Skip to content

King of Gods 372

King Of Gods

บทที่ 372 : ความลับของอาจารย์

ในเวลาเดียวกับที่จ้าวหยูเฟ่ยบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ เหนือลานประลองชางกู่ก็ได้ปรากฏภาพมรดกอันใหม่ขึ้น

ภาพมรดกนั้นยิ่งใหญ่น่าตื่นตะลึง กลิ่นอายเย็นเยียบแพร่กระจายออก กดดันภาพมรดกทั้งหลายที่อยู่ใกล้เคียง

เหล่าภาพมรดกที่ปรากฏขึ้นสลายหายไปในเสี้ยววินาที

ผู้คนให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่เหนือศีรษะ เห็นว่าเหนือก้อนเมฆได้ปรากฏเงาภาพหนึ่งเป็นราชวังหยกเย็นอันงดงาม ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ เห็นเพียงเค้าโครงเลือนราง

“มรดกฉวนปิง!”

ราชินีฉวนปิงอุทานเสียงแผ่ว รู้สึกประหลาดใจและยินดีขณะมองไปยังเงามรดกขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ

เป็นเวลายาวนานนักที่วังฉวนปิงได้ปกป้องทางเข้ามรดกฉวนปิง ดังนั้นจึงมีความเข้าใจในมรดกนี้อย่างมาก

ทว่ามรดกฉวนปิงเป็นหนึ่งในสี่มหามรดก มันย่อมไม่ง่ายขนาดที่จะถูกควบคุมโดยกลุ่มอำนาจเดียวได้

สิ่งที่วังฉวนปิงได้รับนั้นเป็นเพียงทางเข้ามรดกสาขาของ ‘มรดกฉวนปิง’ เท่านั้น

มีเพียงแค่งานชุมนุมเซียนมังกรที่จะสามารถรองรับ ‘มรดกฉวนปิง’ หลัก เชื่อมต่อกับยู่ไว่ได้

“หนึ่งในสี่มหามรดก มรดกฉวนปิง!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้ฝึกตนในศาสตร์แห่งเหมันต์นับว่าโชคดีนัก”

ลานประลองชางกู่ปรากฏความวุ่นวายขึ้นเล็กๆ

มรดกฉวนปิง ในฐานะของหนึ่งในสี่มหามรดก ในรอบพันปีหรือหลายพันปีจะปรากฏขึ้นสักครั้ง

ทว่าเมื่อมรดกฉวนปิงได้ปรากฏขึ้น วิชา สมบัติ และสมบัติหายากที่สูญหายไปของศาสตร์แห่งเหมันต์ยากจะหาได้พบในทวีปย่อมปรากฏขึ้น สามารถสร้างความมั่นคงให้กับการฝึกศาสตร์แห่งเหมันต์ของทวีปได้

อาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นมรดกใดในสี่มหามรดกที่ปรากฏขึ้นก็จะส่งผลต่อโชคชะตาของทั้งทวีปอย่างมาก

โดยหนึ่งในนั้นคือ “มรดกความลับสวรรค์” ที่มีความเก่าแก่และลึกลับที่สุด ทุกครั้งที่ปรากฏขึ้นจะส่งผลต่อสถานการณ์ของทวีป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล

“สี่มหามรดก นี่นับเป็นมรดกที่สองแล้ว แต่น่าเสียดายที่มรดกจันทราชาดก่อนหน้าถูกแย่งชิงไปโดยลัทธิมารจันทราชาด”

ผู้สูงศักดิ์หยูเทียนฮ่าวเอ่ยด้วยอารมณ์สะเทือนใจ

“การปรากฏขึ้นของมรดกแต่ละครั้งไม่มีความบังเอิญ ย่อมต้องมีการตอบสนองต่อเงื่อนไขของอัจฉริยะ”

สายตาของร่างยักษ์ผิวทองแดงมองไปภายในมิติ

ควรจะบอกว่าสายตาของเขามองไปยังร่างของจ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อที่อยู่ท่ามกลางดินแดนอันหนาวเหน็บเต็มไปด้วยชั้นน้ำแข็งเสียมากกว่า

“เป็นพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งและวิชาธาตุน้ำแข็งของปิงเว่ยเซียนจื่อเสียส่วนมาก มรดกฉวนปิงย่อมเกิดการตอบสนอง ทั้งวาสนามังกรยังทรงพลังยิ่งนัก”

“บางทีอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับจ้าวเฟิงด้วย พลังสายเลือดของเขาเองก็เป็นธาตุน้ำแข็ง ทั้งยังบริสุทธิ์และเก่าแก่ยิ่งนัก”

ผู้สูงศักดิ์หลายคนผงกศีรษะเห็นด้วย

การปรากฏขึ้นของมรดกฉวนปิงย่อมนับเป็นเรื่องดี ทำให้สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์รู้สึกยินดีและมีความคาดหวังมากยิ่งขึ้น

จะอย่างไร งานชุมนุมเซียนมังกรก็ยังไม่ถึงช่วงสุดท้าย

ในเก้าผู้สูงศักดิ์ ได้มีผู้ฝึกตนชราสวมใส่อาภรณ์สีขาว ให้ความรู้สึกราวกับเป็นเทพเซียนที่ยังคงเงียบงันอยู่

เขาได้มองไปยังมรดกฉวนปิงผ่านๆครั้งหนึ่ง ความสนใจส่วนมากมุ่งไปยังสถานการณ์การพัฒนาของจ้าวหยูเฟ่ยอย่างสมบูรณ์

“รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณเป็นรายชื่อของสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าดิน ไม่ว่าจะเป็นสายเลือดใดก็ไม่ด้อยไปกว่าสี่มหามรดก”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดขาวมองอย่างไม่กระพริบตา ไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว

ในสายตาของเขา การที่พลังสายเลือดของจ้าวหยูเฟ่ยพัฒนาขึ้นจากการบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้นั้นกระทั่งสำคัญกว่าการเชื่อมต่อของมรดกยู่ไว่

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดขาวคืออาจารย์ของจ้าวหยูเฟ่ย ยอดผู้อาวุโสของสำนักเทียนหยวน และในเวลาเดียวกันก็เป็นสมาชิกของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย

ในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดขาวเอ่ยพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้น

นั่นเป็นเพราะเขาได้คาดการณ์ถึงความลับอันยิ่งใหญ่ของจ้าวหยูเฟ่ยไว้ก่อนแล้ว แม้จะไม่แน่ใจก็ตาม นอกจากยอดผู้อาวุโสคนอื่นของสำนักเทียนหยวนแล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความลับนี้อีก

ทว่ายามนี้ จ้าวหยูเฟ่ยบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ สถานการณ์ของพลังสายเลือดน่าตื่นตะลึง อาจทำให้ผู้สูงศักดิ์คนอื่นสังเกตเห็นได้

เมื่อความลับนั้นได้รับการยืนยันและเปิดเผย โดยเฉพาะหากข่าวรั่วไหลไปยังยู่ไว่ ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดขาวยากที่จะรับมือกับสิ่งที่จะตามมาได้ อย่างน้อย ‘สำนักเทียนหยวน’ ก็ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้

ดังนั้นในยามนี้ ใจของผู้ฝึกตนเฒ่าชุดขาวจึงปรากฏความกระวนกระวายขึ้นบ้าง

โชคดีที่มรดกฉวนปิงปรากฎขึ้น ดึงดูดความสนใจของทุกคนไป

“ผู้สูงศักดิ์ไป๋หยุน จ้าวหยูเฟ่ยผู้นั้นคงเป็นศิษย์ของท่าน สถานการณ์สายเลือดยามบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้นับว่าไม่ธรรมดานัก”

ผู้สูงศักดิ์ปี้เยว่เผยรอยยิ้มบาง ให้ความสนใจกับสีหน้าที่เครียดเขม็งขึ้นเล็กๆ ของอีกฝ่าย

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดขาวคือผู้สูงศักดิ์ไป๋หยุน หนึ่งในเก้าผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น

“ฮี่ฮี่ เป็นศิษย์ของไป๋หยุนผู้นี้เอง สายเลือดพรสวรรค์ของนางทรงพลังยิ่งนัก เมื่อเทียบกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แล้วยังนับว่าเทียบได้กับจอมดาบเย่อู๋เสี่ยในอดีต”

“ดูจากสถานการณ์การต่อสู้แล้ว พลังสายเลือดของสตรีผู้นี้ได้ถูกเปิดเผยขึ้นจากการบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ อย่างน้อยก็มีพลังต่อสู้เข้าใกล้ระดับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้”

ผู้สูงศักดิ์หลายคนเอ่ยแสดงความยินดี ไม่ลังเลที่จะชื่นชมเสียหลายคำ

ผู้สูงศักดิ์ไป๋หยุนกลบซ่อนความลนลานในน้ำเสียง เอ่ยขึ้นว่า “โอ้ ศิษย์สตรีผู้นี้ของข้าทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ยามนี้นับว่าเร่งรีบไปอยู่บ้าง บางทีอาจทำให้พื้นฐานพลังไม่มั่นคง”

ความจริงแล้ว

เขารับรู้อย่างชัดเจน พลังสายเลือดของจ้าวหยูเฟ่ยตอบรับกับไอสวรรค์แต่กำเนิด ปราณจิตวิญญาณในร่างบริสุทธิ์ยิ่งนัก พื้นฐานพลังย่อมไม่มีสิ่งใดจะต้องเอ่ยถึง

ภายในมิติ ใกล้บริเวณแม่น้ำ ไอสวรรค์หลากสีได้แยกออก สร้างภาพงดงามยิ่งใหญ่ขึ้น

ถ้ำใต้แม่น้ำ

ผิวกายของจ้าวหยูเฟ่ยมีสีขาวบริสุทธิ์ราวหยกหิมะ กระทั่งปรากฏแสงสว่างขึ้นจางๆ ทว่าแสงนั้นได้มีรูปลักษณ์คล้ายดอกไม้ที่ยังคงตูมอยู่

ใบหน้างดงามของเด็กสาวนิ่งเรียบ ภายใต้แสงที่ส่องประกายเจือจางได้ปรากฏกลิ่นอายสูงส่งบางประการขึ้น

ไอสวรรค์รอบกายได้สั่นสะท้อนโดยมีนางเป็นจุดศูนย์กลาง กลายเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่งดงามภาพหนึ่ง

เด็กสาวรู้สึกว่าไอสวรรค์นั้นเป็นมิตรยิ่งนัก ราวกับเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของนาง

นางสามารถดึงดูดช่วงใช้ไอสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย หลอมรวมพลังของฟ้าดิน เหนือกว่าการเชื่อมต่อกับเสวียนอ้าวของไอสวรรค์ได้เหนือกว่าขั้นผู้วิเศษแท้นับสิบเท่า เทียบเคียงได้กับขั้นนายเหนือแท้

ในเวลาสั้นๆ เพียงชั่วขณะ

พลังฝึกตนของนางก็ได้ข้ามผ่านขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่มไปอย่างง่ายดาย เข้าใกล้ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ

หลังจากทะลวงสู่ ‘ขั้นผู้วิเศษแท้’ อย่างง่ายดายราวทะลวงผ่านแผ่นกระดาษ เด็กสาวก็ได้ก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ที่กว้างใหญ่ได้สำเร็จ ทุกอย่างเป็นเพราะเงื่อนไขที่สมบูรณ์

เป็นเรื่องดีที่นางซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้แม่น้ำ คนภายนอกจึงไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ที่แท้จริงของนางได้

แน่นอนว่าผู้ที่แข็งแกร่งเช่นขั้นนายเหนือแท้และระดับของผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ภายนอกมิติย่อมสามารถเห็นร่องรอยบางอย่างได้

“นี่คือพลังสายเลือดที่ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตราบเท่าที่ขอบเขตจิตวิญญาณสูงเพียงพอ การพัฒนาก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย”

รองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงรู้สึกอิจฉาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

สายเลือดเช่นนี้ทำให้เขาคิดถึงบางอย่างขึ้นได้อย่างกะทันหัน

“อย่าได้บอกข้าว่า? เป็นไปไม่ได้…”

ความคิดนั้นได้ถูกปัดตกไปในทันใด

ใกล้เขตแม่น้ำ กลุ่มแสงได้ปรากฏขึ้นอยู่อีกพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ

จ้าวหยูเฟ่ยราวกับรับรู้ว่าขอบเขตจิตวิญญาณของตนเองนั้นไม่เพียงพอ หรือมิเช่นนั้นด้วยความพยายามของตัวนางคงสามารถบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำได้แล้ว

หากเปลี่ยนเป็นจ้าวเพียง หากมีพรสวรรค์สายเลือดนี้ย่อมสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำได้ในหนึ่งลมหายใจ กระทั่งบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง

ทว่าในโลกนี้ไม่มีสายเลือดที่สมบูรณ์แบบ

พรสวรรค์สายเลือดของจ้าวเฟิงโดยมากเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ การพัฒนาขอบเขตจิตวิญญาณยากจะหาผู้ใดเทียบเคียง

ทว่าจ้าวหยูเฟ่ยคือขั้วตรงข้าม พรสวรรค์โดยมากเกี่ยวกับไอสวรรค์ พลังปราณแท้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทว่าในด้านของขอบเขตจิตวิญญาณกลับไม่อาจตามได้ทันอยู่บ้าง

ในแม่น้ำ

ใจกลางโลกแห่งความหนาวเหน็บ จ้าวเฟิงได้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปในอ้อมกอดของปิงเว่ยเซียนจื่อ ถูกแช่แข็งอย่างต่อเนื่อง

“เจ้าตัวเลวร้าย! ดูสิว่าเจ้าจะต่อต้านได้นานแค่ไหน ด้านพลังฝึกตนและความเข้าใจในศาสตร์แห่งเหมันต์เจ้านับว่าด้อยกว่าข้า…”

ผิวกายของปิงเว่ยเซียนจื่อราวกับผลึกน้ำแข็ง ‘กอด’ จ้าวเฟิงไว้อย่างแนบแน่น

คนทั้งสองอยู่ในสภาพ ‘กอด’ กันเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วน้ำชาเดือดแล้ว

“พลังความเย็นบนร่างของปิงเว่ยเซียนจื่อได้ถ่ายเทออกมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าอาจกล่าวได้ว่าจ้าวเฟิงยังไม่ถูกแช่แข็งจนหมด”

โม่เทียนอี้กระวนกระวาย รู้สึกหมดสิ้นหนทาง

หากต้องการช่วยเหลือจ้าวเฟิง ศิษย์น้องหยูเฟ่ยก็กำลังอยู่ในช่วงเวลาทะลวงขั้น

“ศิษย์พี่ จากข้อตกลงก่อนหน้า เราจะเป็นผู้คุ้มกันของจ้าวเฟิงยามที่เขาปิดด่านทะลวงขั้นสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ บัดนี้ข้อตกลงเสร็จสิ้นแล้ว การช่วยเหลือเขาไม่ได้อยู่ในข้อตกลง ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าเราไม่อาจเข้าไปใกล้ส่วนลึกของอาณาเขตเหมันต์ได้ บางทีคงมีเพียงระดับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้”

บุรุษหน้าเหลืองส่ายศีรษะเอ่ย

โม่เทียนอี้หมดสิ้นหนทาง จำต้องทำเช่นนั้น

ปิงเว่ยเซียนจื่อได้ใช้วิชาร่วมกับพลังสายเลือด ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไป หากเข้าใกล้ย่อมถูกแช่แข็งไปด้วยกัน

โดยเฉพาะผลึกน้ำแข็งนั้นได้เกาะตัวสร้างชั้นหนาการป้องกันเหล่านั้น ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปย่อมยากที่จะสร้างแม้รอยขีดข่วน

เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองจึงตัดสินใจให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของศิษย์น้องจ้าวหยูเฟ่ยก่อน

จะอย่างไรจ้าวเฟิงก็เป็นเพียงคนนอก

“จะแช่แข็งข้าหรือ… อย่าแม้แต่จะคิด!”

ในกลางชั้นน้ำแข็ง แม้ร่างกายของจ้าวเฟิงจะถูกแช่แข็ง ทว่าปราณจิตวิญญาณในร่างกลับไม่หยุดดิ้นรน

ตราบเท่าที่เขายังมีสติ ย่อมสามารถควบคุมพลังสายเลือดและปราณจิตวิญญาณได้

พลังสายเลือดของเขามีธาตุน้ำแข็ง มันได้ละลายและดูดกลืนพลังความเย็นส่วนมากให้แก่เขา ทำให้มันยังสามารถไหลเวียนต่อไปได้

นอกจากนั้น

ภายในร่างกายของจ้าวเฟิงยังมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณสองส่วนคือของตนเองและของจอมโจรฉุ่ยเยว่

ในสถานการณ์อันตราย จ้าวเฟิงได้ประหยัดปราณจิตวิญญาณของตนเองให้ได้มากที่สุด เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่แทน

ในด้านของระดับความเข้มข้นนั้น ปราณจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่เมื่อเทียบแล้วนับว่าเหนือกว่าจ้าวเฟิง

ในสถานการณ์ที่เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ ความสามารถในการต่อต้านของจ้าวเฟิงได้เพิ่มมากขึ้น

แน่นอนว่าเขาสามารถทำได้เพียงเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณในปริมาณที่เล็กน้อย หรือมิเช่นนั้นร่างกายของเขาย่อมไม่อาจทนได้ ทำให้จุดชีพจรได้รับความเสียหาย กระทั่งร่างกายระเบิดออก

“ไอ้เด็กนี่มิคาดยอมเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ หึหึ ทันทีที่มันหมดลงย่อมสร้างความเสียหายกับรากฐานอย่างมาก ทำให้พลังลดลงที่ขั้นมนุษย์แท้”

ปิงเว่ยเซียนจื่อเค้นเสียงหัวเราะเย็นอยู่ในใจ

ชายขอบของดินแดนน้ำแข็งที่คนทั้งสองอยู่ ชื่อเฉิงเทียนนั่งอยู่บนพื้นรักษาอาการบาดเจ็บ

บนยอดเขาที่ห่างไกล

สายตาชั่วร้ายโหดเหี้ยมของแฝดไท่หยุนจับจ้องไปยังสถานการณ์บริเวณนี้

“สวะ… โจมตีอย่างไร้เมตตา จะดีที่สุดถ้าทำให้มันพิการ เราจะได้รับผลประโยชน์ทั้งหมด!”

แฝดผู้น้องของแฝดไท่หยุนมีท่าทีคาดหวังพึงพอใจ

ทว่าความทนทานความเย็นของจ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนนั้นเหนือกว่าที่คาดไว้มากนัก

เพียงพริบตา เวลาได้ผ่านไปแล้วกว่าครึ่งชั่วยาม

ระหว่างจ้าวเฟิงและปิงเว่ยเซียนจื่อยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะ

“สุดท้ายแล้วผู้ถูกเลือกก็มีพลังเหนือกว่าผู้อื่นหลายเท่า ต้องโทษตัวข้าเองที่ก่อนหน้าประมาทศัตรูมากไป เลยหลงกลของสตรีผู้นี้เข้า”

จ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณจำนวนมาก และไม่กล้าที่จะเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณตรงๆ

เพราะร่างกายถูกแช่แข็ง ปราณจิตวิญญาณจึงไม่มีทางออก ทำได้เพียงต่อต้านปิงเว่ยเซียนจื่ออย่างเชื่องช้า

เมื่อเป็นเช่นนี้ มันจึงกลายเป็นการแข่งความอดทนไป

จ้าวเฟิงไม่จำเป็นต้องกังวล จะอย่างไรเขาก็ต้องหาทางทิ้งแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ปิงเว่ยเซียนจื่อจะสามารถเทียบได้หรือ?

“ศิษย์พี่โม่ ศิษย์น้องหยูเฟ่ยทะลวงขั้นสำเร็จแล้ว ควรให้นางออกมาช่วยดีหรือไม่”

บุรุษหน้าเหลืองเอ่ย

“ไม่มีประโยชน์ นางเพิ่งจะทะลวงขั้น คงไม่อาจช่วยอันใดได้มาก”

โม่เทียนอี้ส่ายศีรษะ

ในเวลาเดียวกัน

ภายในมิติ ในหุบเขาที่ห่างไกลและเงียบสงบแห่งหนึ่ง

“เจ้าคือซินอู๋เหินใช่หรือไม่?”

เรือนผมสีดำของหยูเทียนฮ่าวพลิ้วไหว นัยน์ตาสีดำลึกล้ำจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มรูปลักษณ์ธรรมดาสามัญที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินใหญ่

“เหตุใดเจ้าจึงไล่ตามข้ามา ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า! เจ้าน่าจะเข้าใจดีว่าในงานชุมนุมเซียนมังกรนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้ทั้งนั้น”

ซินอู๋เหินส่ายศีรษะถอนใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!