บทที่ 407 : รอให้เนื้อหล่นลงมาจากฟ้า
เป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงได้เห็นวิชาดวงตาที่แปลกประหลาดน่าหวาดกลัวเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าวิญญาณอาฆาตสัมภเวสีทั้งหลายได้เอื้อมมือแห้งกรังและกรงเล็บแหลมคมของพวกมันออกไปอย่างกระหายเลือด ฉุดรั้งร่างกายของเย่หยานหยูไม่หยุด อ้าปากที่ปรากฏหยาดโลหิตไหลย้อยออกมากว้าง ลามเลียอย่างกระหาย
ในยามนี้ สถานการณ์ในแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพกลับนับได้เพียงแค่น่ากลัวเล็กๆ
พลังที่ไม่อาจมองเห็นไม่อาจจับต้องได้ทั้งวิญญาณและกายเนื้อ ทว่ามีอยู่จริง
แม้ว่าตาเปล่าจะไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ได้ ทว่าร่างกายย่อมรับรู้ได้ตามสัญชาตญาณถึงความหดหู่หนาวเยือก ครั่นเนื้อครั่นตัว รวมทั้งความรู้สึกขยะแขยง
“เนตรวิญญาณอาฆาตของศิษย์พี่ชื่อกุ้ยเป็นของจริง สามารถในวิชาดวงตาต้องห้ามเช่นนี้ได้”
“เมื่อถูกเนตรวิญญาณอาฆาตจ้องมอง แม้จะอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ก็อาจจะต้องล้มลง มันเป็นวิชาที่ใช้วิญญาณอาฆาตในการกัดกร่อนพลังและจิตใจ กลืนกินอย่างไม่หยุดยั้ง…”
อัจฉริยะจากตำหนักผาดำสีหน้าเผยความตื่นเต้นคาดหวังขึ้นหลายส่วน
โดยปกติแล้ว ชื่อกุ้ยจะไม่ใช้ ‘เนตรวิญญาณอาฆาต’ ง่ายๆ การใช้วิชาดวงตาเช่นนั้นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล
คิ้วงดงามของเย่หยานหยูมุ่นเข้าหากัน ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว พลังต่อสู้ใช้ออกได้อย่างไม่เต็มที่ ราวกับถูกมัดมือเท้าเอาไว้
ในสมองของนางเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของวิญญาณอาฆาต ทำให้จิตใจสั่นสะท้านเล็กๆ มีความรู้สึกราวกับว่าจะล้มลง
อาการบาดเจ็บที่รุนแรงที่สุดคือพลังในร่างของหญิงสาวได้ไหลออกอย่างไม่หยุดยั้ง
“วิชาดวงตานี้นับว่าน่าหวาดกลัวและยากที่จะรับมือโดยแท้ น่าเสียดายที่ต้องใช้เนตรที่มีธาตุวิญญาณ รวบรวมพลังภูตผีและเปลี่ยนแปลงด้วยวิชาให้กลายเป็นการโจมตี”
จ้าวเฟิงรู้สึกเสียดายเล็กๆ
ดวงตาเทพเจ้าของเขาไม่อาจคัดลอกวิชาทุกอย่างได้
วิชาหลายอย่างต้องใช้ร่างกายหรือสายเลือดที่จำเพาะเจาะจง
ตัวอย่างเช่น ‘เนตรวิญญาณอาฆาต’ ของชื่อกุ้ยที่ต้องใช้ ‘เนตรมารทมิฬ’ ที่เป็นธาตุพิเศษของเขาในการใช้ออก
แต่จ้าวเฟิงไม่หวาดกลัววิชาประเภท ‘เนตรวิญญาณอาฆาต’
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าของเขาเหนือกว่าวิชาส่วนมากของตำหนักผาดำ รวมทั้งเนตรวิญญาณอาฆาตนี้ด้วย
ในยามนี้ จ้าวเฟิงกลับรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเย่หยานหยูอยู่บ้าง
“หากเย่หยานหยูพ่ายแพ้ แผนของข้าก็ต้องเปลี่ยนแปลง ย่อมยากขึ้นหลายเท่าตัว”
จ้าวเฟิงเพ่งความสนใจไปอย่างเงียบงัน ทว่าไม่ได้ลงมือ
ในแผนของเขา เย่หยานหยูจะต้องสามารถไล่ต้อนผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองได้ หรืออยู่ในสภาวะคานอำนาจกัน จึงจะสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
“หึ มรดกอันยาวนานกว่าหมื่นปีของตำหนักผาดำ สุดท้ายแล้วก็มีเพียงวิชาดวงตาเหล่านี้? ไม่แปลกใจเลยที่ในบรรดาสามสำนัก มันจะอยู่อันดับสุดท้าย”
เย่หยานหยูพลันเค้นเสียงเย็น
“แสงจันทรากระจ่างฟ้า”
เย่หยานหยูตวาดออกมาคำหนึ่ง แขนเรียวขาวพลันอ้ากว้าง ท่าทีดูสูงสง่า
ในเสี้ยววินาที ร่างของนางก็พลันส่องประกายแสงดวงจันทร์ออกมา กวาดไปในระยะสิบหลารอบด้าน ทุกที่ที่แสงนั้นกล้ำกราย กลิ่นอายหดหู่หนาวเยือก รวมทั้งก้อนหินสมุนไพรบางส่วนก็จะระเหิดหายไปในอากาศ เหลือไว้เพียงเศษฝุ่น
“กรี้ดดดดดด”
วิญญาณอาฆาตบางส่วนที่เกาะเกี่ยวอยู่รอบกายของเย่หยานหยูได้ถูกแสงจันทร์ที่ส่องสว่างนั้นชำระล้าง ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา
มีเพียงแค่โครงกระดูกลายเงินขั้นนายเหนือแท้ที่เข้าพัวพันในระยะใกล้ที่สามารถล่าถอยออกมาได้ บนร่างปรากฏควันดำลอยขึ้น
กระบวนท่า ‘แสงจันทรากระจ่างฟ้า’ นี้ของเย่หยานหยูได้มีความสามารถในการโจมตีภูตผีในระดับหนึ่ง พลันสลายสถานการณ์เข้าตาจนไป
ทว่าในยามนี้ ชายหนุ่มชุดสีเลือดเองก็ได้เริ่มใช้วิชาโจมตีอันโหดเหี้ยมออกไป
“จันทร์โลหิตกลืนวิญญาณ”
ชายหนุ่มชุดสีเลือดเข้าก่อกวน แสงจันทร์สีเลือดส่องสว่าง ปะทะเข้ากับ ‘แสงจันทรากระจ่างฟ้า’ ของเย่หยานหยู ก่อให้เกิดควันลอยฟุ้ง
นอกจากนั้น
แสงจันทร์สีชาดนั่นยังบิดม้วน ขยายตัวใหญ่ขึ้น อ้าปากออกกว้างขนาดราวปากเหยือก มุ่งตรงไปยังเย่หยานหยู
สีหน้าของเย่หยานหยูแปรเปลี่ยนไป พลังศาสตร์แห่งโลหิตที่ไม่อาจมองเห็นฉุดรั้งเรือนร่างงดงามของนางให้เผชิญหน้ากับปากที่อ้ากว้างนั้น
นอกจากนั้น ‘จันทร์โลหิตกลืนวิญญาณ’ นั้นแม้จะไม่ได้กลืนกินสิ่งมีชีวิตเข้าไปตรงๆ มันก็ยังสามารถดูดกลืนพลังของเป้าหมายไปได้อย่างอ้อมๆ
“หึ กระบวนท่าจันทร์โลหิตกลืนวิญญาณนี้นับเป็นวิชาต้องห้ามที่ขัดต่อกฎแห่งธรรมชาติ สามารถกลืนกินพลังชีวิตในระยะหนึ่งร้อยหลาโดยรอบได้ ยิ่งอยู่ใกล้มากเท่าใด พลังของมันก็ยิ่งรุนแรง”
ชายหนุ่มชุดสีเลือดเค้นเสียงลับๆ
วิชาจันทร์โลหิตของเขาสามารถคานอำนาจวิชาของเย่หยานหยูได้ในระดับหนึ่ง
ดังนั้นการโจมตีนี้จึงไม่เพียงช่วยเหลือชื่อกุ้ย ทว่ายังพลิกกลับมาได้เปรียบคู่ต่อสู้อีกด้วย
“เข้ามา”
ชื่อกุ้ยหัวเราะ ใช้ ‘เนตรวิญญาณอาฆาต’ อีกครั้งเพื่อคานอำนาจของเย่หยานหยู ใช้พลังของภูติผีสัมภเวสีในการกัดกร่อนจิตวิญญาณของเป้าหมาย กลืนกินพลัง
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ
วิชาของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสอง วิชาจันทร์โลหิตกลืนวิญญาณและเนตรวิญญาณอาฆาตต่างก็มีธาตุหยิน กระทั่งมีความสามารถในการส่งเสริมกันเอง
“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย พวกเราจะช่วย”
“ในขณะที่ศิษย์พี่ชื่อกุ้ยกำลังดึงความสนใจ เราจะจับสตรีผู้นี้ด้วยกัน”
ศิษย์ของทั้งสองสำนักใช้วิชาของตนเองสนับสนุนจากระยะห่างออกไป
ตัวอย่างเช่นตำหนักผาดำที่ยอมสังเวยภูตผีบางส่วนไปเพิ่มพลังของ ‘เนตรวิญญาณอาฆาต’ ของชื่อกุ้ย
อัจฉริยะจากตำหนักมารจันทราใช้เลือดของตนเองสาดไปยังดวงจันทร์โลหิตเหนือศีรษะ เพิ่มพลังของ ‘จันทร์โลหิตกลืนวิญญาณ’
โดยไม่รู้ตัว
พลังวิชาของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งเท่า จากสภาพแล้วนับว่าเหนือกว่าเย่หยานหยู
“เก้าเสี้ยวจันทร์พิฆาต”
นัยน์ตาของเย่หยานหยูส่องประกายเย็นเยียบ ฝ่ามือปรากฏดาบล้ำค่าโปร่งใสขึ้นจากความว่างเปล่า
ฟุ่บ
ดาบที่ส่องประกายนั้นถูกวาดออกอย่างรวดเร็ว ตาเปล่ามองเห็นเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง 8-9 เส้นได้กระจัดกระจายไปทั่ว พื้นหินส่องประกาย แสงจันทร์ทราราวกับควบรวมกัน มุ่งตรงไปตัดผ่ากลิ่นอายชั่วร้ายหดหู่
ฟุ่บ เปรี้ยง ฟุ่บ เปรี้ยง
ทุกครั้งที่เงาดาบแสงจันทร์เหล่านั้นวาดออก แสงจันทร์จะส่องสว่างเจิดจ้าขึ้นจนถึงขีดสุด พลังอาจกล่าวได้ว่าไร้ที่ติ ทั่วทั้งภูเขาสั่นสะท้านเล็กๆ
เปรี้ยะ
โครงกระดูกขั้นนายเหนือแท้ตัวหนึ่งของชื่อกุ้ยแขนขาดออกข้างหนึ่ง
‘จันทร์โลหิตกลืนวิญญาณ’ เหนือศีรษะที่ส่องประกายสีเลือดกัดกร่อนออกมาก็ถูกผ่าครึ่ง ปรากฏความไม่เสถียรออกมา
เงาดาบแสงจันทร์นั้นได้ตัดผ่าทุกสิ่ง กระทั่งสามารถทะลวงผ่านสิ่งในขอบเขตจิตวิญญาณ สลายวิญญาณอาฆาตสัมภเวสีรอบกายได้รับความเสียหายในระดับหนึ่ง
“เก้าจันทร์เสี้ยวพิฆาตนับเป็นวิชาดาบที่น่าหวาดกลัว แทบทุกการฟาดฟันสามารถจัดการผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ได้ ทั้งยังเป็นการโจมตีเก้าครั้งติดต่อกัน ยิ่งฟาดฟันออกไปมากเท่าใด พลังก็ยิ่งรุนแรงขึ้น”
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้สัมผัสด้วยตนเองก็ยังคงสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของเพลงดาบที่ราวกับสามารถเหยียดหยามทุกสิ่งได้
ยามที่ ‘เก้าจันทร์เสี้ยวพิฆาต’ ถูกใช้ออกจนถึงดาบที่ห้า ชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือดต่างก็ล่าถอยอย่างตื่นตะลึง
เหล่าวิญญาณอาฆาตที่ ‘เนตรวิญญาณอาฆาต’ ของชื่อกุ้ยสร้างขึ้นส่งเสียงกรีดร้องออกมาก่อนจะสลายไป
วิชาของเขาได้สลายลง
เคร้ง
ดาบที่หกตัดผ่าเป็นแนวขวาง โครงกระดูกขั้นนายเหนือแท้ที่ชื่อกุ้ยควบคุมอยู่สั่นสะท้านล่าถอยออกไปหลายฟุต
บนร่างของชื่อกุ้ยปรากฏรอยเลือดขึ้น สีหน้าขาวซีดลงเล็กๆ
พลังของดาบที่แปดสั่นคลอนสวรรค์ บดขยี้ ‘จันทร์โลหิตกลืนวิญญาณ’ ลงอย่างสมบูรณ์ แสงสีเลือดได้สลายหายไปไร้ซึ่งร่องรอย เหลือเพียงแสงจันทร์ที่ส่องประกายอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ชายหนุ่มชุดสีเลือดถูกพลังสะท้อนกลับ ล่าถอยพร้อมกระอักเลือด บนร่างปรากฏบาดแผลลึกถึงกระดูกขึ้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น
ดาบที่เก้าที่รุนแรงน่าพรั่นพรึงที่สุดก็กำลังจะถูกใช้ออกเพื่อจบทุกสิ่ง
ทว่าในยามนี้
ร่างของเย่หยานหยูพลันกระตุกวูบ สีหน้าซีดขาวสีลงเล็กๆ ไอสวรรค์ในร่างของนางไม่เพียงพอ ดาบที่เก้าที่รุนแรงที่สุดจึงสลายหายไป ไม่ปรากฏขึ้น
“การใช้ ‘เก้าจันทร์เสี้ยวพิฆาต’ ของเย่หยานหยูแต่เดิมก็นับว่าเกินแรงไปอยู่แล้ว ก่อนหน้านางยังได้รับการโจมตีจากวิชาต้องห้ามของสองผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ พลังเหือดแห้ง วิญญาณได้รับบาดเจ็บ ดาบที่เก้าจึงไม่อาจใช้ออกได้”
ในฐานะของ ‘บุคคลที่สี่’ จ้าวเฟิงเข้าใจถึงสถานการณ์อย่างชัดเจน
ชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือดราวกับได้รับการปลดปล่อย สีหน้าปรากฏความตื่นตะลึง
ดังนั้นการปะทะเมื่อครู่ เย่หยานหยูจึงยังได้เปรียบอยู่ เก้าจันทร์เสี้ยวพิฆาตได้ทำให้สองผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ชื่อกุ้ยสูญเสียความสามารถไปอย่างมาก
ศิษย์ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเมื่อครู่สิ้นชีพไปราว 3-4 คน ส่วนมากอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด
จ้าวเฟิงรู้สึกยินดีที่ตนเองไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์วุ่นวายของสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ และไม่ได้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์
ความจริงแล้ว
ตามแผนจ้าวเฟิงก็ไม่คิดจะลงมือหยิบฉวยสิ่งใด
หากไม่คิดจะแย่งชิง แล้วจะได้ครอบครองอย่างไร?
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม สายตาส่องประกายระริก สีหน้ากลับสู่สภาวะปกติ ท่าทีสบายๆ
ในยามนี้
สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ได้ตกอยู่ในสภาวะคานอำนาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส กำลังใช้เวลาให้คุ้มค่า รวบรวมพลังเตรียมที่จะจู่โจม
จ้าวเฟิงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กๆ นำ ‘น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา’ ออกมากิน
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าจิตใจของเขาราวกับถูกชำระล้าง ให้ความรู้สึกสบายบริสุทธิ์เป็นพิเศษ ขอบเขตจิตวิญญาณราวกับถูกสาดส่องด้วยแสงจันทร์และแสงตะวันสลับกัน ได้รับการชำระล้างจนบริสุทธิ์
น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทราสามารถชำระล้างเพิ่มพลังจิตวิญญาณได้ มีความสามารถในการรักษาอาการบาดเจ็บทางจิตใจ
ผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดาที่สุดของมันคือการเพิ่มระดับของขอบเขตจิตวิญญาณและประสาทสัมผัส
หลังจากที่กิน ‘น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา’ เข้าไปหนึ่งหยด จ้าวเฟิงก็รู้สึกว่าความคิดชัดเจนเฉียบแหลมขึ้น ขอบเขตจิตวิญญาณได้เข้าสู่ระดับที่สูงกว่าเดิมไปเล็กๆ เมื่อเทียบกับขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำแล้วไม่มีความแตกต่างมากนัก
“หากสามารถดูดซึมหยดนี้เข้าไปได้อย่างสมบูรณ์และกินเข้าไปอีกหยด ขอบเขตจิตวิญญาณของข้าก็คงสามารถเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำหรือสูงกว่าได้อย่างสิ้นเชิง”
ความสนใจของจ้าวเฟิงกลับไปที่การต่อสู้
ตั้งแต่เริ่มจนจบ เด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม ราวกับเป็นเพียงผู้ชม ไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมการต่อสู้สุดท้าย
“ไอ้เด็กนี่ ยามนี้ยังมีเวลาว่างมาฝึกฝนอีก”
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าผลโลหิต เห็ดอินตู๋ ยอดสมบัติเหล่านี้ไม่ส่งผลอันใดต่อเขาเลย?”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขากำลังรอให้เนื้อหล่นลงมาจากฟ้าอยู่?”
อัจฉริยะจากสองสำนักมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาแปลกประหลาด
รวมทั้งยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งสามที่ยังแบ่งความสนใจมายังจ้าวเฟิง
จะอย่างไร พลังต่อสู้ของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวก็เป็นรองเพียงสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ หากในช่วงเวลาสุดท้ายออกมือก็อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ได้
ทว่าจ้าวเฟิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม ไม่ขยับ
ในยามนี้ สถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
เย่หยานหยูและแมวขโมยตัวน้อยขยับพร้อมกัน พุ่งตรงไปยังสมบัติล้ำค่าบนกำแพงภูเขาราวกับสายฟ้าฟาด
“ขัดขวางนาง!”
ชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือดสีหน้าแปรเปลี่ยนไป พลันพุ่งกายออกไปขัดขวาง
แมวขโมยตัวน้อยหายไปไม่อาจมองเห็นได้เป็นตัวแรก
เย่หยานหยูรั้งอยู่ วาด ‘นภาจันทร์พิฆาต’ ออกไปสองดาบ ทำให้สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ต้องล่าถอย
“ฮี่ฮี่ หญ้าคืนชีวิต”
เย่หยานหยูเลือกสมุนไพรในตำนานที่มีความสามารถในการเติมเต็มพลังชีวิต
เมี้ยว เมี้ยว
แส้อสรพิษโลหิตในอุ้งเท้าของแมวขโมยตัวน้อยวาดออก พุ่งตรงไปยังทิศทางของผลโลหิต
“ผลโลหิตของข้า”
นัยน์ตาของชายหนุ่มชุดสีโลหิตราวกับจะถลนออกจากเบ้า พุ่งตรงไปยังแมวขโมยตัวน้อย
แมวขโมยตัวน้อยแสยะยิ้มแยกเขี้ยว คว้าเอา ‘ผลโลหิต’ เอาไว้และพุ่งตรงไปยัง ‘เห็ดอินตู๋’ อย่างคล่องแคล่วก่อนจะกินมันเข้าไป
“หยุด… เห็ดอินตู๋”
ใบหน้าของชื่อกุ้ยซีดขาวอย่างตื่นตะลึง แทบจะเสียสติไป นั่นมันคือสมบัติที่ใช้ในการพัฒนาภูตผีที่ดีที่สุดเชียวนะ
ทว่า
ผลคือเย่หยานหยูได้ของที่ต้องการ และพวกเขาต้องมองแมวขโมยตัวน้อยคว้าเอา ‘ผลโลหิต’ และกิน ‘เห็ดอินตู๋’ เข้าไปอย่างไร้หนทาง ไม่อาจขัดขวางได้ทันเวลา