บทที่ 375 : เรียนรู้และพัฒนา
ผู้ไร้คู่ต่อสู้ใต้ผืนฟ้า
จิตต่อสู้ของหยูเทียนฮ่าวพุ่งสูงขึ้นสู่สวรรค์ ไม่มีทีท่าล่าถอย ตัดผ่านอากาศพุ่งสูงขึ้นจนไม่อาจรับมือ ฝ่ามือส่องแสงสว่างจ้า พื้นดินสั่นสะท้านเล็กๆ ชั้นเมฆม้วนหมุนเกาะกลุ่มไปกับกลิ่นอายนั้นก่อนจะสลายหายไป
ในยามนั้น เขาราวกับยืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน มีความมั่นใจสูงส่งอย่างไม่อาจเทียบ บดขยี้ทุกสิ่ง
ดาราเคลื่อนคล้อย หมื่นรากย้อนคืน
ซินอู๋เหินเข้าตาจนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยืนย่อเข่ามือศอกและแขนงอเข้าข้างลำตัว เท้าทั้งสองห่างระดับไหล่ มือทั้งสองวาดออกเป็นระลอกแปลกประหลาด ดูดกลืนเบี่ยงเบนพลังฝ่ามือของหยูเทียนฮ่าวที่ส่งแรงกดดันมหาศาลออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทว่า
ในช่วงเวลาสุดท้าย ด้วยจิตต่อสู้ที่พุ่งสูงขึ้น พลังฝึกตนของหยูเทียนฮ่าวก็ได้เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงอย่างไม่อาจควบคุมได้
ปึ้ง
ร่างกายของซินอู๋เหินกระเด็นพลิกตลบ กระแทกเข้ากับเทือกเขา ฝุ่นฟุ้งกระจาย
“ข้าแพ้แล้ว หากต้องการตราคำสั่งเซียนมังกร ข้าสามารถมอบให้เจ้าได้”
ซินอู๋เหินนำตราคำสั่งเซียนมังกรออกมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ในมิติ ไม่ใช่การต่อสู้แพ้ชนะที่จะสามารถช่วงชิงวาสนามังกรได้ แต่เป็นการแย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกรมาให้ได้
ความแตกต่างด้านพลังฝึกตน รวมทั้งพลังสายเลือดพิเศษของหยูเทียนฮ่าวที่มีศาสตร์แห่งการต่อสู้เหนือกว่าผู้ใดทำให้การต่อสู้นี้ไม่ยืดเยื้อ
“พลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่ม ทว่ากลับสามารถไล่ต้อนให้ข้าใช้พลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง ทั้งยังชนะอย่างเฉียดฉิว”
หยูเทียนฮ่าวมองไปยังซินอู๋เหินอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ราวกับพยายามจดจำรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเอาไว้
เพียงแต่รูปลักษณ์ของซินอู๋เหินธรรมดายิ่งนัก แทบจะไม่มีสิ่งใดโดดเด่น
ความจริงแล้ว บนร่างของเขาให้ความรู้สึกนิ่งสงบ ไม่ยินดียินร้าย ไม่มีท่าทีรีบร้อนประหม่าซึ่งไม่เหมาะสมกับอายุของเขาเลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายแล้ว
หยูเทียนฮ่าวก็ไม่ได้นำตราคำสั่งเซียนมังกรของซินอู๋เหินไป ทำเพียงหมุนตัวและบินจากไป
ในความคิดของเขา การต่อสู้นี้ตัวเขาไม่อาจนับว่าชนะได้ อาจกระทั่งกล่าวได้ว่าพ่ายแพ้
ในฐานะของอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีป หยูเทียนฮ่าวเต็มไปด้วยวาสนามาตั้งแต่ยังเยาว์ ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของรุ่นมาโดยตลอด ทั้งเย่อหยิ่งและเดียวดาย
แม้การต่อสู้ครั้งนี้เขาจะไม่ได้พ่ายแพ้ แต่ในใจก็ปรากฏความหงุดหงิดขึ้นเล็กๆ
ซินอู๋เหินมองตามร่างที่จางหายไปของหยูเทียนฮ่าว สั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้ม การที่อีกฝ่ายไม่ต้องการตราคำสั่งเซียนมังกรนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาคาดไว้
ลานประลองชางกู่ แท่นสูง
“กระบวนท่าสุดท้ายนั่น แม้ซินอู๋เหินจะดูเหมือนพ่ายแพ้ ทว่าความจริงแล้วเขาแทบไม่ได้รับบาดเจ็บ สลายพลังโจมตีทั้งหมดไป”
บนใบหน้างดงามราวหยกของผู้อาวุโสปี้เยว่ไม่อาจปิดบังความประหลาดใจเอาไว้ได้
“นี่นับเป็นเรื่องดี หนทางการฝึกตนของฮ่าวเอ๋อร์นับว่าเรียบง่ายจนเกินไป การที่ไม่มีคู่ต่อสู้แม้แต่คนเดียวไม่นับเป็นเรื่องดี”
สายตาของหยูซิงเฉินสั่นระริก อดที่จะครุ่นคิดอย่างตื่นเต้นไม่ได้
ในฐานะของบิดา เขากระทั่งหวังให้หยูเทียนฮ่าวพานพบความยากลำบากจำนวนมาก เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเสียบ้าง
ทว่าพรสวรรค์ความเข้าใจของหยูเทียนฮ่าวนั้นน่าตื่นตะลึงเกินไป อัจฉริยะในช่วงวัยเดียวกันความสามารถห่างไกลยิ่งนัก ยากที่จะตามได้ทัน
ช่วงหนึ่งปีมานี้หยูเทียนฮ่าวจงใจไม่ทะลวงขั้นสู่ขั้นนายเหนือแท้ มิเช่นนั้นงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้จะยังมีความหมายอันใดสำหรับเขาได้อีก?
บนที่สูง
สติของจ้าวเฟิงอยู่ในสภาวะที่ลึกล้ำที่สุด ราวกับละออกจากกายเนื้อ ขึ้นไปยังเหนือชั้นเมฆ มองไปยังการต่อสู้ของซินอู๋เหินและหยูเทียนฮ่าวด้วยมุมมองของปักษา
ความรู้สึกที่คล้ายเดิมได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สอง
ทั้งสองครั้ง บนท้องนภาสีครามได้ปรากฏเนตรสวรรค์ขึ้นจางๆ ทว่าแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่ใช้ไปกลับนับได้ว่าน่าผวายิ่งนัก
ยามนี้ จ้าวเฟิงสามารถควบคุมมันได้เล็กๆ ทำเพียง ‘แอบมอง’ เท่านั้น ไม่ได้ส่งแรงกดดันออกไป
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ซินอู๋เหินมองไปยังอากาศเบื้องบนอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว ท่าทีเคลือบแคลงเล็กๆ มีท่าทีลังเล
“พลังต่อสู้ของหยูเทียนฮ่าวนับว่าแข็งแกร่งโดยแท้ เอาชนะได้กระทั่งซินอู๋เหิน”
ในมิติในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้ปรากฏภาพการต่อสู้ขึ้น
ร่างของหยูเทียนฮ่าวเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เหนือกว่าจิตแห่งกระบี่และจิตแห่งดาบทั่วไป เฉกเช่นของชางหยูเยว่และเทียนหยุนจื่อ เบื้องหน้าส่งการโจมตีรุนแรงแรกออกไป
พลังนี้แม้จะมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในใจ จ้าวเฟิงก็ยังยากที่จะคัดลอกได้
ความสามารถในการคัดลอกของดวงตาเทพเจ้านั้นแม้จะหลากหลาย ทว่าก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ในระดับหนึ่ง
อย่างแรกคือพลังสายเลือดและการเชื่อมต่อพลังธาตุ
โดยเฉพาะวิชาสายเลือดบางส่วนที่ต้องกระตุ้นใช้มรดกสายเลือด แม้จ้าวเฟิงจะเข้าใจถึงหลักการก็ไม่อาจที่จะใช้ออก
นี่คืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด
จากนั้นจึงเป็นการที่ระดับของวิชาสูงส่งเกินไป เด็กหนุ่มจะยากที่จะทำความเข้าใจได้ ถูกพลังฝึกตนตีกรอบไว้ไม่อาจที่จะใช้ออก
ตัวอย่างเช่น หากให้จ้าวเฟิงไปทำความเข้าใจ ‘วิชาชั้นดิน’ ที่กระทั่งขอบเขตแก่นก่อกำเนิดยังยากที่จะทำความเข้าใจ ไม่ต้องเอ่ยถึงระดับของเขาในยามนี้เลย
เจตจำนงวิชาของซินอู๋เหินนับว่าไม่มีธาตุ ไม่มีสถานะที่ชัดเจน ไม่ต้องใช้พลังสายเลือด
จะอย่างไร ซินอู๋เหินก็มีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญและไม่มีพลังสายเลือด
ในขณะที่วิชาของเขาลึกล้ำ มันก็ไม่ได้มีขีดจำกัดทางด้านพลังฝึกตนมากนัก
“ฮี่ฮี่ ดาราเคลื่อนคล้อย หมื่นรากย้อนคืน กระบวนพิเศษทั้งสองนั่น แต่ละการเคลื่อนไหว แต่ละรูปแบบได้ทุ่มเทแก่นแท้ปราณจิตวิญญาณทั้งหมดไปหลอมรวมกับฟ้าดิน”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มยินดี ทำความเข้าใจวิชาของซินอู๋เหินซ้ำไปซ้ำมา
ในที่สุด เด็กหนุ่มก็ได้สรุปออกมาเป็นสามกระบวนท่า
กระบวนท่าแรก ดาราเคลื่อนคล้อย
กฎของการดึงดูดหยิบยืมพลังอย่างชาญฉลาด นับเป็นศาสตร์แห่งความที่สุดโดยย่อ
กระบวนท่าที่สอง หมื่นรากย้อนคืน
ระดับของมันสูงกว่า เป็นวิชาที่ไม่อาจมองเห็น ดูดกลืนพลังของคู่ต่อสู้ กระทั่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้
กระบวนท่าที่สาม แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดิน
ทั้งสามกระบวนท่าล้วนลึกลับ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าใดก็ชาญฉลาดลึกล้ำ
มีเพียงแค่กระบวนท่าแรกที่จ้าวเฟิงสามารถคัดลอกได้เลย ใช้ประโยชน์จากการดึงดูดหยิบยืมพลังอย่างชาญฉลาด
กระบวนท่าที่สอง หมื่นรากย้อนคืนนั้นค่อนข้างลึกล้ำ เกี่ยวข้องกับการดิ้นรนแย่งชิงความเป็นใหญ่ในสำนักที่ซินอู๋เหินหลอมรวมเข้าไป ทำให้จ้าวเฟิงไม่อาจเรียนรู้ได้ในทันที
กระบวนท่าที่สามระดับสูงกว่า จ้าวเฟิงพบว่าวิธีการใช้ของมันเหมือนกับหน่อสำนึกรู้
“การทำความเข้าใจกระบวนท่าที่สามจะช่วยพัฒนาระดับของหน่อสำนึกรู้ของข้า”
จ้าวเฟิงพอจะเข้าใจอยู่บ้าง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มจึงมุ่งเป้าไปยังการวิเคราะห์กระบวนท่าที่สาม และการหลอมรวมกระบวนท่าที่หนึ่งเข้ากับระบบการฝึกตนของตนเอง
มรดกอัสนีและคัมภีร์บุปผาลึกลับแม้จะกวาดตามองไปทั่วทั้งทวีปก็นับว่าเป็นมรดกและวิชาชั้นยอด แต่เมื่อมาอยู่ในงานชุมนุมเซียนมังกรแล้วกลับธรรมดานัก
จ้าวเฟิงหลอมรวมแก่นแท้เข้าอย่างไม่หยุดยั้ง เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวิชาของตนเอง หวังจะก้าวสู่จุดสูงสุดของทวีป
ควรจะรู้ว่าในด้านของสำนัก เขามีประสบการณ์เพียงจำกัด แต่หากหลอมรวมวิธีการหลากหลายเข้าด้วยกันย่อมสามารถทำได้และมีโอกาสสำเร็จอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มไม่รั้งอยู่นาน
จ้าวเฟิงกลับไปยังถ้ำใต้แม่น้ำ
จ้าวหยูเฟ่ยกำลังสร้างความสมดุลให้พลังฝึกตน โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองทำหน้าที่คุ้มกัน
ในเสี้ยวพริบตา เวลาได้ผ่านไปครึ่งวัน
จ้าวเฟิงหลอมรวมกระบวนท่าลึกลับ ดาราเคลื่อนคล้อย เข้ากับวิชาของตนเองได้สำเร็จ
จากนั้นเขาจึงพยายามทำความเข้าใจ ‘แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดิน’ ของซินอู๋เหินที่อยู่ในระดับพิเศษ
ในการทำความเข้าใจนี้
จ้าวเฟิงต้องหลอมรวมความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดเชื่อมต่อกับฟ้าดิน ไม่อาจแบ่งความสนใจไปที่อื่นได้
ทุกการเคลื่อนไหวของแก่นแท้และปราณจิตวิญญาณได้ถูกหลอมรวมเป็นสิ่งเดียว ระเบิดพลังออกจากทั่วทั้งร่าง นี่คือการเคลื่อนไหวโคจรของมัน เมื่อทำความเข้าใจแล้วก็ไม่ยากลำบากมาก
นอกจากการฝึกฝนในจิตใจแล้ว จ้าวเฟิงยังลุกขึ้นแสดงท่าทางออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
พวกโม่เทียนอี้ทั้งสองตะลึงงัน รู้สึกประหลาดใจยามที่ค้นพบว่าการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงได้กลับกลายเป็นคล้ายคลึงกับรูปแบบของซินอู๋เหินขึ้นหลายส่วน
ดาราเคลื่อนคล้อย แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดิน
จ้าวเฟิงสามารถฝึกฝนได้สำเร็จ
โดยเฉพาะแก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดินที่กระตุ้นความสามารถทั่วทั้งร่างของเด็กหนุ่มออกมาจางๆ การรับรู้ถึงเจตจำนงเข้าสู่ระดับที่ไม่อาจเอื้อมถึง
จ้าวเฟิงเพียงรับรู้ว่าเจตจำนงแห่งเสวียนอ้าวของหน่อสำนึกรู้นั้นกระทั่งชัดเจนกว่าเดิม ความสามารถในการเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ก็เพิ่มขึ้น
ปราณจิตวิญญาณในร่างเชื่อมต่อกับจิตใจเป็นหนึ่ง การโคจรได้ลื่นไหลกว่าเดิม
“ความเร็วการฝึกตนของซินอู๋เหิน ไม่แปลกเลยที่จะรวดเร็วนัก”
ปราณจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณและการเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ได้พัฒนาขึ้น
เวลาครึ่งวัน จ้าวเฟิงรู้สึกว่าขอบเขตจิตวิญญาณได้พัฒนาขึ้น พลังฝึกตนลึกล้ำขึ้น
ในยามนี้
ขอบเขตพลังฝึกตนของเขาได้สมดุลอย่างสมบูรณ์ กระทั่งเหนือกว่าขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่มทั่วไป เริ่มมุ่งหน้าไปยังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ
ยิ่งทำความเข้าใจฝึกฝนมากเท่าใด จ้าวเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่าซินอู๋เหินไม่ธรรมดา
เจตจำนงเสวียนอ้าวที่ลึกล้ำเหล่านี้ รวมทั้งเคล็ดวิชา จ้าวเฟิงไม่เชื่อว่าซินอู๋เหินจะเรียนรู้มาจากสำนัก
ดังนั้น
จ้าวเฟิงจึงเอ่ยถามโม่เทียนอี้
“ซินอู๋เหินผู้นี้มีคำเล่าลือมากมายนัก มีคำกล่าวว่าเขามีความสามารถที่จะสร้างวิชาขึ้นเองได้ ไม่เคยเคารพผู้ใดเป็นอาจารย์ สามารถทำความเข้าใจวิชาทั่วไปได้ด้วยตนเอง พัฒนาพลังฝึกตนจนพลังรูปแบบเข้าสู่ระดับที่น่าตื่นตะลึง”
โม่เทียนอี้ เอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด
จะอย่างไร ก่อนหน้างานชุมนุมเซียนมังกร ซินอู๋เหินก็คืออัจฉริยะของทวีปเหนือ อยู่ในระดับเดียวกับโม่เทียนอี้และเซี่ยเซียนชาง
ขณะที่คนทั้งสองพูดคุยกันก็ได้ปรากฏเสียงเรียกดังขึ้น
“หัวหน้าสาขาจ้าว”
“หัวหน้าสาขาจ้าวอยู่ที่นี่หรือไม่?”
เสียงของบุรุษและสตรีพูดคุยกันดังขึ้นจากด้านบน
จ้าวเฟิงแหงนศีรษะมองขึ้นไปอย่างประหลาดใจเล็กๆ ก่อนจะกลับขึ้นไปยังอากาศเหนือแม่น้ำ
ผู้มาใหม่ทั้งสองคือเจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่
สภาพของคนทั้งสองนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่สิ้นหวัง ร่างกายไม่มีวี่แววของวาสนาเซียนมังกรแม้แต่น้อย
“เกิดอันใดขึ้น?”
จ้าวเฟิงค้นพบว่า หลังจากที่ตัวเขาเข้ามายังมิติก็ได้ลืมเจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่จากลัทธิโลหะเลือดไป
จากการสอบถาม จ้าวเฟิงรู้ว่าพวกเจียงซานเฟิงทั้งสองถูกแย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกรไป
หลายวันก่อนทั้งสองคนร่วมมือกัน ตราบเท่าที่ไม่เผชิญหน้ากับอัจฉริยะชั้นแนวหน้าย่อมสามารถรอดพ้นไปได้
ทว่าในสองวันต่อมา โชคของพวกเขาไม่ดี เจอกับการไล่ล่าของแฝดไท่หยุน
“ตราคำสั่งเซียนมังกรของพวกเจ้าถูกแย่งไปโดยแฝดไท่หยุน?”
จ้าวเฟิงมุ่นคิ้วลงเล็กๆ
การโจมตีของแฝดไท่หยุนโหดเหี้ยมดุดันเพียงใดเขาเองก็รู้ หลังจากเข้ามาในมิตินี้ ตราบเท่าที่ไม่ยินยอมมอบตราคำสั่งเซียนมังกรให้แต่โดยดีก็มักจะเข่นฆ่าอีกฝ่ายหรือทำให้พิการไป
“เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว แขนขวาของข้าก็หัก”
ใบหน้าของเจียงซานเฟิงเต็มไปด้วยความอับอาย
จากนั้นจ้าวเฟิงจึงพบว่าใต้เสื้อคลุมยาวที่สกปรกของอีกฝ่าย ครึ่งหนึ่งได้ว่างโล่ง
“หากไม่ใช่เพราะสุดท้ายพวกนั้นเจอเป้าหมายใหม่ แฝดไท่หยุนคงทำร้ายเราจนพิการหรือตายไปเลย”
เตี๋ยเย่เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีหวาดกลัว
ในมิติแห่งนี้ เมื่อสูญเสียตราคำสั่งเซียนมังกรไปครั้งหนึ่งแล้วก็ยากที่จะแย่งชิงกลับคืนมาอีกครั้ง
ยิ่งเวลาผ่านไป จำนวนของตราคำสั่งเซียนมังกรก็ยิ่งลดน้อยลง อัจฉริยะที่ครอบครองตราคำสั่งเซียนมังกรอยู่ในช่วงหลังๆ พลังย่อมแข็งแกร่งโดยไม่ต้องสงสัย แม้คนทั้งสองร่วมมือกันก็ไม่อาจรับมือได้หลายกระบวนท่า
แต่เดิม
คนทั้งสองได้ยอมแพ้ไปแล้ว
ทว่าไม่นานได้ยินมาว่าในมิตินี้ได้ถือกำเนิดผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนที่หกขึ้น นั่นก็คือจ้าวเฟิง
คนทั้งสองรู้สึกประหลาดใจและยินดี รีบตามหาจ้าวเฟิงในทันที
“สบายใจเถอะ ข้าจะช่วยพวกเจ้าหาตราคำสั่งเซียนมังกรมาใหม่ นอกจากนั้น จำนวนของผู้ถูกเลือกในมิตินี้ก็ดูจะมากเกินไปหน่อยแล้ว”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเรียบเฉย นัยน์ตาราบเรียบ เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหวไปตามสายลม
เตี๋ยเย่และเจียงซานเฟิงต่างประหลาดใจ น้ำเสียงของจ้าวเฟิงนั้นราวกับจะไปหาเรื่องแฝดไท่หยุนอย่างไรอย่างนั้น
แฝดไท่หยุนนั้นคือผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แต่เดิม ทั้งโหดเหี้ยมอำมหิต เป็นที่เลื่องลือในด้านของความโหดร้าย
นอกจากนั้น พี่น้องร่วมร่างนี้ยังใช้ทั้งดาบและกระบี่ร่วมมือกันโจมตีสามารถทำได้ทั้งโจมตีและป้องกันไปพร้อมกันอาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ซึ่งจุดอ่อน