ่บ เปรี้ยะ
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าพุ่งตรงไปยังแม่น้ำที่ห่างออกไปสองลี้ สายน้ำระเบิดออก
พลังที่แข็งแกร่งของเพลิงอัสนีได้ทำให้น้ำในแม่น้ำในระยะหนึ่งหลารอบๆหายไปเป็นหลุม
“อ๊ากกกกก”
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นจากในแม่น้ำ เนตรวิญญาณหนานจื่อกระโจนออกจากน้ำ ดีดดิ้นไปมา
“เนตรวิญญาณหนานจื่อ”
“เขาคือ… หนึ่งในสามทายาทของตระกูลดวงตา ตระกูลอู๋ใช่หรือไม่?”
โม่เทียนอี้ รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ได้อุทานออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว ขณะเดียวกันก็ลอบยินดีขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับตนเองเป็นผู้รอดพ้นจากภัยพิบัติ
นัยน์ตาของผู้คนจับจ้องไปยังเนตรวิญญาณหนานจื่อที่ทั่วทั้งร่างปรากฏเปลวเพลิงสีเขียวเผาไหม้ สายฟ้ากระจายออกทุกทิศทาง เสียงระเบิดดังสนั่น
พลังของเพลิงอัสนีโจมตีไปยังกายเนื้อและจิตวิญญาณพร้อมกัน ย่อมต้องรุกรานเข้าไปในจิตใจของเนตรวิญญาณหนานจื่อ
“ไอ้เด็กไร้ยางอาย ลอบโจมตี…”
เนตรวิญญาณหนานจื่อสลายเพลิงอัสนีลงอย่างยากลำบาก ร่างกายไหม้ดำ สีหน้าเหนื่อยอ่อน
“คนแซ่จ้าวผู้นี้เพียงคิดว่าผู้ใดโจมตีก่อนย่อมได้เปรียบ เจ้าหลบซ่อนในแม่น้ำ แอบมองอยู่นานแล้ว มีหรือจะมีเจตนาดี?”
จ้าวเฟิงสีหน้าเฉยชา ชัยชนะอยู่ในกำมือ
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าของเขาได้คว้าโอกาสโจมตีก่อนได้เปรียบไปแล้ว ทำให้เนตรวิญญาณหนานจื่อได้รับบาดเจ็บทั้งทางกายภาพและจิตใจ
เนตรวิญญาณหนานจื่อกัดฟันกรอด ยังพอต้านทานการอาละวาดของการโจมตีภายในจิตใจได้
ในโลกแห่งจิตของเขา เปลวเพลิงสีเขียวได้เผาไหม้ สายฟ้าระเบิดออก ความเจ็บปวดทรมานที่ได้รับมากกว่าปกตินับสิบนับร้อยเท่า
หากมิใช่เพราะเขามีสายเลือดดวงตา เชี่ยวชาญในวิชาดวงตา หากเป็นผู้อื่นในระดับเดียวกันก็คงจะทรุดลงไปนานแล้ว
เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงขยับเข้ามาใกล้เล็กๆ “ฟุบ” ร่างของเนตรวิญญาณหนานจื่อก็กลับกลายเป็นเงาพร่าเลือน หลบหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
ทว่า
ไม่ว่าเขาจะหลบหนีไปอย่างไรก็ไม่อาจเล็ดรอดไปจากเนตรเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้
“เนตรวิญญาณผลาญจิต”
เนตรวิญญาณหนานจื่อกัดฟันกรอด นัยน์ตามืดหม่นส่องประกายเปลวเพลิงหม่นมัวขึ้นวูบ
ในเสี้ยววินาที เพลิงวิญญาณเย็นเยียบก็ได้เกาะติดกับร่างกายของจ้าวเฟิง
กลิ่นอายเย็นเยียบหดหู่ที่เกาะอยู่บนร่างของเด็กหนุ่มได้เผาไหม้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ทำให้ร่างกายของจ้าวเฟิงรู้สึกกระสับกระส่าย
จ้าวเฟิงใส่ ‘เสื้อคลุมไหมสวรรค์ลี้ลับ’ ยอดสมบัติชิ้นนี้ ตัวอาภรณ์ไร้ซึ่งความเสียหาย ในขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มได้กระตุ้นพลังสายเลือดในร่างของเขา เงาร่างเย็นเยียบยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง
วืดดดด
พลังเหมันต์อัสนีไหลวนรอบร่างของเขา เพลิงแสนหดหู่เหล่านั้นราวกับเผชิญหน้ากับสิ่งที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิงถูกสลายไปในเสี้ยววินาที
พลังความเย็นและเปลวเพลิงจากเพลิงจิตวิญญาณถูกสลายไปอย่างง่ายดาย
สายฟ้านั้นถือเป็นขั้วตรงข้ามของศาสตร์แห่งวิญญาณ
สำหรับระดับจิตวิญญาณนั้น จ้าวเฟิงกระตุ้นเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าทำลายพลังที่เผาไหม้จิตใจของเขาในเสี้ยววินาที
แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเขาเหนือกว่าเนตรวิญญาณหนานจื่ออย่างมาก ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
“ไอ้หนู เจ้าขโมยวิชาสายเลือดของข้าไป ไม่รู้สึกซาบซึ้งนับเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่ากระทั่งแว้งกัดผู้มีบุญคุณเช่นนี้อีก”
เนตรวิญญาณหนานจื่อตวาดเสียงดัง น้ำเสียงสั่นสะท้าน เผยความลนลานกระวนกระวายออกมาอย่างชัดเจน
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถสลายการโจมตีทั้งหมดของเขาได้รวมทั้งสายเลือดดวงตาและวิชาเคลื่อนไหวหลบซ่อนของเขา
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าได้รับผลประโยชน์จากการลอกเลียนแบบ ‘เพลิงวิญญาณผลาญจิต’ ของเขา บัดนี้มันสามารถเอาชนะต้นแบบได้โดยสมบูรณ์แล้ว
พลังของเพลิงอัสนีนั้นนับเป็นขั้วตรงข้ามของศาสตร์แห่งวิญญาณอยู่แล้ว ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก
เนตรจิตวิญญาณเหมันต์
นัยน์ตาซ้ายของจ้าวเฟิงกลับกลายเป็นบ่อน้ำเหมันต์เย็นเยียบไร้ก้นบึ้ง พลังความเย็นที่ไม่อาจมองเห็นได้แทรกซึมเข้าไปในจิตใจ
เฮือก
เนตรวิญญาณหนานจื่อราวกับตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ความเย็นแผ่ซ่านในจิตใจ กัดกร่อนโจมตีสติของเขา
ก่อนหน้าเป็นเพลิงอัสนี ยามนี้เป็นจิตวิญญาณเหมันต์
เนตรวิญญาณหนานจื่อพยายามต่อต้าน ‘การโจมตีของเปลวเพลิงและน้ำแข็ง’ ของจ้าวเฟิง จิตใจแทบจะแหลกสลาย อาการบาดเจ็บที่จิตใจขยายใหญ่ขึ้น
‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ ได้ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเนตรวิญญาณหนานจื่อแข็งค้าง การเคลื่อนไหวสีหน้าเชื่องช้าอย่างมาก
ทุกการกระทำเคลื่อนไหวภายนอกของบุคคลล้วนมาจากการควบคุมของจิตใจ
เมื่อความคิดถูกแช่แข็งเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า ร่างกายก็ย่อมติดขัดถูกแช่แข็งไม่แตกต่างกันมากนัก
“ควรค่าแล้วที่นับเป็นหนึ่งในสามตระกูลดวงตา แม้ถูกการโจมตีของวิชาดวงตาทั้งสองของข้าเข้าไป ทว่ากลับไม่ได้รับอันตรายมากนัก”
จ้าวเฟิงอดที่จะชมเชยด้วยความประหลาดใจไม่ได้
‘การโจมตีของเปลวเพลิงและน้ำแข็ง’ ของจ้าวเฟิงนี้ หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำทั่วไปคงจะหมดสภาพไปแล้ว
พลังทำลายของเนตรจิตวิญญาณเหมันต์นั้นไม่รุนแรง ทว่าความสามารถในการสนับสนุนแข็งแกร่งยิ่งนัก
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงราวกับผลึก จับจ้องไปยังนัยน์ตาหมองหม่นของเนตรวิญญาณหนานจื่ออย่างต่อเนื่อง ฝ่ายหลังร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด ความเย็นเยียบที่ได้รับแสดงออกมาทางการเคลื่อนไหวสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
เมี้ยว เมี้ยว
แส้สีเงินลายโลหิตเคลื่อนไหวราวอสรพิษ ยืดออกจากความว่างเปล่า มัดพันร่างของเนตรวิญญาณหนานจื่อเอาไว้
ฉัวะ
เนตรวิญญาณหนานจื่อถูกมัดโดยแส้อสรพิษโลหิตลึกลับ พลังภายในร่างถูกดูดกลืนไปเล็กน้อยทั้งที่มีมรดกสายเลือดที่แข็งแกร่งของสามตระกูลดวงตา
“อย่าได้คิดที่จะขโมยตราคำสั่งเซียนมังกรของข้า…”
ใบหน้าของเนตรวิญญาณหนานจื่อบิดเบี้ยว นัยน์ตาหมองหม่นส่องประกายเย็นเยียบแดงก่ำขึ้นหลายส่วนกำลังจะใช้วิชาที่ทรงพลังยิ่งขึ้นออกมา
ฟุบ
แมวขโมยตัวน้อยตวัดอุ้งเท้าตบเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย สร้างความร้อนฉ่าบนใบหน้าพร้อมกับความรู้สึกมึนงง
ตุบ
เนตรวิญญาณหนานจื่อทรุดตัวลงคุกเข่าที่พื้น ยามที่รู้ตัวอีกที แมวขโมยที่ฉกชิงตราคำสั่งเซียนมังกรของเขาไปอย่าง ‘บีบบังคับและเจ้าเล่ห์’ ก็ได้หายไปแล้ว
“อืม ดี”
จ้าวเฟิงได้รับตราคำสั่งเซียนมังกรสีทองอย่างรวดเร็ว ยามนี้ไม่รู้ว่าตัวเขาเทียบกับโม่เทียนอี้ได้หรือไม่
ฟึบ
ในเสี้ยววินาที เงามังกรทองบนร่างของเด็กหนุ่มก็พลันพุ่งทะยานขึ้นสูงหลายฟุต เพิ่มขึ้นหนึ่งในสามส่วนทันที
ในมิติ เงาร่างมังกรทองอีกห้าตัวราวกับรับรู้ พลันส่งเสียงคำรามออกมาแผ่วเบา
ในยามนั้น อัจฉริยะทั้งหมดในมิติได้รับรู้ถึงแรงกดดันจากวาสนามังกรทั้งหก
ตราบเท่าที่อยู่ในระยะร้อยลี้จะสามารถมองเห็นเงามังกรทองได้ด้วยตาเปล่า
“วาสนามังกรของจ้าวเฟิงผู้นี้อยู่ในระดับของห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แล้ว”
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเขาได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนที่หกไปแล้ว?”
ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกมิติต่างก็ปรากฏความวุ่นวายขึ้น
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันก็อาจนับได้ว่าเป็นข้อสรุปที่แน่นอน
โม่เทียนอี้ตั้งแต่เริ่มจนจบได้ดูการเอาชนะเนตรจิตวิญญาณหนานจื่ออย่างทรงพลังของจ้าวเฟิงและวิธีการแย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกร จิตใจสั่นสะท้าน ปรากฏความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
ควรรู้ว่า เนตรวิญญาณหนานจื่อคือยอดฝีมือชั้นแนวหน้าในระดับเดียวกับเขา
ในยามนี้
ฟิ้วว
จ้าวเฟิงบินต้านลมมาทางโม่เทียนอี้ เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหวส่องประกาย
ไม่ดีแล้ว
โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองเปลี่ยนสีหน้า กระทั่งมีความคิดที่จะหลบหนี