บทที่ 440 : กลับสู่ทวีปบุปผาครามอีกครั้ง ( 1 )
จ้าวเฟิงเปิดดวงตาเทพเจ้าออก เข้าใจถึงสถานการณ์ของมิติซากปรักหักพังอย่างชัดเจน รับรู้ได้ถึงปัจจัยความไม่มั่นคงของมันได้โดยสัญชาตญาณ
การที่จะรักษาการเปิดของมิติ ตัวมิติรวมทั้งเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงจะเสียพลังไปเรื่อยๆ
โดยเฉพาะ ‘เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง’ นางคือแกนกลางของเจตจำนงของซากปรักหักพังสือเฉิง หลังจากผ่านพ้นเวลาที่รุ่งโรจน์มาหลายปี พลังของเจตจำนงที่หลงเหลือก็เข้าสู่สถานการณ์ของตะเกียงที่น้ำมันแห้งเหือดอย่างสมบูรณ์
เมื่อพลังของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงหมดสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ ซากปรักหักพังนี้ก็จะกลายเป็นมิติที่ไร้ผู้ถือครอง สร้างวิกฤตที่ไม่อาจควบคุมขึ้นได้อีกหลายอย่าง
ในยามนั้น ยอดฝีมือด้านนอกจะสามารถเข้ามาภายใน โจมตีและครอบครองมิติซากปรักหักพังนี้ได้
ดังนั้นแล้ว
ตัวเลือกของจ้าวเฟิงจึงมีสองอย่าง
หนึ่ง อยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิงต่อไป อาจต้องใช้เวลานับสิบปี
สอง กลับไปยังทวีปบุปผาคราม
“จ้าวเฟิง เจ้าตั้งใจจะอยู่ในมิติต่อหรือว่าออกไป?”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยเสนออย่างใจกว้าง รูปลักษณ์สูงส่งทำให้นางดูราวกับเป็นเทพเซียนจากเบื้องบน
นัยน์ตางดงามชวนฝันของนางปรากฏประกายความคาดหวังพาดผ่าน จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มผมฟ้าที่อยู่ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ
ด้วยความสามารถในการควบคุมมิติ เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงได้เห็นความสามารถอันน่าตื่นตะลึงของจ้าวเฟิงก่อนหน้าอย่างชัดเจน
สายเลือดของจ้าวเฟิง แม้ว่าจะไม่ใช่ ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ ทว่าดวงตาซ้ายของเขามีความเกี่ยวข้องกับ ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ อย่างแน่นอน
ความรู้สึกส่วนลึกของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงคาดหวังให้จ้าวเฟิงเดินเคียงคู่ไปกับจ้าวหยูเฟ่ย ช่วยเหลือฝ่ายหลังในการครอบครองซากปรักหักพังสือเฉิง
“หลายปีนานเกินไป”
จ้าวเฟิงเอ่ยกระซิบอยู่ในใจ เข้าสู่ห้วงภวังค์ครุ่นคิดสั้นๆ
เมื่อคิดว่าเขาข้ามผ่านจากผู้ฝึกตนในขอบเขตรวบรวมปราณที่ต่ำที่สุด ฝึกฝนจนกระทั่งเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในยามนี้ กระทั่งแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับขั้นนายเหนือแท้ เขาใช้เวลาไปเท่าใดกัน?
เมื่อพิจารณาถึงทุกสิ่งแล้ว จ้าวเฟิงใช้เวลาเพียง 3-4 ปีในการฝึกฝนจากขอบเขตรวบรวมปราณจนถึงจุดนี้
ในยามนี้ อายุของเขากระทั่งไม่ถึงสิบแปดขวบปี
ในหลายๆ ที่ อายุในยามนี้ของจ้าวเฟิงยังไม่นับว่าเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่เสียด้วยซ้ำ
สำหรับจ้าวเฟิง เวลาหลายปีเช่นนั้นนับว่ายาวนานยิ่งนัก
สิบปี สำหรับจ้าวเฟิงแล้วมันเต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนและโอกาสมากมายไร้ที่สิ้นสุด
“ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าข้าไม่อาจทำให้ผู้อาวุโสหนึ่งต้องผิดหวังได้ บ้านเกิดของข้าและสำนักจันทร์สลาย ไม่รู้ว่ายามนี้สถานการณ์เลวร้ายลงจนถึงระดับใดแล้ว”
เมื่อคิดไปคิดมา สีหน้าของจ้าวเฟิงก็เด็ดขาดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนรวมหรือส่วนตัว เขาก็ไม่อาจที่จะรั้งอยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิงได้นาน
“ข้าเลือกจะกลับไปยังทวีปบุปผาคราม”
จ้าวเฟิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
หลังจากที่เขาตัดสินใจ เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงก็ถอนหายใจเบาๆ ท่าทีหดหู่ขึ้นหลายส่วน
หากเปลี่ยนเป็นยอดฝีมือทั่วไป กระทั่งผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดย่อมยากที่จะสละโอกาสเช่นนี้ไปได้
ในซากปรักหักพังสือเฉิงเต็มไปด้วยไอสวรรค์บริสุทธิ์หนาแน่น สมบัติทรัพยากรนับไม่ถ้วน หากฝึกฝนอยู่ที่นี่ ความเร็วย่อมเหนือกว่าฝึกฝนที่โลกด้านนอกอย่างสิ้นเชิง
ในเรื่องนี้ จ้าวเฟิงย่อมเข้าใจดี
ทว่าเขาเลือกที่จะกลับไปยังทวีปบุปผาคราม
“โลกใบนี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก อาจมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับซากปรักหักพังสือเฉิง ไม่ควรที่จะพึ่งพาปัจจัยภายนอกในการเพิ่มความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว นอกจากนั้น ผลประโยชน์ที่ข้าได้รับจากในซากปรักหักพังสือเฉิงครานี้ก็มากพอแล้ว”
จ้าวเฟิงจิตใจแน่วแน่ราวกับผืนน้ำที่สงบเงียบ ไม่หวั่นไหวไปกับความดึงดูดของซากปรักหักพังสือเฉิง
“พี่สาวเซียนจื่อ ต้องรบกวนท่านส่งพี่จ้าวเฟิงกลับไปทวีปบุปผาครามแล้ว แบบนั้นจึงจะทำให้หยูเฟ่ยสบายใจได้”
จ้าวหยูเฟ่ยเปิดเปลือกตาออกเผยดวงตาใสกระจ่าง เบื้องหน้านางปรากฏ ‘กุญแจผลึก’ ลอยคว้างส่งเสียงครางต่ำออกมา สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่มิติเป็นระยะ
จ้าวเฟิงคาดเดาได้ว่ากุญแจผลึกนั้นคงเป็นแกนกลางของมิติ
ตราบเท่าที่สามารถทำให้กุญแจผลึกนี้ยอมรับได้ จ้าวหยูเฟ่ยก็จะสามารถครอบครองมิติของเซียนจื่อได้ ทว่าเมื่อเทียบกับมิติอันใหญ่โตนี้แล้ว พลังฝึกตนของนางไม่อาจนับเป็นอันใดได้
“ได้ ข้าขอเวลาเตรียมตัวครึ่งวัน”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงมองไปยังจ้าวหยูเฟ่ยอย่างลึกล้ำคราหนึ่ง ไม่เอ่ยอันใดขึ้นอีก
ก่อนหน้า จ้าวหยูเฟ่ยได้ตกลงกับเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงไว้ว่าให้จ้าวเฟิงเป็นผู้เลือก และต้องเคารพการตัดสินใจของเขา
และอย่างที่คาด จ้าวเฟิงเลือกที่จะกลับไปยังทวีปบุปผาคราม
หากจะพูดจริงๆ สิ่งที่จ้าวเฟิงเลือกคือสิ่งที่จ้าวหยูเฟ่ยหวัง ทว่าในส่วนลึกในใจของนางก็ยังปรากฏความเหงาและเดียวดายอยู่เจือจาง
“พี่จ้าวเฟิง ข้าหวังว่ายามที่ท่านกลับไปยังสิบสามแคว้นจะสามารถช่วยเหลือสำนักวิญญาณจันทร์ด้วย และหากเป็นไปได้ก็ช่วยส่งข่าวของข้าให้กับยอดผู้อาวุโส จอมยุทธ์ไป๋หยุนแห่งสำนักเทียนหยวนด้วย”
นัยน์ตาใสกระจ่างของจ้าวหยูเฟ่ยเปียกชื้น เด็กสาวปิดเปลือกตาลง ทุ่มเทกายใจไปยัง ‘กุญแจผลึก’ ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“ข้าสัญญา”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างหนักแน่น เอ่ยขอโทษอยู่ภายในใจ จ้าวหยูเฟ่ยยุ่งอยู่กับการควบคุมมิติสือเฉิง แต่เขาเองก็ไม่อาจที่จะรั้งอยู่ที่นี่ได้นานหลายปี
จากนั้น
จ้าวเฟิงจึงนั่งขัดสมาธิ รอเวลาครึ่งวันเพื่อที่จะกลับไปยังทวีปบุปผาคราม
ในระหว่างนั้น จ้าวเฟิงจึงนึกถึงสิ่งที่เขาได้รับจากซากปรักหักพังสือเฉิง
ในบรรดาสิ่งที่ได้รับมามากมาย มีทั้งสมบัติล้ำค่าหายากและวัตถุดิบเก่าแก่ล้ำค่าอย่างเช่น ‘หญ้าคืนชีวิต’ ที่หากนำไปยังทวีปบุปผาครามคงนับเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้
เมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่จ้าวเฟิงได้รับมาจากถ้ำสายธารจันทราไม่อาจนับเป็นอันใดได้
ในด้านของมรดก จ้าวเฟิงนับว่าได้ครอบครองสองมรดกใหญ่
แบ่งออกเป็นมรดก ‘มหาจักรพรรดิวายุอัสนี’ กับ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’
ในสมอง
อนุสรณ์โบราณที่แตกหักปรากฏความผันแปร เบื้องหน้าปรากฏตราวายุอัสนีดูลึกล้ำสั่นกระเพื่อม ส่งกลิ่นอายพลังวายุอัสนีอันลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุดออกมา
‘อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ’ นี้เป็นตัวแทนของหนึ่งในแก่นแท้มรดกของมหาจักรพรรดิวายุอัสนีในอดีต
ทว่าตัว ‘อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ’ นี้กลับค่อนข้างเสียหาย หมองหม่นเงียบงัน สว่างเพียงหนึ่งในร้อยส่วน
หรืออีกนัยหนึ่ง ความเข้าใจในอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณของจ้าวเฟิงนั้นมีเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วน
“หากข้าสามารถทำความเข้าใจอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณได้มากกว่าหนึ่งในร้อยส่วน การจะบรรลุสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”
จ้าวเฟิงรั้งสติกลับมา
สำหรับมรดกอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณนี้ หากไปอยู่ในทวีปบุปผาครามย่อมสร้างความวุ่นวายมหาศาลขึ้นอย่างแน่นอน
จะอย่างไร เพียงแค่ส่วนหนึ่งของมรดกของมหาจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะก็ย่อมเหนือกว่ามรดกใหญ่ๆ บางมรดกได้อย่างแน่นอน
จากนั้น
จ้าวเฟิงจึงเริ่มสำรวจ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’
ทั่วทั้งหอกจักรพรรดิเหมันต์เป็นสีน้ำเงินเข้มอมดำเหมือนกับผลึกที่ส่องสว่าง ให้ความรู้สึกราวกับห้วงมหาสมุทรลึกล้ำ
“หอกจักรพรรดิเหมันต์ เป็นมรดกประเภทอาวุธวิเศษ ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุด ระดับของมันจัดอยู่ที่ชั้นดินระดับสูงขึ้นไป”
จ้าวเฟิงสัมผัส ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ อย่างแผ่วเบา สายเลือดที่ส่องประกายสีฟ้าอ่อนในร่างให้ความรู้สึกราวกับว่าได้หลอมรวมเข้ากับกลิ่นอายของหอกจักรพรรดิเหมันต์เข้าเป็นหนึ่ง
อาวุธวิเศษชั้นดิน หากดูจากในประวัติศาสตร์ของทวีปบุปผาคราม มันนับว่าเป็นระดับตำนานแล้ว
ในอดีต ราชวงศ์ที่รุ่งโรจน์แห่งอาณาจักรได้ล่มสลายลงในเวลา ‘เพียง’ หนึ่งราตรีด้วยครอบครองอาวุธชั้นดิน
‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ พลันหลอมละลายกลายเป็นของเหลว แทรกซึมเข้าไปในร่างของจ้าวเฟิงตรงๆ
หืม?
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ในยามนี้ หอกจักรพรรดิเหมันต์ได้หายไปโดนสิ้นเชิง ยากที่จะรับรู้ได้
ทว่าจ้าวเฟิงมั่นใจว่ามันอยู่ในร่างของเขา หลอมรวมเข้ากับพลังสายเลือดและเลือดเนื้อจนเป็นเนื้อเดียวกัน
จ้าวเฟิงปิดเปลือกตาลง สัมผัสความรู้สึกอย่างละเอียด รับรู้ได้ว่ากลิ่นอายเย็นเยียบเก่าแก่ของสายเลือดได้หลอมรวมเข้ากับเสวียนอ้าวมรดกอันหนาวเหน็บเป็นเนื้อเดียวกัน
สายตาของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงแม่นยำยิ่งนัก มรดกอาวุธวิเศษที่จ้าวเฟิงได้รับเหมาะสมกับเขาอย่างไร้ที่ติ
ทว่าจ้าวเฟิงพบว่า ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ นี้มีความเสียหายอยู่ในระดับหนึ่ง สูญเสียสติปัญญาไป พลังส่วนมากอยู่ในสภาวะจำศีล
“การได้ครอบครองมรดกอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณและหอกจักรพรรดิเหมันต์ สองมรดกใหญ่พร้อมกัน ในงานชุมนุมเซียนมังกรนี้คงนับได้ว่าดีแล้ว”
จ้าวเฟิงพึงพอใจ
สิ่งที่เขาได้รับมานั้น นอกจากสมบัติล้ำค่าและวัตถุดิบโบราณล้ำค่าแล้วยังมีมรดกใหญ่อีกสองมรดก นับว่าได้ผลประโยชน์มาอย่างมากแล้ว
สิ่งที่ดีที่สุดคือพลังวิญญาณจาก ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’
ก่อนหน้าที่จ้าวเฟิงได้แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาคอยหนุนหลังใช้วิชาเนตรสวรรค์ ทำให้ดูดกลืนเปลี่ยนแปลงพลังแก่นแท้วิญญาณไว้มาก ดวงวิญญาณจึงได้รับการชำระล้างและขยายออก
ทุกวันนี้
ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด ขอบเขตจิตวิญญาณนับว่าเทียบได้กับขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงเป็นอย่างน้อย การใช้เนตรสวรรค์เองก็มีความเข้าใจมากขึ้น
ผลประโยชน์เหล่านี้ที่เขาได้รับเพียงพอที่จะทำให้เหล่ายอดอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ต้องริษยา สำนักระดับสองดาวต้องบ้าคลั่ง
เวลาผ่านไปเล็กน้อย
ในเวลาครึ่งวันสุดท้าย จ้าวเฟิงใช้ในการครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาได้รับมาจากในมิติเซียนจื่อนี้
เมื่อมีสิ่งที่ได้รับ ก็ย่อมต้องมีสิ่งที่สูญเสีย
ความสูญเสียของจ้าวเฟิงคือการที่ใช้ดวงตาเทพเจ้ามากมายเกินไป ในเวลาสั้นๆ เขาจึงไม่กล้าที่จะใช้วิชาดวงตาอีกครั้ง
รวมทั้ง
ลูกแมงป่องยักษ์ที่มีสายเลือดโบราณผันแปรของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงสอบถามจากเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง คำตอบที่ได้รับคือหากไม่ใช่ว่าลูกแมงป่องยักษ์นั้นตาย ก็ต้องไม่ได้อยู่ในมิติซากปรักหักพัง
“ลูกแมงป่องยักษ์คงยังไม่ตาย เพียงแค่ระยะห่างมากเกินไป ทำให้ข้ารับรู้ได้เพียงเล็กน้อย”
จ้าวเฟิงมั่นใจ
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับผลประโยชน์มากมายที่ได้รับ การสูญเสียลูกแมงป่องยักษ์ไปนับว่าไม่อาจนับเป็นอันใดได้
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬสองตัวปรากฏขึ้นข้างกายของจ้าวเฟิง
ในด้านพลังต่อสู้ หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองนับว่าเก่งกาจ มีพิษที่ทำให้ผู้ฝึกตนที่พลังต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดถึงตายได้
ก่อนหน้าในงานชุมนุมเซียนมังกร จ้าวเฟิงอาจไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะสามารถครอบครองข้ารับใช้ขั้นนายเหนือแท้สองตัวได้
หากใช้หุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ทั้งสอง กำลังของจ้าวเฟิงก็นับว่าสามารถเทียบเคียงกับขั้วอำนาจในอาณาจักรนภาได้
ในอาณาจักรนภา เหล่าขั้วอำนาจใหญ่ ตัวอย่างเช่นตระกูลหลิวมียอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้อยู่เพียงแค่ 1-2 คนเท่านั้น
ในทวีปบุปผาคราม ‘แคว้นใหญ่’ บางแคว้นก็มียอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้เพียง 1-2 คนเท่านั้น
นี่คือแคว้นใหญ่และอาณาจักร
หากเป็นสิบสามแคว้นที่จ้าวเฟิงอยู่ก่อนหน้าที่เป็นเพียงแคว้นเล็กๆ มันไม่มีกระทั่งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ยังหายากยิ่งนัก
ในเสี้ยวพริบตา เวลาครึ่งวันก็ผ่านพ้นไป
“จ้าวเฟิง มรดกกำลังจะปิดตัวลง ข้าเตรียมส่งเจ้ากลับไปยังทวีปบุปผาครามแล้ว”
เสียงของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงดังขึ้นในสมอง
“รบกวนผู้อาวุโสเซียนจื่อแล้ว”
จ้าวเฟิงแสดงท่าทีนอบน้อม เผยความซาบซึ้งออกมา
เขาไม่ยากที่จะคาดเดาได้ว่าการส่งตัวเขาไปทวีปบุปผาครามนั้นกินพลังของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงและซากปรักหักพังไปไม่น้อย
“จ้าวเฟิง เจ้าไม่จำเป็นต้องมากวาจา นี่คือสิ่งที่ข้าควรทำแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่สหายอันดีของหยูเฟ่ย ก่อนหน้าข้าขอให้เจ้าช่วยป้องกันหอคอยพฤกษาปีศาจ ปกป้องจุดอ่อนของมิติ จะอย่างไรข้าก็จะทำตามคำขอของเจ้าให้ถึงที่สุด”
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงแย้มยิ้ม
สิ้นคำ
ตำหนักเซียนจื่ออันยิ่งใหญ่ก็ปรากฏแสงสีม่วงสั่นกระเพื่อม กระทั่งปรากฏความสั่นคลอนของมิติ
ทันใดนั้น
เบื้องหน้าจ้าวเฟิงก็ได้ปรากฏประตูสีม่วงใสขึ้นใจกลางความมืดมิด
“ผู้อาวุโส หากสามารถส่งข้าไปยังส่วนตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเหนือได้จะดีที่สุด”
จ้าวเฟิงเอ่ยขอ ตอนนี้ ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ คงจะสิ้นสุดลงแล้ว
บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเหนือคือสิบสามแคว้น รวมทั้งเป็นบริเวณที่สองแคว้นใหญ่ครอบครองอยู่