บทที่ 423 : หน้าที่ของจ้าวเฟิง
“…เมื่อหอคอยพฤกษาปีศาจถูกฆ่า จุดอ่อนนี้ก็จะชัดเจนยิ่งขึ้นจนเกิดช่องว่าง หากช่องว่างนั้นขยายใหญ่ขึ้น ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ด้านนอกจะสามารถเข้ามาในซากปรักหักพังได้ และส่งผลต่อการสืบทอดของข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของจ้าวเฟิงก็เลวร้ายลง
“เจ้าหมายความว่า… ให้ข้าขัดขวางศิษย์จากสามสำนักไม่ให้โจมตีหอคอยพฤกษาปีศาจหรือ?”
เด็กหนุ่มอดที่จะสูดลมหายใจเฮือกเข้าไปไม่ได้
ในยามนี้ หอคอยพฤกษาปีศาจได้รับการโจมตีจาก ‘พลังเซียน’ ทำให้ได้รับบาดเจ็บ ปรากฏจุดอ่อนช่องว่างอย่างชัดเจน เป็นส่วนที่ศิษย์จากสามสำนักลงมือมากที่สุด
หากจ้าวเฟิงขัดขวางย่อมต้องแตกหักกับศิษย์จากสามสำนักโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ด้วยพลังของพี่จ้าวเฟิงเพียงคนเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้ ทว่าพี่สาวจื่อเย่จะพยายามทำให้ ‘ซากวิหาร’ ปรากฏขึ้นให้ได้ หนึ่งคือสามารถป้องกันหอคอยพฤกษาปีศาจ สองคือมอบโอกาสในการครอบครองมรดกให้แก่พี่จ้าวเฟิง”
จ้าวหยูเฟ่ยตอบ
เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กๆ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าหุบเขาลึกลับนี้จะเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานของซากปรักหักพัง มีความสำคัญถึงเพียงนั้น
เมื่อ ‘หอคอยพฤกษาปีศาจ’ ถูกกำจัด แหล่งกำเนิดพลังนี่ก็จะอ่อนแอลง ทำให้ช่องว่างอาจขยายใหญ่ขึ้นได้
“ดังนั้นแล้ว พี่จ้าวเฟิงเพียงแค่ต้องถ่วงเวลาการรุกคืบของคนจากสามสำนักให้ได้มากที่สุดก่อนที่ซากวิหารจะมา มันคือสถานการณ์ที่ดีที่สุดแล้ว”
จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยเพิ่ม
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ หน้าที่ของเขาคือการสนับสนุน หากจัดการได้ก็ดี แต่หากทำไม่ได้ก็ไม่เป็นอันใด
กำลังหลักคือซากวิหาร
เมื่อซากวิหารมาถึง จ้าวเฟิงจะสามารถสัมผัสแกนกลางของซากปรักหักพังสือเฉิงได้ กระทั่งอาจได้ครอบครองมรดกเป็นของตนเอง
โดยเฉพาะเมื่อมีจ้าวหยูเฟ่ยคอยช่วยเหลือ โอกาสของเด็กหนุ่มย่อมมากกว่าผู้อื่น
“ซากวิหารจะมาถึงเมื่อใด?”
จ้าวเฟิงเอ่ยถาม
“อย่างเร็วไม่กี่ชั่วยาม อย่างช้าอาจมากถึงครึ่งวัน”
จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยตอบ
ในสมอง
จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับจ้าวหยูเฟ่ย จ้าวเฟิงเข้าใจถึงสถานการณ์ของซากปรักหักพังสือเฉิงได้สมบูรณ์มากขึ้น
แต่เดิม
ซากปรักหักพังสือเฉิงนี้ถูกควบคุมโดย ‘เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง’ ทว่าพลังเจตจำนงของมันกำลังจะหมดลง
เป้าหมายของการคงอยู่ของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงคือการค้นหาผู้สืบทอดมรดกของผู้เป็นนาย
แต่มันไม่อาจหาผู้ที่เหมาะสมได้
เมื่อเห็นว่ามันกำลังจะถึงขีดจำกัด ไม่แม้แต่จะต้องการเปิดซากปรักหักพังขึ้น มันก็รับรู้ถึงผู้ที่เหมาะสมขึ้นได้จางๆ
ดังนั้น
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงจึงทุ่มสุดตัวโดยไม่สนผลที่ตามมาในการใช้พลังเจตจำนงที่เหลือให้ภาพมรดกซากปรักหักพังสือเฉิงไปถึงยังแดนบุปผาครามที่ห่างไกล
ผลคือระดับของซากปรักหักพังสือเฉิงค่อนข้างสูง ไม่เหมือนกับมรดกความลับสวรรค์และอื่นๆ สิ่งที่ไปถึงได้มีเพียงแค่สาขาเล็กๆ ทำให้เผชิญหน้ากับการต่อต้านของฟ้าดิน
เป็นเรื่องดีที่พลังของซากปรักหักพังสือเฉิงคล้ายคลึงกับจ้าวหยูเฟ่ย ทำให้มีพลังดึงดูดมหาศาล ไปถึงทวีปบุปผาครามได้ในที่สุด
“พี่จ้าวเฟิง ท่านมีสิ่งใดที่ต้องการก็สามารถเอ่ยได้ พี่สาวจื่อเย่จะตอบแทนให้อย่างเต็มความสามารถ”
จ้าวหยูเฟ่ยพลันเอ่ยขึ้น
จ้าวเฟิงลังเลขึ้นเล็กๆ อย่างชัดเจน เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงในยามนี้สูญเสียความสามารถในการควบคุมซากปรักหักพังไปแล้ว หรือมิเช่นนั้นลำบากเพียงหนึ่งความคิดก็คงสามารถส่งซากวิหารมาได้ หรือมิเช่นนั้นก็ส่งศิษย์จากสามสำนักออกไปได้
ชัดเจนว่าเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเป็นเช่นตะเกียงที่น้ำมันแห้งเหือด สูญเสีย ‘อำนาจ’ ในการควบคุมซากปรักหักพังไปแล้ว
“ให้ยกเลิกการปิดกั้นประสาทสัมผัสของข้าใน ‘พื้นที่ซากปรักหักพัง’ ได้หรือไม่”
หลังจากวิเคราะห์ จ้าวเฟิงก็เอ่ยยื่นข้อเสนอที่คิดว่าอีกฝ่ายสามารถทำได้ออกไป
“ได้”
ผ่านไปชั่วครู่ จ้าวหยูเฟ่ยก็เอ่ยตอบ
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงรับรู้เพียงแต่ว่าประสาทสัมผัสของตนเองแผ่วเบาขึ้น การปิดกั้นจากซากปรักหักพังพลันจางหายไป
เด็กหนุ่มอดที่จะยินดีไม่ได้ เมื่อไม่มีการปิดกั้นประสาทสัมผัสจากซากปรักหักพัง ดวงตาเทพเจ้าของเขาก็ยิ่งสามารถแสดงความเหนือกว่าได้อีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงก็นับเป็นที่หนึ่ง ในซากปรักหักพังนี้ ระยะที่ประสาทสัมผัสของเขาไปถึงนั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าผู้สูงศักดิ์เสียอีก
ในเวลาเดียวกัน
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพลันรับรู้ได้ถึงพลังแปลกประหลาดที่ไม่อาจมองเห็นได้จากตัวมิติแทรกซึมเข้ามาในโลกแห่งจิตใจของเขา
เข้าใจแล้ว!
จ้าวเฟิงเปิดดวงตาเทพเจ้า เพ่งมองพลังที่ไม่อาจมองเห็นนี้
ฟุ่บ!
เสี้ยววินาทีต่อมา ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพลันเข้าใจถึงทุกสิ่งในมิติ ให้ความรู้สึกราวกับว่าสามารถมองทะลุผ่านการป้องกันไปได้
ในตำหนักงดงามได้ปรากฏเด็กสาวในอาภรณ์สีม่วงนั่งขัดสมาธิอยู่ เบื้องหน้าปรากฏ ‘กุญแจผลึก’ ลอยอยู่ในสภาพกำลังก่อตัว
ข้างกายนางปรากฏสตรีที่ดูน่าหลงใหลผู้หนึ่ง ดูราวกับ ‘กลุ่มก้องแสงสีม่วง’ แม้ว่าจะไม่ได้ดูโดดเด่น ทว่าทุกการเคลื่อนไหวสีหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความสูงศักดิ์ ดูราวกับเป็นเทพเซียน
“ฮี่ฮี่ เมื่อไม่มีการปิดกั้นประสาทสัมผัสจากมิติซากปรักหักพังแล้วช่างแตกต่างยิ่งนัก”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม
ด้วยดวงตาเทพเจ้ารับรู้ถึงการสั่นกระเพื่อมของพลัง ใช้เป็นร่องรอยในการแกะรอย ทำให้สามารถมองเห็นภาพภายในซากวิหารได้
จากนั้นเขาก็รับรู้ว่าด้วยขอบเขตจิตวิญญาณที่พัฒนาขึ้น การใช้ดวงตาเทพเจ้าของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่ง
เด็กสาวในอาภรณ์สีม่วงผู้นั้นย่อมเป็นจ้าวหยูเฟ่ย
สตรีที่ดูเลือนรางข้างๆ นั้นไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ว่าคือเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง
“นี่… เป็นไปได้อย่างไร!”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
พูดตามตรง
นางกำลังมองไปยังเหนือศีรษะ มองไปยัง ‘เนตรสวรรค์’ ที่ปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า ทว่าไม่นานมันก็จางหายไปโดยไร้ร่องรอย ให้ความรู้สึกราวกับเป็นภาพลวงตา
หุบเขาลึกลับ
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงกลับเข้าร่าง
เหตุผลที่เมื่อครู่เขาแกะรอยกลับไปตรวจสอบสถานการณ์ของอีกฝั่งนั้นเป็นเพราะต้องการยืนยันถึงสถานะปัจจุบันของจ้าวหยูเฟ่ยให้แน่ใจ
ผู้ใดจะมั่นใจได้กันว่าจ้าวหยูเฟ่ยไม่ได้ถูกข่มขู่ให้สืบทอดมรดก
แต่เขาไม่คิดว่า ‘เนตรสวรรค์’ ที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่จะส่งผลต่อเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงอย่างมาก
ฟุ่บ!
ในสมองของเด็กหนุ่ม เงาร่างของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงได้ปรากฏขึ้นข้างกายของจ้าวหยูเฟ่ย
“มีอันใด?”
เมื่อจ้าวเฟิงมั่นใจว่าจ้าวหยูเฟ่ยปลอดภัยก็รู้สึกโล่งอก
“ดวงตานั่นของเจ้า…”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงปรากฎความประหลาดใจและลังเลขึ้น
อันใด?
จ้าวเฟิงสงสัย แต่หัวใจเต้นรัว
เจ้าของซากปรักหักพังนี้ ในอดีตเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในขอบเขตเทวาเร้นลับ สายตาความรู้ย่อมกว้างไกล
บางที
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงอาจจะรู้ถึงความเป็นมาของดวงตาของเขาก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงยามนี้
จ้าวเฟิงพลันรู้สึกคาดหวังขึ้น รอให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยต่อ
“ข้าเป็นเพียงความทรงจำบางส่วนของเจ้านายก่อนตายเท่านั้น หากเป็นเจ้านายอาจจะล่วงรู้ถึงความเป็นมาของดวงตาของเจ้า”
ทว่าหลังจากที่ครุ่นคิดไปชั่วครู่ เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงก็มุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กๆ ไม่เอ่ยถึงมัน
จ้าวเฟิงพลันไร้คำพูดไป
“สายเลือดโบราณในร่างของเจ้า แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใน ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ แต่ดวงตาของเจ้าย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ เป็นแน่”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงรู้สึกประหลาดใจและยินดี
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะรู้สึกเช่นไร
แต่แรกเขาก็ไม่รู้อยู่แล้วว่ารายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ที่ว่านั่นคือของบ้าบออันใด
สิ่งที่เขากังวลคือในซากปรักหักพังจะมีมรดกที่เหมาะสมกับตนเองหรือไม่
“ขออภัยด้วย สายเลือดดวงตาของเจ้าไม่เหมาะสมกับมรดกใด เจ้าคงจะเหมาะกับมรดก ‘แปดดวงตาเทพเจ้า’ หรือมรดกศาสตร์แห่งวิญญาณโบราณซึ่งเป็นศาสตร์นอกสายเสียมากกว่า แน่นอนว่าหากจะมองย้อนไป ในซากวิหารก็มีมรดกที่เหมาะสมกับวิชาสายฟ้าที่เจ้าฝึกฝน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีมรดกธาตุน้ำแข็งที่เหมาะสมกับสายเลือดของเจ้า”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยขึ้นอย่างค่อนข้างเสียดาย
“อย่างน้อยก็มี แค่นั้นก็ดีแล้ว”
จ้าวเฟิงถอนหายใจโล่งอกเล็กๆ
ในงานชุมนุมเซียนมังกร ยามที่มรดกเชื่อมต่อ เขาไม่อาจค้นหามรดกที่เหมาะสมกับตนเองอย่างแท้จริง
โชคดีที่
ในซากปรักหักพังสือเฉิงนี้ได้มีมรดกที่เหมาะสมกับมรดกอัสนีของจ้าวเฟิง ทั้งยังมีมรดกธาตุน้ำแข็งที่เหมาะสมกับพลังสายเลือดของเด็กหนุ่มด้วย
เมื่อมาถึงจุดนี้ จ้าวเฟิงก็พอใจ นับว่าเขามาไม่เสียเที่ยวแล้ว
หากสามารถก้าวออกไปได้อีกก้าว ช่วยเหลือให้จ้าวหยูเฟ่ยกลายเป็นผู้สืบทอดของซากปรักหักพังได้ เช่นนั้นผลประโยชน์ที่จ้าวเฟิงจะได้รับมันย่อมมากกว่าที่จะคาดเดาได้
หลังจากผ่านไปนาน
เมื่อจ้าวเฟิงเข้าใจจึงตัดการติดต่อกับเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง
“ตอนนี้ข้าต้องรอให้ ‘ซากวิหาร’ นั่นมาถึงพร้อมกับถ่วงเวลาคนพวกนี้ไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อาจให้สามสำนักฆ่าหอคอยพฤกษาปีศาจได้โดยเด็ดขาด
จ้าวเฟิงตัดสินใจ
ในยามนี้
หลี่หงนำศิษย์จากทั้งสามสำนักไปโจมตีหยั่งเชิงหอคอยพฤกษาปีศาจ
เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ฉวยโอกาสฟื้นตัว
ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่เข้าร่วมการโจมตีนี้มีหลี่หงกับโม่ก่านจากตำหนักผาดำ
สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้นำอัจฉริยะกว่า 20-30 คนมุ่งตรงไปยังช่องว่างของหอคอยพฤกษาปีศาจและเริ่มโจมตี
“ฮ่าฮ่า… หอคอยพฤกษาปีศาจนี่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งเพียงนี้”
หลี่หงอยู่ที่หน้าสุดเริ่มการโจมตี คลื่นแสงสายน้ำและสายฟ้าระเบิดบนลำต้นและพุ่มไม้ของหอคอยพฤกษาปีศาจ
ศิษย์ที่ตามไปก็พร้อมใจกันโจมตี
“ศิษย์จากสามสำนักใช้จุดอ่อนที่ถูกการโจมตีจากพลังเซียนในการจู่โจม บริเวณนั้นไม่มีพุ่มไม้ใบไม้คอยโจมตี หอคอยพฤกษาปีศาจแทบจะทำได้เพียงรับการโจมตีที่เข้ามา”
คิ้วของจ้าวเฟิงขมวดมุ่น สีหน้าเลวร้ายลง
มันไม่ใช่ว่าพลังของหลี่หงแข็งแกร่ง เขาเพียงแค่นำคนไปถูกทาง ฉวยโอกาสไว้ได้
กล่าวได้เพียงว่าการโจมตีจากพลังเซียนนั้นรุนแรงยิ่งนัก ทำให้สามสำนักฉวยโอกาสใช้ช่องว่างนั้นบุกทะลวง
จ้าวเฟิงเพ่งดวงตามอง เห็นเพียงว่าในช่องว่างนั้นเต็มไปด้วยพุ่มไม้ที่แตกหัก เผยให้เห็นรอยแตกที่แผ่กว้าง ดูเลวร้าย
เปรี้ยง ฟุ่บ ตูม
ศิษย์จากสามสำนักยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่องบนเปลือกไม้ของหอคอยพฤกษาปีศาจ
เป็นเรื่องดีที่พลังป้องกันกายภาพของหอคอยพฤกษาปีศาจยังคงแข็งแกร่ง ทั้งกิ่งก้านยังเป็นส่วนที่มีพลังป้องกันมากที่สุด
หลี่หงเป็นผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง พลังป้องกันดูแข็งแกร่ง แม้ว่าการโจมตีธาตุน้ำและสายฟ้าจะเป็นธาตุที่แพ้ทางก็ยังคงส่งผลต่อสัตว์ประหลาดได้
ทว่า
ศิษย์จากสามสำนักใช้พลังจำนวนมากในการจู่โจมไปยังจุดเดียวกันอย่างต่อเนื่อง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มดกัดช้างตายฉันท์ใด หอคอยพฤกษาปีศาจย่อมได้รับความเสียหายในที่สุด
“ไม่อาจนั่งรอความตายได้”
เมื่อจ้าวเฟิงครุ่นคิดดูแล้วก็เริ่มเคลื่อนไหว
“เจ้าต้องการทำอันใด?”
เย่หยานหยูพลันเปิดดวงตางดงามขึ้น จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มอย่างเย็นชา
“การตายของหยูลั่วทำให้ข้ารู้สึกเสียใจอย่างมาก คนแซ่จ้าวผู้นี้ต้องการที่จะตอบแทน ช่วยเหลือสหายผู้ฝึกตนจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างจัดการหอคอยพฤกษาปีศาจ”
จ้าวเฟิงแสดงท่าทีฝืนใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วงดงามของเย่หยานหยูก็มุ่นเข้าหากันเล็กๆ ความเคลือบแคลงระบายอยู่บนใบหน้า
นางไม่เชื่อว่าจ้าวเฟิงจะมีเจตนาดี
คนผู้นี้แทรกซึมเข้ามาในสามสำนักได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ทั้งยังฉกฉวยโอกาสดีต่างๆ ไปมาก มีหรือที่จะรู้สึกติดค้าง
เขาจะช่วยเหลือสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างโดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนจริงๆ หรือ?
“ได้ เจ้าไป แต่อย่าลืมข้อตกลง เจ้าออกห่างจากข้าได้ไม่เกินสามลี้”
เย่หยานหยูตกลง
จะอย่างไรจ้าวเฟิงก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเถรตรง ต้องการที่จะลงมือลงแรงจัดการต้นไม้ปีศาจ ในเรื่องนี้นางไม่อาจปฏิเสธได้
อย่างลับๆ
เย่หยานหยูได้ส่งข่าวให้หลี่หงคอยระมัดระวังจ้าวเฟิง
“พวกเจ้า จับตามองคนผู้นี้ให้ดีๆ…”
เย่หยานหยูเองก็บอกคนใกล้ๆ ไว้
ยิ่งข้อตกลงยาวนานเท่าใด เย่หยานหยูก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความยากในการควบคุมค้นหาจ้าวเฟิง ทุกเจตนาของอีกฝ่าย นางไม่อาจเข้าใจได้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ