Skip to content

King of Gods 433

King Of Gods

บทที่ 433 : พลังวิญญาณ

ร่างของลู่เทียนอี้ขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้หุบเขา พลังอำนาจมหาศาลพุ่งสูงขึ้นสู่ฟากฟ้า ไอสวรรค์ดูดดึงส่องสว่าง กระทั่งหอคอยพฤกษาปีศาจที่อยู่ห่างออกไปยังรับรู้ได้ เกิดความประหลาดใจขึ้นไม่น้อย

“มนุษย์ ดูเหมือนว่าพวกเราคงยากจะหลบหนีจากชะตาอันเลวร้ายนี้ไปได้”

น้ำเสียงเก่าแก่เศร้าสร้อยของหอคอยพฤกษาปีศาจดังขึ้น

จ้าวเฟิงรู้ว่าการมาถึงของลู่เทียนอี้นั้นได้สร้างความรู้สึกวิกฤตให้แก่หอคอยพฤกษาปีศาจอย่างมาก

ยามที่หอคอยพฤกษาปีศาจอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม มันยังสามารถต่อต้านกับลู่เทียนอี้ได้

ทว่า

ก่อนหน้ามันถูก ‘พลังเซียน’ โจมตี ทำให้เกิดช่องว่างให้เห็นลำต้นหลักอย่างชัดเจน

นอกจากนั้น มันยังต้านรับการโจมตีจากสามสำนัก ทั้งยังถูกดูดกลืนแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา ทำให้พลังของหอคอยพฤกษาปีศาจลดลงอย่างมาก

“ลู่เทียนอี้ผู้นี้ทรงพลังโดยแท้ แทบจะมีโอกาสท้าทายผู้สูงศักดิ์ได้ นับว่าเหนือกว่าระดับที่ข้าสามารถรับมือได้แล้ว”

จ้าวเฟิงลอบถอนหายใจอย่างลึกล้ำ

ก่อนหน้า เด็กหนุ่มได้ใช้วิชาสร้างภาพที่น่าพรั่นพรึงขึ้นซ้ำๆ ทำให้เหล่าอัจฉริยะจากสามสำนักหวาดหวั่นล่าถอยไปในครั้งเดียว ทำให้พลังต่อสู้ของยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งสิบลดลงไปมากกว่าครึ่ง

ทว่าทั้งหมดนั่นก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่าเขามีหอคอยพฤกษาปีศาจเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง รอบกายมันอาจนับได้ว่าเป็นแดนต้องห้าม

หากเป็นการต่อสู้กันตรงๆ จ้าวเฟิงไม่มีความมั่นใจมากนักว่าจะสามารถต่อต้านเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ได้ จะอย่างไรพลังต่อสู้ของสตรีทั้งสองก็เทียบเคียงกับรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด สามารถท้าทายผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั่วไปได้

ทว่า ‘ลู่เทียนอี้’ ผู้นี้มีพลังเหนือกว่าไปอีกขั้น

ด้วยดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงค้นพบเข้าใจว่าความสามารถในการตอบสนองของไอสวรรค์ต่อลู่เทียนอี้นั้นเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปกว่าสิบเท่า

อีกฝ่ายนั้นราวกับเป็นศูนย์กลางน้ำวนที่เรียกว่าไอสวรรค์ สามารถสำแดงพลังที่เหนือกว่าฟ้าดินขึ้นมาได้

ดังนั้นแล้ว

ลมแปลกประหลาดรอบหุบเขาลึกลับจึงถูกลู่เทียนอี้ทำลายสร้างเป็นทางขึ้นได้อย่างง่ายๆ

นี่เป็นสิ่งที่เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ไม่อาจทำได้

“พี่ชาย เราไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับศัตรู ซากวิหารจะมาถึงในเร็วๆ นี้ ท่านเพียงแค่ต้องมอบการสนับสนุนให้ข้าอย่างเต็มที่เท่านั้น”

น้ำเสียงของจ้าวเฟิงยังคงเยือกเย็น

ในยามนี้เขาเองก็รู้สึกได้ถึงวิกฤตไม่น้อย

หากไม่ใช่เพราะซากวิหารกำลังจะมาถึง จ้าวเฟิงย่อมหลบหนีไปไกลก่อนแล้ว การรั้งอยู่มีเพียงแต่จะตายตกเท่านั้น

การต่อกรกับลู่เทียนอี้ ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้คนอื่นๆ และอัจฉริยะจำนวนมากจากสามสำนักก็ไม่ต่างจากการท้าทายผู้สูงศักดิ์มากนัก

จะให้จ้าวเฟิงไปท้าทายผู้สูงศักดิ์ หากไม่ใช่รนหาที่ตายแล้วจะนับเป็นอันใด?

“มนุษย์ เจ้าได้สร้างความประหลาดใจและยินดีให้ข้าอย่างมากแล้ว ครั้งนี้ข้าเองก็หวังว่ามันจะเหมือนเช่นก่อนหน้า”

หอคอยพฤกษาปีศาจตัดสินใจ กระตุ้นโคจร ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’ เข้าสนับสนุนจ้าวเฟิงอย่างเต็มกำลัง

มันไม่สนใจอีกต่อไปว่าพลังในแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของมันจะถูกใช้ไปเท่าใด แม้ว่าจะต้องใช้จนหมดสิ้น แม้ว่ามันจะต้องกลับไปสู่ร่างเดิม เมื่อเทียบกับการหายไปจากโลกแล้วย่อมดีกว่า

ในเวลาเดียวกัน

ลู่เทียนอี้เข้ามาในหุบเขาลึกลับ รวมตัวกับอัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง

เมื่อเห็นสภาพโทรมอย่างน่าสงสารและหดหู่ของอัจฉริยะจากสามสำนัก ลู่เทียนอี้ก็รู้สึกตกใจอย่างมาก”เกิดอันใดขึ้น”

ในบรรดาสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ นอกจากเขาแล้ว พวกเย่หยานหยูคืออันดับสองกับสาม

การสูญเสียของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างทำให้ลู่เทียนอี้รู้สึกโกรธแค้น

ในสามสำนัก สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างสูญเสียไปมากที่สุด

หยูลั่วตาย หลี่หงเองก็ไม่ต่างจากตายไปเท่าใด รวมทั้งยังมีอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้และขั้นผู้วิเศษแท้ที่ตายไปอีก

“ใช่แล้ว เมื่อศิษย์พี่ลู่มา โอกาสที่จะจัดการไอ้ตัวบัดซบนั่นย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเก้าสิบเก้าส่วน”

เย่หยานหยูยินดีอย่างมาก

ลู่เทียนอี้ยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีก ศิษย์น้องเย่ที่มักจะเงียบงันผู้นั้น บนใบหน้างดงามกลับเต็มไปด้วยความเย็นเยียบของจิตสังหาร

ไม่ช้า

เย่หยานหยูก็เอ่ยอธิบายถึงสถานการณ์ให้ลู่เทียนอี้ฟังอย่างสั้นๆ

“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย”

เมื่อลู่เทียนอี้ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกโมโหอย่างมาก

เมื่อใดกันที่ศิษย์หลักของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเคยถูกเหยียดหยามถึงเพียงนี้?

“เจ้าสบายใจได้ ให้ข้าเป็นคนไปฆ่าไอ้ตัวบัดซบนั่นเอง”

ความเกียจคร้านบนใบหน้าของลู่เทียนอี้จางหายไป ดวงตาทั้งสองส่องประกายราวกับดวงดาราในยามค่ำคืน ทว่ากลับปรากฏประกายกระหายเลือดขึ้นเจือจาง

ในยามนี้

ลู่เทียนอี้ราวกับรับรู้ถึงบางอย่างได้อย่างกะทันหัน แหงนศีรษะขึ้นมองไปยังท้องนภา

กลางนภากว้าง เมื่อใดไม่มีผู้ใดรู้ได้ปรากฏดวงตาสีฟ้าใสขนาดยักษ์ขึ้น ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน มองต่ำลงมายังเขา

“นั่นคือสายเลือดดวงตาของไอ้ตัวบัดซบนั่นหรือ? ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

ลู่เทียนอี้ผวาไป

เพียงเหลือบมองเขาก็รู้สึกว่าดวงตานั่นอาจจะลงมาหาเขาได้ตลอดเวลา

หากเป็นมรดกแปดดวงตาเทพเจ้า แม้จะเป็นลู่เทียนอี้ก็ยังมีความเข้าใจไม่ถึงครึ่ง

ในยามนี้

ดวงตาที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆได้มองลงไป สร้างแรงกดดันไปยังดวงวิญญาณราวกับฟ้าดินกำลังกดทับ ให้ความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

นอกจากลู่เทียนอี้ อัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ที่เหลือล้วนแล้วแต่รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล

จะอย่างไร ดวงตาข้ามผ่านระยะทางนี้ จ้าวเฟิงก็ได้รับการสนับสนุนจากแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าขอบเขตจิตวิญญาณของเขากระทั่งเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงไปแล้ว

“พลังอำนาจในระดับนี้ไม่อาจเทียบกับข้าได้ ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกว่าไม่อาจทำความเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง”

ลู่เทียนอี้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน ประกายแสงในดวงตาราวกับแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง มีความเย่อหยิ่งทระนง เผยความเหยียดหยันไปยังอำนาจทั่วทั้งแปดทิศ

เขาไม่ขยับ ทว่ากลับกลายเป็นศูนย์กลางน้ำวนของไอสวรรค์ ครอบครองพลังแห่งฟ้าดินที่ไม่รู้ว่ามากมายเพียงใด

ทำลาย

ฝ่ามือของลู่เทียนอี้ถูกผลักออกพร้อมกับที่คลื่นดาบจันทร์เสี้ยวสีทองบางราวกับปีกจักจั่นจะพุ่งออก แสงสีทองนั้นให้ความรู้สึกเย็นเยียบไปถึงกระดูก พุ่งข้ามผ่านระยะทางในเสี้ยววินาที ตัดผ่านก้อนเมฆจนเป็นสองซีก

ในวินาทีนั้น อัจฉริยะจากสามสำนัก ณ ที่แห่งนั้นพลันเงียบงันลง เผยสีหน้าตื่นตะลึงอย่างไม่อาจเทียบออกมา

การโจมตีเมื่อครู่ของลู่เทียนอี้มีความรุนแรงราวกับจะทำลายหมู่บ้านเล็กๆ ได้อย่างง่ายดาย

กระทั่งแรงกดดันจาก ‘เนตรสวรรค์’ ที่อยู่กลางท้องนภายังถูกกดดัน

เคร้ง

วงแสงดาบจันทร์เสี้ยวสีทองที่มีพลังรุนแรงน่าพรั่นพรึงนั้นพุ่งผ่านเนตรสวรรค์กลางเวหา

ระยะ 3-4 ลี้โดยรอบถูกการโจมตีนั้นครอบคลุมไปจนหมด

กระทั่งหอคอยพฤกษาปีศาจที่อยู่ห่างออกไปยังรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในระดับหนึ่ง อย่างน้อยการเคลื่อนไหวของไอสวรรค์ก็ได้ทำให้กิ่งไม้ใบไม้สั่นสะท้านอย่างไม่หยุดยั้ง

หลังจากทั้งหมดสิ้นสุดลง

ชั้นเมฆแตกสลาย ทว่าเนตรสวรรค์ยังคงไร้ซึ่งรอยขีดข่วน แสดงท่าทีขบขันออกมามองต่ำลงไปยังลู่เทียนอี้

“ลู่เทียนอี้ ดวงตานี่เป็นเพียงความว่างเปล่า คงมีเพียงแค่การโจมตีของผู้ฝึกตนในขอบเขตปราณเทวะขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถทำลายมันลงได้จริงๆ วิธีการที่ง่ายที่สุดคือการกำจัดเจ้าวายร้ายนั่นตรงๆ”

น้ำเสียงอ่อนแรงของชื่อกุ้ยดังขึ้น

การโจมตีของลู่เทียนอี้แข็งแกร่ง ทว่ามันก็ไม่ต่างอะไรกับการโจมตีอากาศมากนัก

มีเพียงแค่ยอดฝีมือในศาสตร์แห่งวิญญาณโบราณ หรือมีสายเลือดดวงตาในระดับเดียวกับจ้าวเฟิงเท่านั้น หรือมิเช่นนั้นก็ยากที่จะทำลาย ‘เนตรสวรรค์’ ลงได้

“น่าสนใจ”

ลู่เทียนอี้ไม่แปลกใจมากนัก

เนตรสวรรค์นั่นให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นความว่างเปล่า หากใช้วิธีการทั่วไปย่อมไม่อาจจัดการมันได้

ลู่เทียนอี้ไม่อาจยอมรับได้ง่ายๆ

จากนั้นเขาจึงสาดวิชาโจมตีจำนวนมากไปยังเนตรสวรรค์ อัจฉริยะจากสามสำนักที่อยู่ใกล้ๆ มองไปอย่างหวาดกลัวและเคารพนับถือ

ทว่าสุดท้ายแล้ว ความพยายามทั้งหมดของลู่เทียนอี้ก็จบลงที่ความล้มเหลว

เนตรสวรรค์นั่นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน ทั้งยังสร้างแรงกดดันให้แก่พวกเขา ทว่ามันกลับราวกับเป็นความว่างเปล่า ไม่อาจทำลายลงได้

“บัดซบ”

ลู่เทียนอี้ไม่อาจทนสายตาจากดวงตาด้านบนได้อีกต่อไป

“ศิษย์พี่ลู่ ท่านรีบฆ่าไอ้ตัวบัดซบนั่น ทั้งๆ ที่จ้าวเฟิงเห็นว่าท่านมาแล้วทว่ากลับไม่ล่าถอย ข้ากลัวว่ามันอาจจะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น”

ในใจของเย่หยานหยูปรากฏความกระวนกระวายขึ้นเล็กๆ

สัญชาตญาณนี้เกิดขึ้นจากการนึกถึงสิ่งที่จ้าวเฟิงกระทำก่อนหน้านี้ทั้งหมด

“ดี ให้ข้าจัดการไอ้วายร้ายนั่นเอง”

ลู่เทียนอี้ผงกศีรษะ ตอบรับคำพูดของเย่หยานหยู

เพราะคนทั้งสองล้วนเป็นศิษย์ของราชาในขอบแขตปราณเทวะ นับว่ามีสถานะเท่าเทียมกัน ไม่ต้องเอ่ยถึงพรสวรรค์ความสามารถเลย เย่หยานหยูอายุน้อยกว่าเขา ความสำเร็จในอนาคตย่อมไม่ด้อยไปกว่าเขาเป็นแน่

ฟึ่บ

ร่างของลู่เทียนอี้ขยับเคลื่อนไหวไปด้านหน้า มุ่งหน้าตรงไปทางหอคอยพฤกษาปีศาจ

อัจฉริยะจากสามสำนักเพียงรู้ตัว ร่างของลู่เทียนอี้ก็ออกห่างไปกว่าครึ่งลี้แล้วด้วยท่าทีสบายๆ

จ้าวเฟิงที่ครอบครองมุมมองเบื้องบนผวาไป

ความเร็วของลู่เทียนอี้รวดเร็วเกินไป เพียงราวๆ สิบก้าวก็คงสามารถมาถึงตำแหน่งของเขาได้แล้ว

เนตรจิตวิญญาณเหมันต์

เนตรสวรรค์กลางเวหาส่องประกายสีฟ้าหม่นหมอง จับจ้องไปยังร่างของลู่เทียนอี้

“หืม?”

ลู่เทียนอี้รู้สึกประหลาดใจ เขาพบว่าการเคลื่อนไหวของเขากลับกลายเป็นเชื่องช้าอย่างมาก

พลังของเนตรจิตวิญญาณเหมันต์ทิ่มแทงไปยังดวงวิญญาณของเขา อาการเย็นเยียบแข็งชาแพร่กระจาย

นอกจากนั้น

ในสภาวะของเนตรสวรรค์ เนตรจิตวิญญาณเหมันต์ที่จ้าวเฟิงใช้ออกยังได้รับการเพิ่มพลังอย่างมาก ตอบสนองกับไอสวรรค์

ในวินาทีนั้น รอบกายของลู่เทียนอี้ก็ถูกพลังความเย็นแช่แข็ง

ในยามนี้

จ้าวเฟิงไม่ได้ใช้ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์ แต่เป็นเนตรจิตวิญญาณเหมันต์ที่เป็นวิชารุ่นแรก

เนตรจิตวิญญาณเหมันต์กินพลังน้อย ทั้งยังสามารถลดความเร็วของลู่เทียนอี้ลงได้

จ้าวเฟิงรู้ว่าแม้เขาจะใช้ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์หรือเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าก็คงไม่อาจสร้างอาการบาดเจ็บให้อีกฝ่ายได้มากมาย

ทว่าเพราะขอบเขตจิตวิญญาณของลู่เทียนอี้บรรลุถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด แตะที่ชายขอบของขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

“ฮี่ฮี่ ไม่มีผู้ใดขัดขวางข้าได้”

ลู่เทียนอี้หัวเราะ ร่างเยื้องย่างออกไปอย่างหยิ่งผยองมั่นคง ไอสวรรค์รอบกายถูกดูดกลืนราวกับน้ำวน ขยับหวีดหวิวโดยมีร่างของชายหนุ่มเป็นจุดศูนย์กลาง

ด้วยสภาวะในยามนี้ของจ้าวเฟิง พลังของเนตรจิตวิญญาณเหมันต์นับว่าเพียงพอที่จะแช่แข็งยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปได้ ไม่อาจที่จะขยับเคลื่อนไหวได้เป็นเวลานาน หรืออาจจะต้องตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับหลี่หง

ทว่าลู่เทียนอี้กลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ

สิ่งเดียวที่เขาได้รับผลกระทบคือความเร็วที่ลดลง

“ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาเหนือกว่าข้ามาก ทั้งบนร่างยังมีเครื่องรางอยู่”

จ้าวเฟิงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านเนตรสวรรค์

คนอย่างลู่เทียนอี้ เย่หยานหยู และจงหว่านเอ๋อร์ บุตรหลานแห่งสวรรค์จากสำนักระดับสองดาวเหล่านี้จะมีเครื่องรางอยู่คนล่ะชิ้นสองชิ้นไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด

โดยปกติแล้ว จ้าวเฟิงย่อมไม่ใช้วิชาดวงตากับศัตรูที่มีขอบเขตจิตวิญญาณสูงกว่าและมีเครื่องรางที่ทรงพลังเช่นนี้

“มีเพียงแค่วิธีนี้จึงจะสามารถถ่วงเวลาลู่เทียนอี้ไว้ได้”

จ้าวเฟิงลอบถอนหายใจ

ในเวลาเดียวกัน

หอคอยพฤกษาปีศาจเองก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของจ้าวเฟิง กระตุ้นโคจรแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดไหลทะลักเข้าสู่ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง

ภายใต้สภาวะเนตรสวรรค์

จ้าวเฟิงดูดกลืนพลังวิญญาณจากแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาไปอย่างรวดเร็ว บางส่วนใช้โจมตีออก บางส่วนก็ดูดกลืนเปลี่ยนแปลงไป หรือใช้เติมเต็มพลังของดวงตาเทพเจ้า

หืม

ลู่เทียนอี้รู้สึกว่าสตินึกคิดของตนเองราวกับตกลงสู่หล่มน้ำแข็ง เชื่องช้าแข็งเกร็งอย่างมาก

แรงกดดันจากเนตรสวรรค์กลางท้องนภามีเพียงแค่จะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

ในยามนี้การสนับสนุนที่จ้าวเฟิงได้รับจากหอคอยพฤกษาปีศาจมากมายขึ้นกว่าเก่า ดูดกลืนพลังจากแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาอย่างบ้าคลั่งขึ้น

ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ลมหายใจ ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงก็แข็งแกร่งขึ้นเกินอธิบาย กระทั่งเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดทั่วไป

หากนับแค่ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ จ้าวเฟิงและลู่เทียนอี้นับว่าไม่แตกต่างกันมากนัก

แน่นอนว่าในขอบเขตจิตวิญญาณที่อยู่ในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงของจ้าวเฟิงเองก็พัฒนาขึ้นเล็กๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของหอคอยพฤกษาปีศาจ แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา

แม้จะเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หากได้ครอบครองแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาก็ยังได้รับประโยชน์อย่างมาก มีโอกาสที่จะบรรลุสู่ขอบเขตปราณเทวะ

ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจ้าวเฟิงยังดูดกลืนกักเก็บแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาไว้มากกว่าหนึ่งในสามส่วน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!