Skip to content

King of Gods 363

King Of Gods

บทที่ 363 : การโจมตีของเปลวเพลิงและน้ำแข็ง

ในมิติ

นัยน์ตาของมี่เทียนอี้ส่องประกายสว่างจ้า มีท่าทียโสโอหังขึ้น ชะงักฝีเท้าอยู่ที่ที่เดิม

ข้างกายเขาคือยอดอัจฉริยะจากสำนักเทียนหยวนอีกสองคน หนึ่งในนั้นคือจ้าวหยูเฟ่ย อีกคนคือบุรุษหน้าเหลืองที่ครองลำดับสอง

“พี่จ้าวเฟิง…”

จ้าวหยูเฟ่ยจับจ้องไปยังแสงมังกรทองที่อยู่ห่างออกไป ท่าทียินดีและกังวลไปพร้อมกัน

สามยอดอัจฉริยะแห่งสำนักเทียนหยวน ตราคำสั่งเซียนมังกรในมือมีสีทองเป็นอย่างน้อย โม่เทียนอี้มีสีทองสว่าง เพียงแค่แสงนั้นยังไม่เจิดจ้าเป็นเงามังกรเท่านั้น

“ศิษย์พี่โม่ ทำเช่นไรดี?”

บุรุษหน้าเหลืองใจบีบรัดแน่น

งานชุมนุมเซียนมังกรนี้ ความสามารถของจ้าวเฟิงนับว่าแข็งแกร่งจนเกินไป ต่อต้านผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้โดยไม่หลีกเลี่ยง ตำแหน่งม้ามืดอันดับหนึ่งของเขาไม่อาจตั้งข้อสงสัยได้

ไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาจากห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้

ทั้งยามนี้ บนร่างของจ้าวเฟิงยังปรากฏเงามังกรขึ้นจางๆ เทียบกับห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้อยู่บ้าง

“หากต้องสู้ก็จะสู้”

ใบหน้าของโม่เทียนอี้เยือกเย็น สีหน้าย่ำแย่อย่างมาก เตรียมตัวที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิง

วันนั้นบนแท่นดาวเหนือ

โม่เทียนอี้เห็นจ้าวเฟิงครั้งแรก คำวิจารณ์ที่มีให้อีกฝ่ายคือ ก็พอใช้ได้

วันนี้เผชิญหน้ากัน เขากลับเป็นฝ่ายที่ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต

รอบแรก ‘ห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่’ การประลองระหว่างจ้าวเฟิงกับปิงเว่ยเซียนจื่อ โม่เทียนอี้ได้เฝ้าดูอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นปาฏิหาริย์ที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับเทพเจ้าที่แปลงกายลงมา ความตื่นตระหนกในใจยามนั้นไม่ด้อยไปกว่ายามนี้

แม้เขาจะมากศักดิ์ศรีหยิ่งยโสเพียงใดก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว

สายตาของบุรุษหน้าเหลืองสั่นระริก ส่งเสียงผ่านจิตเอ่ย “หากพวกเราสามคนร่วมมือกันต่อต้านเด็กนี่ อย่างน้อยก็จะไม่พ่ายแพ้”

บางทีหากโม่เทียนอี้เผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงเพียงคนเดียวจะอันตรายมากเกินไปบ้าง แต่หากรวมเขากับจ้าวหยูเฟ่ยเข้าไป มันย่อมกลายเป็นสถานการณ์ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

จะอย่างไร ในมิตินี้อาจกล่าวได้ว่าไร้ซึ่งกฎ ไม่ว่าจะเป็นการลอบโจมตีหรือการรุมล้วนแต่เป็นวิธีการที่ใช้ได้

“ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้ พวกเจ้าทั้งสองไม่ต้องยุ่งเกี่ยว ”

โม่เทียนอี้สูดลมหายใจลึก ส่งเสียงผ่านจิตไปอย่างหนักแน่นเด็ดขาด

คำกล่าวของผู้เป็นศิษย์น้องได้ทำให้เขารู้สึกละอาย

หัวหน้าศิษย์ของหนึ่งในสิบยอดสำนัก เป็นศิษย์ของผู้สูงศักดิ์ ยอดอัจฉริยะแห่งทวีปเหนือในตำนาน โม่เทียนอี้จะร่วมมือกับผู้อื่นรุมม้ามืดคนใหม่ของงานชุมนุมเซียนมังกรคนหนึ่งได้อย่างไร?

ฟุบ

จ้าวเฟิงยืนอยู่บน ‘สามปทุม’ บินตรงไปทางพวกโม่เทียนอี้ทั้งสาม ดวงตาเทพเจ้ากวาดมองไปทั่วทุกทิศทาง

เมื่อทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอีกเล็กน้อย

บรรยากาศโดยรอยพลันหนักหน่วงขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ อัจฉริยะที่ลอบมองอยู่ห่างออกไปกลับกลายเป็นเงียบงันยิ่งนัก ผู้คนแทบจะกลั้นหายใจ

ผู้ที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ชมนอกมิติ รวมทั้งผู้สูงศักดิ์บนแท่นสูงมีสีหน้าสนใจ เต็มไปด้วยความคาดหวัง

จ้าวเฟิงยืนอยู่บนจุดสูง มีดวงตาเทพเจ้า ย่อมสามารถมองเห็นพวกโม่เทียนอี้ทั้งสามที่ใกล้เข้ามาได้

ทว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ถอยห่าง เคลื่อนร่างเข้าไปใกล้อีกเล็กน้อย

สถานการณ์เริ่มตึงเครียดยิ่งขึ้น

หัวใจของจ้าวหยูเฟ่ยบีบรัดแน่น ใจกระตุกวูบ อย่าได้บอกข้านะว่าพี่จ้าวเฟิงจะลงมือกับพวกตนทั้งสาม?

จากสถิติก่อนหน้า เมื่อจ้าวเฟิงลงมือ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีทางหลุดรอดไปได้

“ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้”

ปราณจิตวิญญาณในร่างของโม่เทียนอี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ทำให้บรรยากาศโดยรอบหนักหน่วงราวขุนเขาอันยิ่งใหญ่

จ้าวหยูเฟ่ยและบุรุษหน้าเหลืองล่าถอยออกห่าง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของโม่เทียนอี้และจ้าวเฟิง

ก่อนหน้า ตำแหน่งอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งทวีปเหนือของโม่เทียนอี้ไม่อาจสั่นคลอน รวมทั้งซินอู๋เหินและเซี่ยเซียนชางที่อยู่ในรุ่นเดียวกันยังพ่ายแพ้ในมือของเขา

วืดดด

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้ปรากฏเพลิงอัสนีสีเขียวขึ้น ไม่ใช่สีเขียวอ่อนเช่นก่อนหน้า

เพลิงอัสนีสีเขียวนั้นส่องประกายสว่างวาบดูงดงาม ทว่ากลับแฝงไปด้วยอันตรายมากมายยิ่งนัก

พวกโม่เทียนอี้ทั้งสามใจหนาวเยือก ในใจลอบคิดว่าไม่ดีแล้ว

‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ของจ้าวเฟิงนั้นได้สร้างความหวาดกลัวอย่างมากให้กับผู้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรรอบห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่ แม้เทียบกับสามตระกูลดวงตาแล้วยังนับว่าเป็นวิชาดวงตาที่น่าหวาดกลัวกว่า

กระทั่งปิงเว่ยเซียนจื่อ ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ยังหวาดกลัววิชาดวงตานี้นัก

ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าบัดนี้ พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด พลังของเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าย่อมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ในยามนี้

ไม่ว่าจะเป็นโม่เทียนอี้หรือบุรุษหน้าเหลืองก็ล้วนอยู่ในสภาพเตรียมต่อสู้ร่างกายเกร็งแข็งเตรียมปะทะ

ทุกคนเข้าใจว่าวิชาสายเลือดของจ้าวเฟิงนั้นเมื่อใช้ออกไม่อาจหลบหลีกได้ อย่างน้อยในระดับจิตใจก็ไม่มีผู้ใดหลบเลี่ยงได้

บุรุษหน้าเหลืองมีพลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ ในยามนี้กลับลมหายใจติดขัด รู้สึกราวกับเผชิญหน้ากับเทพเจ้า รู้สึกร้อนรนขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้

ภายนอกโม่เทียนอี้อาจดูเยือกเย็นสงบนิ่ง ทว่าก็ยังไม่อาจหาหนทางรับมือกับ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ได้

เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า

เพลิงอัสนีสีเขียวในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงส่องสว่างวูบ

ในยามนั้น

หัวใจของโม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองเต้นดัง ‘ตุบ’

ฟุ่บ เปรี้ยะ

เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าพุ่งตรงไปยังแม่น้ำที่ห่างออกไปสองลี้ สายน้ำระเบิดออก

พลังที่แข็งแกร่งของเพลิงอัสนีได้ทำให้น้ำในแม่น้ำในระยะหนึ่งหลารอบๆหายไปเป็นหลุม

“อ๊ากกกกก”

เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นจากในแม่น้ำ เนตรวิญญาณหนานจื่อกระโจนออกจากน้ำ ดีดดิ้นไปมา

“เนตรวิญญาณหนานจื่อ”

“เขาคือ… หนึ่งในสามทายาทของตระกูลดวงตา ตระกูลอู๋ใช่หรือไม่?”

โม่เทียนอี้ รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ได้อุทานออกมาด้วยใบหน้าซีดขาว ขณะเดียวกันก็ลอบยินดีขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ราวกับตนเองเป็นผู้รอดพ้นจากภัยพิบัติ

นัยน์ตาของผู้คนจับจ้องไปยังเนตรวิญญาณหนานจื่อที่ทั่วทั้งร่างปรากฏเปลวเพลิงสีเขียวเผาไหม้ สายฟ้ากระจายออกทุกทิศทาง เสียงระเบิดดังสนั่น

พลังของเพลิงอัสนีโจมตีไปยังกายเนื้อและจิตวิญญาณพร้อมกัน ย่อมต้องรุกรานเข้าไปในจิตใจของเนตรวิญญาณหนานจื่อ

“ไอ้เด็กไร้ยางอาย ลอบโจมตี…”

เนตรวิญญาณหนานจื่อสลายเพลิงอัสนีลงอย่างยากลำบาก ร่างกายไหม้ดำ สีหน้าเหนื่อยอ่อน

“คนแซ่จ้าวผู้นี้เพียงคิดว่าผู้ใดโจมตีก่อนย่อมได้เปรียบ เจ้าหลบซ่อนในแม่น้ำ แอบมองอยู่นานแล้ว มีหรือจะมีเจตนาดี?”

จ้าวเฟิงสีหน้าเฉยชา ชัยชนะอยู่ในกำมือ

เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าของเขาได้คว้าโอกาสโจมตีก่อนได้เปรียบไปแล้ว ทำให้เนตรวิญญาณหนานจื่อได้รับบาดเจ็บทั้งทางกายภาพและจิตใจ

เนตรวิญญาณหนานจื่อกัดฟันกรอด ยังพอต้านทานการอาละวาดของการโจมตีภายในจิตใจได้

ในโลกแห่งจิตของเขา เปลวเพลิงสีเขียวได้เผาไหม้ สายฟ้าระเบิดออก ความเจ็บปวดทรมานที่ได้รับมากกว่าปกตินับสิบนับร้อยเท่า

หากมิใช่เพราะเขามีสายเลือดดวงตา เชี่ยวชาญในวิชาดวงตา หากเป็นผู้อื่นในระดับเดียวกันก็คงจะทรุดลงไปนานแล้ว

เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงขยับเข้ามาใกล้เล็กๆ “ฟุบ” ร่างของเนตรวิญญาณหนานจื่อก็กลับกลายเป็นเงาพร่าเลือน หลบหนีหายไปอย่างรวดเร็ว

ทว่า

ไม่ว่าเขาจะหลบหนีไปอย่างไรก็ไม่อาจเล็ดรอดไปจากเนตรเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้

“เนตรวิญญาณผลาญจิต”

เนตรวิญญาณหนานจื่อกัดฟันกรอด นัยน์ตามืดหม่นส่องประกายเปลวเพลิงหม่นมัวขึ้นวูบ

ในเสี้ยววินาที เพลิงวิญญาณเย็นเยียบก็ได้เกาะติดกับร่างกายของจ้าวเฟิง

กลิ่นอายเย็นเยียบหดหู่ที่เกาะอยู่บนร่างของเด็กหนุ่มได้เผาไหม้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ทำให้ร่างกายของจ้าวเฟิงรู้สึกกระสับกระส่าย

จ้าวเฟิงใส่ ‘เสื้อคลุมไหมสวรรค์ลี้ลับ’ ยอดสมบัติชิ้นนี้ ตัวอาภรณ์ไร้ซึ่งความเสียหาย ในขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มได้กระตุ้นพลังสายเลือดในร่างของเขา เงาร่างเย็นเยียบยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง

วืดดดด

พลังเหมันต์อัสนีไหลวนรอบร่างของเขา เพลิงแสนหดหู่เหล่านั้นราวกับเผชิญหน้ากับสิ่งที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิงถูกสลายไปในเสี้ยววินาที

พลังความเย็นและเปลวเพลิงจากเพลิงจิตวิญญาณถูกสลายไปอย่างง่ายดาย

สายฟ้านั้นถือเป็นขั้วตรงข้ามของศาสตร์แห่งวิญญาณ

สำหรับระดับจิตวิญญาณนั้น จ้าวเฟิงกระตุ้นเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าทำลายพลังที่เผาไหม้จิตใจของเขาในเสี้ยววินาที

แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเขาเหนือกว่าเนตรวิญญาณหนานจื่ออย่างมาก ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

“ไอ้หนู เจ้าขโมยวิชาสายเลือดของข้าไป ไม่รู้สึกซาบซึ้งนับเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่ากระทั่งแว้งกัดผู้มีบุญคุณเช่นนี้อีก”

เนตรวิญญาณหนานจื่อตวาดเสียงดัง น้ำเสียงสั่นสะท้าน เผยความลนลานกระวนกระวายออกมาอย่างชัดเจน

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถสลายการโจมตีทั้งหมดของเขาได้รวมทั้งสายเลือดดวงตาและวิชาเคลื่อนไหวหลบซ่อนของเขา

เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าได้รับผลประโยชน์จากการลอกเลียนแบบ ‘เพลิงวิญญาณผลาญจิต’ ของเขา บัดนี้มันสามารถเอาชนะต้นแบบได้โดยสมบูรณ์แล้ว

พลังของเพลิงอัสนีนั้นนับเป็นขั้วตรงข้ามของศาสตร์แห่งวิญญาณอยู่แล้ว ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่ามาก

เนตรจิตวิญญาณเหมันต์

นัยน์ตาซ้ายของจ้าวเฟิงกลับกลายเป็นบ่อน้ำเหมันต์เย็นเยียบไร้ก้นบึ้ง พลังความเย็นที่ไม่อาจมองเห็นได้แทรกซึมเข้าไปในจิตใจ

เฮือก

เนตรวิญญาณหนานจื่อราวกับตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ความเย็นแผ่ซ่านในจิตใจ กัดกร่อนโจมตีสติของเขา

ก่อนหน้าเป็นเพลิงอัสนี ยามนี้เป็นจิตวิญญาณเหมันต์

เนตรวิญญาณหนานจื่อพยายามต่อต้าน ‘การโจมตีของเปลวเพลิงและน้ำแข็ง’ ของจ้าวเฟิง จิตใจแทบจะแหลกสลาย อาการบาดเจ็บที่จิตใจขยายใหญ่ขึ้น

‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ ได้ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเนตรวิญญาณหนานจื่อแข็งค้าง การเคลื่อนไหวสีหน้าเชื่องช้าอย่างมาก

ทุกการกระทำเคลื่อนไหวภายนอกของบุคคลล้วนมาจากการควบคุมของจิตใจ

เมื่อความคิดถูกแช่แข็งเปลี่ยนเป็นเชื่องช้า ร่างกายก็ย่อมติดขัดถูกแช่แข็งไม่แตกต่างกันมากนัก

“ควรค่าแล้วที่นับเป็นหนึ่งในสามตระกูลดวงตา แม้ถูกการโจมตีของวิชาดวงตาทั้งสองของข้าเข้าไป ทว่ากลับไม่ได้รับอันตรายมากนัก”

จ้าวเฟิงอดที่จะชมเชยด้วยความประหลาดใจไม่ได้

‘การโจมตีของเปลวเพลิงและน้ำแข็ง’ ของจ้าวเฟิงนี้ หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำทั่วไปคงจะหมดสภาพไปแล้ว

พลังทำลายของเนตรจิตวิญญาณเหมันต์นั้นไม่รุนแรง ทว่าความสามารถในการสนับสนุนแข็งแกร่งยิ่งนัก

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงราวกับผลึก จับจ้องไปยังนัยน์ตาหมองหม่นของเนตรวิญญาณหนานจื่ออย่างต่อเนื่อง ฝ่ายหลังร่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด ความเย็นเยียบที่ได้รับแสดงออกมาทางการเคลื่อนไหวสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด

เมี้ยว เมี้ยว

แส้สีเงินลายโลหิตเคลื่อนไหวราวอสรพิษ ยืดออกจากความว่างเปล่า มัดพันร่างของเนตรวิญญาณหนานจื่อเอาไว้

ฉัวะ

เนตรวิญญาณหนานจื่อถูกมัดโดยแส้อสรพิษโลหิตลึกลับ พลังภายในร่างถูกดูดกลืนไปเล็กน้อยทั้งที่มีมรดกสายเลือดที่แข็งแกร่งของสามตระกูลดวงตา

“อย่าได้คิดที่จะขโมยตราคำสั่งเซียนมังกรของข้า…”

ใบหน้าของเนตรวิญญาณหนานจื่อบิดเบี้ยว นัยน์ตาหมองหม่นส่องประกายเย็นเยียบแดงก่ำขึ้นหลายส่วนกำลังจะใช้วิชาที่ทรงพลังยิ่งขึ้นออกมา

ฟุบ

แมวขโมยตัวน้อยตวัดอุ้งเท้าตบเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย สร้างความร้อนฉ่าบนใบหน้าพร้อมกับความรู้สึกมึนงง

ตุบ

เนตรวิญญาณหนานจื่อทรุดตัวลงคุกเข่าที่พื้น ยามที่รู้ตัวอีกที แมวขโมยที่ฉกชิงตราคำสั่งเซียนมังกรของเขาไปอย่าง ‘บีบบังคับและเจ้าเล่ห์’ ก็ได้หายไปแล้ว

“อืม ดี”

จ้าวเฟิงได้รับตราคำสั่งเซียนมังกรสีทองอย่างรวดเร็ว ยามนี้ไม่รู้ว่าตัวเขาเทียบกับโม่เทียนอี้ได้หรือไม่

ฟึบ

ในเสี้ยววินาที เงามังกรทองบนร่างของเด็กหนุ่มก็พลันพุ่งทะยานขึ้นสูงหลายฟุต เพิ่มขึ้นหนึ่งในสามส่วนทันที

ในมิติ เงาร่างมังกรทองอีกห้าตัวราวกับรับรู้ พลันส่งเสียงคำรามออกมาแผ่วเบา

ในยามนั้น อัจฉริยะทั้งหมดในมิติได้รับรู้ถึงแรงกดดันจากวาสนามังกรทั้งหก

ตราบเท่าที่อยู่ในระยะร้อยลี้จะสามารถมองเห็นเงามังกรทองได้ด้วยตาเปล่า

“วาสนามังกรของจ้าวเฟิงผู้นี้อยู่ในระดับของห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แล้ว”

“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเขาได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนที่หกไปแล้ว?”

ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกมิติต่างก็ปรากฏความวุ่นวายขึ้น

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันก็อาจนับได้ว่าเป็นข้อสรุปที่แน่นอน

โม่เทียนอี้ตั้งแต่เริ่มจนจบได้ดูการเอาชนะเนตรจิตวิญญาณหนานจื่ออย่างทรงพลังของจ้าวเฟิงและวิธีการแย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกร จิตใจสั่นสะท้าน ปรากฏความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้

ควรรู้ว่า เนตรวิญญาณหนานจื่อคือยอดฝีมือชั้นแนวหน้าในระดับเดียวกับเขา

ในยามนี้

ฟิ้วว

จ้าวเฟิงบินต้านลมมาทางโม่เทียนอี้ เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหวส่องประกาย

ไม่ดีแล้ว

โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองเปลี่ยนสีหน้า กระทั่งมีความคิดที่จะหลบหนี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!