บทที่ 420 : อันตรายอย่างต่อเนื่อง
สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างนับว่าเหมาะสมแล้วที่เป็นสำนักระดับสองดาวครึ่ง ในสิบยอดอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ มีห้าคนที่เป็นคนของพวกเขา ไล่ต้อนตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทรา
ก่อนหน้า
จ้าวเฟิงก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้ ด้วยกลัวว่าสมดุลของสามสำนักจะเสียไป เด็กหนุ่มจึงได้ตัดสินใจที่จะฆ่าหยูลั่วซึ่งเป็นหนึ่งในยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้
แต่ผู้ใดเล่าจะคาดคิด
นานเท่าใดกันที่หยูลั่วตาย สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างไม่เพียงปรากฏผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงที่แข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้น กระทั่งนำกำลังเสริมจำนวนมากมาด้วย เกินกว่าครึ่งเป็นผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง
“เป็นศิษย์พี่หลี่หง!”
“ศิษย์พี่หลี่หงคงพบโอกาสอันดีในซากปรักหักพังนี้เป็นแน่ มิเช่นนั้นจะบรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงได้อย่างไร”
อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นบนใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจและริษยา
ก่อนที่จะเข้ามาในซากปรักหักพัง ในสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ หลี่หงอยู่อันดับต่ำกว่าหยูลั่วก่อนที่จะตายไป
ทว่าในยามนี้ หลี่หงกลับมีพลังในขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด ระดับไล่เลี่ยกับเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์
“หลี่หง เจ้ามาพอดี เรากำลังขาดคน”
ใบหน้างดงามราวกับดอกบัวขาวของเย่หยานหยูเผยประกายความยินดีขึ้น
ในยามนี้
สายตาของผู้คนได้ไปจับจ้องยังผู้นำกำลังเสริม ชายหนุ่มในชุดดำนามหลี่หง
หลี่หงไม่เพียงบรรลุขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง ทว่ายังนำกำลังเสริมมาด้วย สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างที่เพิ่งจะเสียผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ไปราวกับฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง
ในทางกลับกัน สีหน้าของอัจฉริยะจากตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำกลับเลวร้ายลงอย่างมาก
“สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างมีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงมากนัก อย่าได้บอกข้าเชียวว่าการร่วมมือกันตลอดหลายปีที่ผ่านมาของตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำจะถูกสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างกดดันแบบนี้”
ชื่อกุ้ยเอ่ยพึมพำกับตนเอง เปลวเพลิงอ่อนจางในดวงตาไหววูบ
ฝ่ายตำหนักมารจันทรา
“อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างสองคนคือเย่หยานหยูและลู่เทียนอี้ ลู่เทียนอี้เกือบจะบรรลุขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว ในบรรดาสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ที่เข้ามาในซากปรักหักพังนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด”
‘จงหวานเอ๋อร์’ สตรีที่งามล้ำไร้ที่ติ ตราจันทร์เสี้ยวที่กลางหน้าผากส่องประกาย เรือนผมสีม่วงราวภูตพรายพริ้วไหวไปตามสายลม
สามอันดับแรกของสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ สองคนเป็นคนของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง
พลังของลู่เทียนอี้นับเป็นอันดับหนึ่ง เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ไม่อาจตัดสินกันได้
ในยามนี้ ‘ลู่เทียนอี้’ ยังไม่ปรากฏตัว
ไม่นาน
คนทั้งหลายที่นำมาโดยชายหนุ่มในชุดดำนามหลี่หงก็มารวมตัวกับเย่หยานหยูและคนอื่นๆ
“ศิษย์น้องเย่ ข้ารับรู้ได้ถึง ‘พลังเซียน’ จึงได้มา แล้วก็เจอเจ้าที่นี่จริงๆ”
หลี่หงมีท่าทีกระตือรือร้น ทว่าเมื่อพูดคุยกับเย่หยานหยูกลับปรากฏความสุภาพอย่างเห็นได้ชัด
เขาเพิ่งจะบรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงไม่นาน เมื่อเทียบกับเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์แล้วยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง
“พลังโจมตีของพลังเซียนนั่นอาจกล่าวได้ว่าทรงพลังอย่างมาก บางทีผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในระยะหนึ่งพันลี้รอบด้านคงรับรู้ได้ ดูเหมือนว่าหุบเขานี้จะได้รับการมาเยือนของอัจฉริยะมากขึ้นกว่านี้อีก”
จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง ไม่เอ่ยคำใด
ทันใดนั้น
เขาก็รับรู้ได้ถึงสายตายินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นจำนวนมาก
สายตาที่ปรากฏความมาดร้ายขึ้นอย่างชัดเจนเป็นของศิษย์สองคนที่สนิทกับหยูลั่ว ก่อนหน้าพวกเขาต้องการแย่ง ‘ผลปีศาจพฤกษา’ ของจ้าวเฟิง แต่ว่าไม่สำเร็จ
“เฮ้ ศิษย์พี่หลี่หงและศิษย์พี่หยูลั่วมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอย่างมาก หลายปีที่ผ่านมา ศิษย์พี่หยูลั่วกระทั่งมีความนับถือในหลี่หง”
“แม้จ้าวเฟิงจะไม่ใช่คนฆ่าศิษย์พี่หลี่หง แต่หากพยายามสืบสวนต่อไป เด็กนั่นย่อมไม่มีอนาคตที่สดใสรออยู่แน่”
ศิษย์ทั้งสองเต็มไปด้วยความยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น
“ศิษย์พี่หลี่หง ท่านเห็นร่องรอยของ ‘ศิษย์พี่ลู่’ บ้างหรือไม่”
เย่หยานหยูเอ่ยถามอย่างเกรงใจอย่างชัดเจน
ศิษย์พี่ลู่!
อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นพลันตั้งใจฟังอย่างพร้อมเพรียงกัน สีหน้าเต็มไปด้วยความนับถือหวาดกลัว
ศิษย์พี่ลู่ที่ว่าคือลู่เทียนอี้ อันดับหนึ่งในสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้
“ตอนนี้หอคอยพฤกษาปีศาจนั่นได้รับบาดเจ็บสาหัส มีจุดอ่อนอย่างชัดเจน แต่ข้าและคนอื่นๆ เองก็ได้รับบาดเจ็บมากเช่นกัน แม้จะร่วมมือกันฆ่ามันก็ยังยากลำบากอยู่บ้าง แต่หากศิษย์พี่ลู่มาก็มีโอกาสมากกว่าหกส่วน”
เย่หยานหยูเอ่ยอธิบายความต้องการ
นางและลู่เทียนอี้คล้ายกัน ชมชอบการเคลื่อนไหวคนเดียว ไม่ไปเป็นกลุ่ม
แต่ ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’ มีมูลค่ามากเกินไป ทั้งไม่ว่าจะเป็นราก ผล กิ่งไม้ หรือใบไม้ของมัน ทั่วทั้งร่างของมันคือสมบัติ เมื่อเทียบกับการฆ่าสัตวปีศาจในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดตัวอื่นๆ แล้วยังไม่อาจเทียบได้แม้สักเสี้ยว
“หลายวันก่อนข้าเห็นศิษย์พี่ลู่ ตอนนั้นเขากำลังทำลายฝูงสัตว์ปีศาจจำนวนมากอยู่ ทั้งยังฆ่าสัตว์ปีศาจขั้นนายเหนือแท้ไปหลายตัว ทว่าดูเหมือนว่าดวงของเขาหลังจากนั้นจะเลวร้ายไม่น้อย ถูกสัตว์ปีศาจในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดตัวหนึ่งไล่ล่า เขาไม่อาจเอาชนะได้จึงหลบหนีหายไปไร้ร่องรอย…”
ยามที่หลี่หงเอ่ยถึงศิษย์พี่ลู่ก็ทอดถอนใจพร้อมส่ายศีรษะ
ระดับของลู่เทียนอี้สูงเกินไป ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปไม่อาจที่จะเอื้อมถึง
จ้าวเฟิงที่แอบฟังอยู่อดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้ สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างมีคนที่ไม่ธรรมดาเช่นนั้นอยู่ด้วย
ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไป เมื่อเห็นสัตว์ปีศาจในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดต่างก็หลบหนีไปไกล
ลู่เทียนอี้ผู้นี้กล้าหาญยิ่งนัก เมื่อต่อสู้แล้วเอาชนะไม่ได้ยังสามารถหาโอกาสหลบหนีไปได้
“แน่นอนว่าข้าเองก็มาพร้อมกับข่าวสำคัญเกี่ยวกับผู้ที่เข้าไปใน ‘ซากวิหาร’ คนนั้น”
นัยน์ตาของหลี่หงส่องประกายวาบ
ซากวิหาร!
ศิษย์จากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
ก่อนหน้าทุกคนเพียงมั่นใจว่ามีคนเข้าไปในซากวิหารแล้ว และไม่ใช่หนึ่งในสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้
ทว่ายามนี้
หลี่หงดูราวกับรู้มากกว่านั้น
“คนผู้นั้นคือใครกัน? ไม่ใช่หนึ่งในสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ อย่าบอกข้าเชียวว่าเป็นคนจากสำนักรอง?”
ใบหน้างดงามของเย่หยานหยูเคร่งขรึม ในใจของนางไม่พึงพอใจต่อสถานการณ์นี้อย่างมาก
ซากวิหารคือแกนกลางของซากปรักหักพังสือเฉิง
มีเพียงการเข้าไปในซากวิหารจึงจะสามารถได้ครอบครองมรดกที่แท้จริง
“ไม่ใช่!”
หลี่หงส่ายศีรษะ เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด”เอ่ยไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ สตรีที่เข้าไปในซากวิหารผู้นั้นไม่ใช่คนจากสามยอดสำนักของพวกเรา ทั้งยังมีโอกาสว่าไม่ใช่อัจฉริยะจาก ‘เกาะเทียนหลู’”
“อันใดนะ!”
“นี่… มันเป็นไปได้อย่างไร!”
อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างส่ายศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน
กระทั่งตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็รู้สึกไม่เชื่อถือ
“ท่านบอกว่า… คนนอก?”
สายตาของเย่หยานหยูและคนอื่นๆ เบนไปยังจ้าวเฟิงอย่างพร้อมเพรียงกัน
หัวใจของจ้าวเฟิงพลันปรากฏความรู้สึกเลวร้ายขึ้นทันที
สายตาของอัจฉริยะจากสามสำนักตกลงที่ร่างของจ้าวเฟิง
หากพูดถึงคนนอก จ้าวเฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
“หืม! ตรงนี้ก็มีอีกคน บนร่างของเขาไม่มีกลิ่นอายของตราคำสั่งมรดกจากสามยอดสำนัก”
สายตาของหลี่หงสั่นระริก มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างประหลาดใจ
ในใจของจ้าวเฟิงลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย การลอบปลีกตัวออกไปเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วต้องทำ
เขาแทรกซึมเข้ามาในสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างในฐานะของผู้เฝ้าดูเพื่อหาโอกาสฉกฉวยสิ่งที่ต้องการ หาเรื่องน่าสนใจ ทั้งผลที่ได้มาก็มากมายจริงๆ
ทว่าผลประโยชน์และความเสี่ยงมักจะมาพร้อมกัน
แผนการของแมวขโมยตัวน้อยยอดเยี่ยม แต่แม้ว่ามันจะละเอียดอ่อนเพียงใดก็ไม่อาจปฏิเสธความเสี่ยงมหาศาลที่มาพร้อมกัน
ทว่าหากไม่ใช่เพราะแบบนี้ การที่คนนอกอย่างจ้าวเฟิงจะมีชีวิตรอดในซากปรักหักพังนี้ได้ก็ยังไม่อาจล่วงรู้ ไม่ต้องเอ่ยถึงการหาโอกาสดีๆ เลย
“จ้าวเฟิง ผู้ที่เข้ามาในมรดกคนนั้นเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า?”
ใบหน้าของเย่หยานหยูเย็นเยียบลงเล็กๆ
ทั่วทั้งร่างของนางส่องแสงเงินยวงของจันทราเจิดจ้า ทำให้นางดูราวกับเป็นเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ แรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็นของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ปรากฏขึ้นจางๆ
“ข้าไม่รู้ ข้าถูกดึงดูดมาโดยพลังลึกลับ ในยามนั้นมีเพียงข้าและแมวตัวนั้น”
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
สถานการณ์ในยามนี้ของเขาสุ่มเสี่ยงอย่างมาก ทั้งเย่หยานหยูและหลี่หง สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้กำลังจ้องมองเขาอยู่
กระทั่งสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้จากตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำก็ยังให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
เย่หยานหยูอดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้ สถานการณ์ของจ้าวเฟิงนางเองก็ได้สอบถามแมวขโมยตัวน้อยมาก่อนหน้าแล้ว
จ้าวเฟิงย่อมไม่มีทางดึง ‘จ้าวหยูเฟ่ย’ เข้ามาอยู่ในปัญหานี้
แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าสตรีคนนอกที่เข้าไปในซากวิหารมีโอกาสมากที่จะเป็นจ้าวหยูเฟ่ยก็ตาม
เพราะในยามนั้น
เป้าหมายที่ซากปรักหักพังสือเฉิงต้องการคือ ‘จ้าวหยูเฟ่ย’ จ้าวเฟิงเพียงแค่เข้ามาด้วย ‘โดยบังเอิญ’ เท่านั้น
“โลกใบนี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก จำนวนของสำนักย่อมมากมาย ข้าเพียงแค่เข้ามาในซากปรักหักพังนี้โดยบังเอิญ อัจฉริยะจากแดนอื่นๆ เองก็ยังมีโอกาสที่จะมีความบังเอิญนี้เกิดขึ้นเช่นกัน บางที ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ นี้อาจจะมีช่องว่างที่พวกเจ้าไม่รู้ก็ได้”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างช้าๆ
“เจ้าพูดมีเหตุผล ตามที่ท่านอาจารย์และผู้อาวุโสกล่าว ซากปรักหักพังสือเฉิงหลายปีมานี้มีพลังลดลงอย่างมาก ย่อมมีจุดอ่อนปรากฏขึ้นบ้าง”
ชายหนุ่มชุดดำนาม ‘หลี่หง’ เอ่ยสนับสนุนคำพูดของจ้าวเฟิงอย่างคาดไม่ถึง
ในเมื่อจ้าวเฟิงได้เป็นหนึ่งใน ‘ความบังเอิญ’ แล้ว การที่จะมี ‘ความบังเอิญ’ เกิดขึ้นอีกก็เป็นไปได้
ความจริงแล้ว
จ้าวเฟิงจงใจใช้คำพูดเพื่อเบี่ยงเบนความคิดของผู้คน
ตราบเท่าที่เขากับสตรีที่เข้าไปในซากวิหารไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกัน เย่หยานหยูที่มีข้อตกลงกับเขาอยู่ก็ยากที่จะเคลือบแคลงสงสัยกว่า
จะอย่างไร คนจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างในยามนี้ก็ยังคงยึด ‘เย่หยานหยู’ เป็นศูนย์กลาง
“ดูเหมือนว่าจำเป็นต้องแยกกับคนพวกนี้เร็วกว่าที่คิด หากอันดับหนึ่ง ‘ลู่เทียนอี้’ มาถึง สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจะหลุดจากการควบคุมของข้า”
จ้าวเฟิงตัดสินใจ
ในยามนี้
จ้าวเฟิงค้นพบว่าศิษย์ที่สนิทกับหยูลั่วทั้งสองคนไปยังเบื้องหน้าของหลี่หงพร้อมกับเอ่ยบางอย่างขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หยูลั่ว… เขาตายแล้วหรือ?”
ร่างและจิตใจของหลี่หงสั่นสะท้าน ข่าวร้ายที่มาถึงนั้นได้ทำให้เขารู้สึกราวกับพื้นที่ยืนถล่มลงไปต่อหน้า
หยูลั่ว
อีกฝ่ายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา เติบโตขึ้นในสำนักด้วยกัน
ตอนแรกพลังของหยูลั่วค่อนข้างแข็งแกร่งในสำนัก เขาได้ดูแลหลี่หงที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักอยู่มาก
ทั้งในการทดสอบของสำนัก หยูลั่วยังช่วยชีวิตหลี่หงเอาไว้ครั้งหนึ่ง
สำหรับหลี่หงแล้ว เขาซาบซึ้งในใจตัวหยูลั่วยิ่งนัก ทั้งความแข็งแกร่งของคนทั้งสองยังใกล้เคียงกัน ความสัมพันธ์จึงแน่นแฟ้น
บัดนี้เมื่อรู้ข่าวการตายของหยูลั่ว หลี่หงก็ราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน
“บัดซบ! ดูเหมือนโชคจะถูกใช้ไปจนหมดสิ้นก่อนหน้าแล้ว หลี่หงผู้นี้กับหยูลั่วสนิทกันมาก”
จ้าวเฟิงตื่นตกใจเล็กๆ
เขาเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดก่อนหน้าศิษย์สองคนนั้นถึงได้มองเขาด้วยสายตาที่ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
เมื่อรู้ว่าหยูลั่วตาย หลี่หงก็รู้สึกราวกับหัวใจถูกกรีดแทงด้วยมีด เต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าโศก กระทั่งแหงนหน้าร้องคำรามเสียงดัง
แน่นอนว่า
จะอย่างไรเขาก็เป็นยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ ทำให้สามารถตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว
“อธิบายมาให้ละเอียด…”
สายตาของเขาที่กวาดมองไปยังจ้าวเฟิงเย็นยะเยือก เริ่มเอ่ยถามรายละเอียดบางส่วน
เมื่อรู้ว่าหยูลั่วตายเพราะไล่ตามจ้าวเฟิง สีหน้าของหลี่หงก็พลันเย็นเยียบ นัยน์ตาปรากฏเส้นเลือดแดงก่ำ จิตสังหารปรากฏขึ้นจางๆ
“ไอ้หนู! แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่คนที่ฆ่าศิษย์พี่หยูลั่ว แต่หากไม่ใช่เพราะเจ้า เขาก็คงไม่ตาย!”
หลี่หงกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดไหล นัยน์ตาส่องประกายเกลียดแค้นข้นคลั่ก
พลังในขั้นนายเหนือแท้ของเขาพุ่งพล่าน สร้างคลื่นอัสนีวารีสีฟ้าหม่นขึ้น กระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่ว เมื่อเทียบกับความเข้าใจใน ‘มรดกอัสนี’ ของจ้าวเฟิงแล้วยังนับว่าเหนือกว่าขั้นหนึ่ง
“หลี่หงผู้นี้มิคาดว่าจะฝึกฝน ‘วิชาธาตุวารีอัสนี’ สามารถหลอมรวมสองพลังที่แตกต่างกันอย่างสายฟ้าและน้ำได้จนถึงขีดสุด เขามาจากสำนักระดับสองดาว วิชาที่เขาฝึกเมื่อเทียบกับ ‘มรดกอัสนี’ จากตำหนักยอดนภาแล้วยังเหนือกว่าอยู่ 1-2 ระดับ”
แม้วิกฤตจะอยู่ตรงหน้า จิตใจของจ้าวเฟิงก็ยังคงเยือกเย็น ความสามารถในการรับรู้ควบคุมของดวงตาเทพเจ้ากระทั่งแข็งแกร่งกว่าเก่า