บทที่ 404 : ผู้เชี่ยวชาญในการเก็บของที่เล็ดรอดสายตา
ความแตกต่างระหว่างหุ่นเชิดศพของจ้าวเฟิงกับอัจฉริยะจากตำหนักผาดำคือ จ้าวเฟิงฝึกฝนหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์เพียงสองตัว ส่วนภูตผีใน ‘บัวดำ’ ได้ถูกใช้เป็นปุ๋ยไปจนหมดแล้ว
ระหว่างการมาที่นี่ เย่หยานหยูได้นำอยู่เบื้องหน้า จัดการสัตว์ปีศาจที่มีสายเลือดโบราณไปหลายตัว หุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองของจ้าวเฟิงจึงได้กลืนกินแก่นแท้ของสัตว์ล้ำค่าเหล่านั้นไปมากมาย อาจกล่าวได้ว่าได้รับการเสริมพลังขึ้นอย่างมาก
ทว่าร่างของแมงป่องยักษ์โบราณมีสายเลือดโบราณบริสุทธิ์อยู่ หลังจากที่หุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ได้กัดกินเลือดเนื้อของมันเข้าไป กลิ่นอายของมันก็ยิ่งทรงพลัง ร่างศพได้ปรากฏการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจล่วงรู้ขึ้น
บางทีนอกจากวิญญาณอาฆาตในขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองของชื่อกุ้ยแล้ว ภูตผีของคนจากตำหนักผาดำคนอื่นๆ ก็คงยากจะเทียบกับหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ของจ้าวเฟิงทั้งสองได้
“หุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองนี่มีพลังต่อสู้ไม่เลว หากเสริมด้วยุถงพิษของแมงป่องยักษ์เข้าไปอีกก็จะมีพิษร้ายแรง กลับกลายเป็นพิษศพ พลังพัฒนาขึ้น กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นนายเหนือแท้ถูกข่วนเข้าไปก็อาจสิ้นชีพได้”
จ้าวเฟิงรั้งสายตากลับมา จิตใจกวาดสำรวจ ‘วิชาเชิดศพหกจักรพรรดิ’
ในตำรานี้ได้ปรากฏวิธีในการกลั่นพิษศพอยู่ แต่ไม่ใช่รายละเอียดหลัก
จ้าวเฟิงเข้าในศาสตร์แห่งการปรุงยา เมื่อมี ‘ถุงพิษแมงป่องยักษ์’ อยู่ก็ย่อมสามารถสร้างพิษขึ้นได้ หากต้องการที่จะกลั่นเป็นพิษศพให้กับหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ ความยากไม่นับว่ามากมาย
ทว่า
จ้าวเฟิงไม่ได้ลงมือในทันที
พิษของแมงป่องยักษ์ แม้ว่าจะรุนแรง ทว่าหลังจากที่ออกจากร่างของแมงป่องยักษ์โบราณแล้ว ถุงพิษก็จะสูญเสียประสิทธิภาพไปในระดับหนึ่ง ความเป็นพิษย่อมลดลง
นี่คือเรื่องหนึ่ง
เรื่องที่สอง
พิษของแมงป่องยักษ์นั่น แม้ว่าจะสามารถทำให้ผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้สิ้นชีพได้ ทว่าสิ่งสำคัญคือต้องสามารถเฉือนเนื้อของฝ่ายตรงข้ามได้ก่อน จะยิ่งดีถ้าสามารถทำให้อีกฝ่ายเลือดตกยางออก แบบนี้จึงจะทำให้พิษรุนแรงนี้สามารถแทรกซึมเข้าไปได้จำนวนมาก
ด้วยพลังต่อสู้ของหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสอง หากต้องการที่จะทะลวงฝ่าพลังป้องกันของขั้นนายเหนือแท้ไปนับได้ว่าเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะหากผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนนั้นกำลังระวังตัวอยู่
ดังนั้นแล้ว
จ้าวเฟิงจึงไม่ได้กลั่นพิษศพให้กับหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ในทันที
การได้ครอบครอง ‘ถุงพิษแมงป่องยักษ์’ ของเขาเป็นเพียงก้าวแรก หลังจากนั้นยังมีปัจจัยอีกจำนวนมากที่ต้องคว้ามา
ฝั่งตำหนักผาดำ
“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย หากเด็กนั่นใช้พิษของแมงป่องยักษ์ไปเพิ่มพลังหุ่นเชิดศพ ความอันตรายของมันย่อมมหาศาล”
ดรุณีบัวดำกัดริมฝีปากแน่น มองจ้าวเฟิงควบคุมหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทั้งสอง ในใจปรากฏทั้งความเกลียดชังและหวาดกลัว รวมทั้งความริษยา
วันแรกที่นางส่งหุ่นเชิดศพให้กับอีกฝ่าย บางทีตัวนางเองก็คงไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้
การมีหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองที่เป็นสิ่งที่เป็นรองเพียงขั้นนายเหนือแท้ได้ส่งผลต่อจ้าวเฟิงอย่างมาก
หากในงานชุมนุมเซียนมังกร เด็กหนุ่มมีหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองย่อมสามารถอาละวาดไปทั่วโดยไร้คู่ต่อสู้ เอาชนะสัตว์วิเศษจำนวนมากของตันไถ่หลันเยว่ได้
“เขาเป็นเพียงคนที่เพิ่งจะเข้ามาในศาสตร์แห่งซากศพ หุ่นเชิดศพไม่อาจที่จะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ในมือเขา แม้ว่าถุงพิษแมงป่องยักษ์จะล้ำค่า แต่หลังจากที่ออกจากร่าง ความเป็นพิษก็ตจะลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับ ‘เห็ดอินตู๋’ รวมทั้ง ‘ผลโลหิต’ แล้วยังแตกต่างมากกว่าหนึ่งขั้น โดยเฉพาะ ‘เห็ดอินตู๋’ ที่นับเป็นสมบัติล้ำค่าในการฝึกฝนภูตผี”
ชื่อกุ้ยเอ่ยอย่างเยือกเย็น
ในสายตาเขา แต่เดิมจ้าวเฟิงนับว่าแข็งแกร่งกว่าผู้ใดก็ตามที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ มีเพียงแค่ขั้นนายเหนือแท้เท่านั้นที่สามารถรับมือได้
เมื่อเทียบกับถุงพิษแมงป่องยักษ์แล้ว เขายังหวาดกลัวสายเลือดดวงตาของเด็กหนุ่มเสียมากกว่า
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงวาดมือผ่านับวดำ เก็บหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองไป
ในยามนี้ หุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองของเขาได้พัฒนาขึ้นจนถึงขีดจำกัดบางอย่างแล้ว ได้เผชิญหน้ากับคอขวด
นอกจากนั้น พวกมันยังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ต้องการเวลาในการสร้างสมดุล
แม้จะเป็นภูตผี เมื่อพัฒนาจนถึงระดับหนึ่งก็จะปรากฏสติปัญญาขึ้น
หุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองของจ้าวเฟิงนี้ได้มีสติปัญญาในระดับแรกเริ่ม เมื่อมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ก็ย่อมต้องการสติปัญญาที่เทียบเคียงกันได้
ในเรื่องนี้ จ้าวเฟิงได้ใช้ ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ ในการสร้างพลังวิญญาณหยิน ช่วยเหลือหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ในการหลอมรวมเศษเสี้ยวสติปัญญาที่หลงเหลือ
เบื้องหน้าถ้ำ
ทั้งสามฝ่ายได้ผ่านการจัดการเล็กน้อย ตัดสินใจที่จะเข้าไปในถ้ำด้วยกันเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
“ทุกคน เช่นนั้นทุกสิ่งให้ความสามารถเป็นตัวตัดสิน”
ร่างของชายหนุ่มชุดสีเลือดพุ่งวูบ ลอบเข้าไปในถ้ำอย่างรวดเร็ว
นอกจากแมงป่องยักษ์โบราณแล้ว ถ้ำนี้ก็ไม่ได้มีอันตรายมากมายอันใด ทั้งสามฝ่ายเพียงแค่ต้องเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ภายในเท่านั้น
ในทางกลับกัน
เย่หยานหยูและจ้าวเฟิงย่อมต้องพ่ายแพ้ คนของพวกเขามีน้อย ทว่าสมบัติล้ำค่าในถ้ำนั้นมีปริมาณมหาศาล ไม่อาจที่จะเทียบกับอีกสองฝ่ายได้
“ไป!”
เย่หยานหยูไม่ใส่ใจ นำแมวขโมยตัวน้อยเปลี่ยนกลายเป็นลำแสง พุ่งเข้าไปในถ้ำ
พลังฝึกตนของนางสูงที่สุด ความเร็วของวิชาตัวเบาอยู่ในระดับสุดยอด นำหน้าชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือดไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น ตลอดทาง หากเป็นสมบัติล้ำค่าทั่วไป เย่หยานหยูก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง
พวกชื่อกุ้ยทั้งสอง นัย์นตาส่องประกายอย่างตกตะลึง
“เย่หยานหยูผู้นี้เคลื่อนไหวด้วยตัวคนเดียว สายตาสูงส่ง ไม่สนใจปริมาณ ค้นหาเพียงคุณภาพ หากนางสามารถครอบครองสมบัติล้ำค่าระดับสุดยอดของถ้ำทั้งหลายไว้ได้ มูลค่าของมันคงเหนือกว่าสิ่งที่ผู้อื่นเก็บเกี่ยวมาได้”
จ้าวเฟิงเข้าใจอย่างชัดเจน
การที่เย่หยานหยูลงมือ นางก็ได้มีแผนการของตนเองไว้อยู่แล้ว
นางและจ้าวเฟิงมีเพียงสองคน จำนวนคนชัดเจนว่าไม่อาจเทียบเคียงกับปริมาณของอีกสองฝ่ายได้
ดังนั้นแล้ว
แผนการแต่เดิมของเย่หยานหยูจึงเป็นการยอมปล่อยวัสดุและวัตถุดิบล้ำค่าส่วนมากในถ้ำไป สนใจแต่เพียงสมบัติล้ำค่าที่สุดเท่านั้น
หากเปลี่ยนเป็นชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือดย่อมยากที่จะทำได้เช่นนี้
บางทีที่เย่หยานหยูสามารถทำได้เช่นนี้คงเป็นเพราะพลังของนางที่ผลักดันให้นางกลายเป็นวีรสตรีที่โดดเด่น แม้ชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือดร่วมมือกันก็ไม่จำเป็นว่าจะสามารถเป็นคู่มือของนางได้
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยยืนอยู่บนไหล่ของเย่หยานหยู วาด ‘แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ’ ครั้งแล้วครั้งเล่า กวาดเอายอดสมบัติที่อยู่ระหว่างทางมา
ไม่ว่าจะเป็นสายตาของเย่หยานหยูหรือแมวขโมยตัวน้อยต่างก็แม่นยำ
หนึ่งคนหนึ่งแมวร่วมมือกัน ความเร็วในการแย่งชิงสมบัติรวดเร็วยิ่งนัก ทั้งการร่วมมือกันเต็มไปด้วยกลยุทธ์ ทำให้ชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือดต้องตื่นตัว
“อย่าปล่อยให้นางเป็นต่อ!”
“พวกเจ้าเก็บทรัพยากร พวกข้าสองคนจะขัดขวางนาง”
ชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือดบอกผู้ติดตามให้เก็บทรัพยากรอื่นๆ
ฟุ่บ ฟุ่บ
สองผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้มุ่งหน้าไล่ตามเย่หยานหยูไปอย่างรวดเร็ว แข่งขันแย่งชิงยอดสมบัติล้ำค่า
เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์จึงชัดเจน
สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้แข่งขันแย่งชิงยอดสมบัติกัน
ทว่าคนอื่นๆ จะมองหาสมบัติทรัพยากรที่มีระดับต่ำกว่าในการเก็บเกี่ยว หรือรอเก็บของที่หลุดรอดมา
จะอย่างไรความเร็วของสามผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ก็ว่องไวยิ่งนัก ทำให้ผู้เข้าร่วมการแย่งชิงแต่ล่ะคนพลาดยอดสมบัติหายากส่วนน้อยไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จ้าวเฟิงเชี่ยวชาญในการ ‘เก็บของที่หลุดรอด’ เป็นอย่างยิ่ง
ดวงตาเทพเจ้าของเขามีความสามารถการสังเกตอย่างไม่อาจเทียบ มีความสามารถในการมองทะลุที่แข็งแกร่ง กระทั่งสามารถค้นพบยอดสมบัติล้ำค่าที่สามผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้มองข้ามไปได้
ฟุ่บ ครืน
จ้าวเฟิงพลันส่งดาบอัสนีออกไป ทำลายชั้นดินเลนที่กองสุม นำก้อนหินสีหมึกออกมาก่อนจะผ่ามันออก เผยให้เห็นชั้นผิวที่ส่องประกายแวววาวงดงาม
“ศิลารอยหมึกสวรรค์!”
“ศิลาประเภทนี้ หากบดให้เป็นผงจะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายได้ กระทั่งสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงกระดูกซากศพได้”
อัจฉริยะจากตำหนักผาดำดวงตาส่องประกาย พุ่งกายตรงไปหวังแย่งชิง
ที่น่าเสียดายคือความเร็วในการเก็บของจ้าวเฟิงนั้นมากเกินไป ‘ศิลารอยหมึกสวรรค์’ หลายก้อนได้ถูกเขาเก็บไปโดยส่วนมาก
ฟุ่บ
ผ้าคลุมเงาหยินของเด็กหนุ่มพลิ้วไหว ร่างแบ่งออกเป็นหลายร่าง ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ยากจะแยกแยะ
เด็กหนุ่มเก็บของที่เล็ดรอดออกมาอย่างสะดวกสบาย ในเวลาเดียวกันก็รักษาระยะห่างกับสามผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ไว้ ไม่อาจเข้าใกล้เกินไปได้ แต่ก็ไม่อาจออกห่างเกินไปได้
ในยามเดียวกัน จ้าวเฟิงก็ต้องพลาดโอกาสบางส่วนไป ไม่อาจที่จะดำเนินแผนของตนได้
เมื่อผ่านไปได้ในระยะทางหนึ่ง
ฟุ่บ
จ้าวเฟิงพลันตัดเถาวัลย์ที่อยู่ในมุมหนึ่ง ดึงเอาน้ำเต้าสีครามอมดำออกมาผลสองผล
“น้ำเต้ารั้งวิญญาณ! นี่คือน้ำเต้าที่สามารถใช้กักเก็บของและจิตวิญญาณได้ สามารถรักษาความสดใหม่ของวัตถุดิบทั้งหลาย และลดการเน่าเสียของวัตถุดิบ…”
“เป็นน้ำเต้าวิเศษนี่เอง! มีคำกล่าวว่าราชาในขอบเขตปราณเทวะ ในช่วงเวลาสำคัญได้นำวิญญาณตนเองไปหลบซ่อนใน ‘น้ำเต้ารั้งวิญญาณ’ หนึ่งร้อยปีต่อมาวิญญาณจึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง สิงร่างถือกำเนิดขึ้นใหม่”
คนจากตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ริษยา และละโมบมองไปยังจ้าวเฟิง
อัจฉริยะของตำหนักผาดำบางคนปรากฏความลังเลขึ้นบ้าง เข้าใจถึงความน่าหวาดกลัวของสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงดี
“ไอ้หนู! ส่งน้ำเต้ารั้งวิญญาณมา!”
อัจฉริยะจากตำหนักมารจันทราสองคนไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเกี่ยวข้องกับสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง พุ่งร่างตรงไปยังจ้าวเฟิง
น้ำเต้ารั้งวิญญาณนี้ แม้ว่าจะไม่มีพลังที่น่าตื่นตะลึง ไม่อาจเสริมพลัง ทว่าความสามารถเสริมและตำนานของมันได้ทำให้มันกลายเป็นสมบัติล้ำค่า ได้ถูกตีมูลค่าไว้อย่างสูง
บางทีแม้เป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หรือราชาในขอบเขตปราณเทวะยังอาจจะสนใจที่จะเก็บมันไว้
เนตรใจวิญญาณ!
ดวงตาเทพเจ้ากวาดมองอัจฉริยะจากตำหนักมารจันทราทั้งสองเล็กๆ
ร่างของอัจฉริยะต่างแดนทั้งสองพลันชะงักนิ่งไป
จากนั้น
เปรี้ยง ตูม ตูม
อัจฉริยะต่างแดนทั้งสองเข้าต่อสู้กัน ดวงตาทั้งสองถูกปิดับงไปด้วยความละโมบอันไร้ที่สิ้นสุด
“หึ ยามที่เจ้าถูกบดับงด้วยความละโมบ อารมณ์ย่อมเกิดช่องว่างขึ้น”
จ้าวเฟิงเค้นเสียงเย้ยหยันในใจ
ยามที่อารมณ์จิตใจปรากฏช่องว่างที่ชัดเจนขึ้นมา แม้จะเป็นขั้นนายเหนือแท้ก็มีโอกาสที่ถูกเนตรใจวิญญาณของจ้าวเฟิงควบคุมส่งผลได้
จ้าวเฟิงเก็บ ‘น้ำเต้ารั้งวิญญาณ’ ทั้งสองไป เพ่งสายตามองไปยังร่างของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสามเบื้องหน้าเพื่อให้มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ออกห่างเกินไป
ความลึกและกว้างของถ้ำนั้นมากเกินจินตนาการ
ในถ้ำมักจะปรากฏแมงป่องยักษ์ ร่างของสัตว์ปีศาจประเภทงูและแมงมุม กระทั่งสัตว์ดุร้ายและแมลงโบราณแปลกประหลาดขึ้น
อัจฉริยะต่างแดนส่วนน้อยไม่ระวังตัว ถูกลอบโจมตี แม้ไม่ตายก็ต้องเสียเนื้อหนังไปบ้าง
ท่าทีของจ้าวเฟิงเยือกเย็น รักษาระยะห่างกับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสามเบื้องหน้าเอาไว้ ดวงตาเทพเจ้าไม่ลืมที่จะกวาดสำรวจของที่อาจเล็ดรอดมา
“หืม? น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา”
ในสายตาของเด็กหนุ่ม ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองไปยังหินงอกเหนือศีรษะ ด้านบนของมันได้ปรากฏน้ำค้างที่ส่องประกายล้ำค่าอยู่หลายหยด หินงอกได้ปรากฏรูอยู่บางส่วน ทำให้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาเป็นลำ
“น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทราจะเกิดขึ้นในบริเวณที่มีธาตุหยินอยู่มหาศาล ต้องได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ ชำระล้างจากแสงจันทร์บนหินงอกหยินศักดิ์สิทธิ์ ใช้เวลามากกว่าหนึ่งหมื่นปีจึงจะถือกำเนิดขึ้น”
จ้าวเฟิงอดที่จะยินดีมิได้ นี่เป็นความรู้จากการคัดลอก ‘ตำราภาพหมื่นไพร’ ในสำนักจันทร์สลาย
หลังจากที่จากมา เขาก็ยังไม่ลืมว่าได้คัดลอกบันทึกสมุนไพรล้ำค่าของโลกนี้ไว้ รวมทั้งตำราเกี่ยวกับสัตว์ล้ำค่าและแมลงต่างๆ
ดังนั้นแล้ว ในสมองของจ้าวเฟิงจึงมี ‘หนังสือภาพ’ หรือคำอธิบายอยู่ทุกรูปแบบ ดวงตาเทพเจ้ากวาดผ่านก็สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
“น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา! ไม่เพียงแค่สามารถปรับสมดุลหยินหยางในร่างได้ ทว่ายังทำให้พลังฝึกตนสมดุล ชำระล้างวิญญาณ เพิ่มขอบเขตจิตวิญญาณ กระทั่งเพิ่มความสามารถในการรับรู้ ประสาทสัมผัสในการทำความเข้าใจศาสตร์แห่งฟ้าดิน”
อัจฉริยะต่างแดนใกล้ๆ เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงก็อดที่จะชะงักนิ่งไปไม่ได้
“ขี้หมาอันใดกัน! ไอ้เด็กนี่เดินไปทางใดก็เจอของดีเข้าเสียุทกครั้ง!”
“บางทีอาจไม่ใช่ขี้หมา คงเกี่ยวข้องกับสายเลือดดวงตาของเขา”
อัจฉริยะจากตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราทั้งอิจฉาริษยา แทบจะโถมตัวเข้าไปแย่งชิงของในมือจ้าวเฟิงด้วยกำลัง
อัจฉริยะที่อยู่ ณ ที่นี้ มีหนึ่งหรือสองคนที่มีสายเลือดดวงตา ทว่าสายเลือดเช่นจ้าวเฟิงที่สามารถจับสังเกตได้ละเอียดชัดเจนเพียงนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้
“ยอดเยี่ยม มิคาดได้ครอบครอง ‘น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา’ โอกาสสำเร็จของแผนเพิ่มขึ้นแล้ว ยามที่จิตวิญญาณของข้าถูกชำระล้างพัฒนาขึ้น วิชาดวงตาเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ ย่อมสามารถสร้างอันตรายได้ในระดับหนึ่ง”