บทที่ 442 ไร้บังเหียน
ในป่าใหญ่
จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กๆ นิ้วโป้งกดที่หัวตาแน่น ความรู้สึกเจ็บปวดมีต้นกำเนิดมาจากดวงตาซ้ายสีฟ้าหม่น ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ มันราวกับว่าบ่อน้ำเย็นเยียบในดวงตาซ้ายมักจะปรากฏระลอกคลื่นขึ้น
ความรู้สึกนั้น ราวกับว่าภูเขาน้ำแข็งกำลังละลายอยู่ในสายธาร
“ความรู้สึกนี่…”
จ้าวเฟิงรู้สึกกังวลขึ้นจางๆ
การเปลี่ยนแปลงของดวงตาเทพเจ้าก่อนหน้าเองก็มีความรู้สึกคล้ายคลึงกับครั้งนี้ ความรู้สึกครั้งนี้ดูนุ่มนวลกว่า ทว่าดวงตาเทพเจ้าก็ยังมีความรู้สึกเจ็บปวดอยู่
หากไม่กระตุ้นใช้ดวงตาเทพเจ้าก็ไม่เป็นอันใด แต่เมื่อใช้แล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดนี้จะรุนแรงขึ้นนับสิบนับร้อยเท่า
จ้าวเฟิงไม่อาจที่จะคาดเดาสภาวะนี้ได้ เพราะเขาใช้พลังดวงตาไปในซากปรักหักพังจำนวนมาก ดวงตาเทพเจ้าจึงจะเกิดการวิวัฒนาการ บางทีมันอาจจะสร้าง ‘ปฏิกิริยา’ ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ขึ้น การวิวัฒนาการของดวงตาเทพเจ้า รวมทั้งทิศทางของการวิวัฒนาการนั้นเป็นปัจจัยที่จ้าวเฟิงไม่อาจควบคุมได้
สำหรับสถานการณ์นี้ จ้าวเฟิงได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว ทว่าก็ยังคงรู้สึกกังวลไม่สบายใจอยู่เช่นเดิม
เขาไม่รู้ว่าการวิวัฒนาการครั้งต่อไปของดวงตาเทพเจ้าจะนำพาสิ่งใดมาให้เขา
“เฮ้อ”
จ้าวเฟิงสงบจิตใจ กระตุ้นโคจรพลังสายเลือดในร่าง พลังสายเลือดนั้นให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก มันแทรกซึมเช้าไปในมิติในดวงตาซ้ายในเสี้ยววินาที แบ่งแยกบ่อน้ำเหมันต์สีฟ้าหม่นนั้นออกไป
ต่อมา
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็กลับไปเป็นสีดำไร้ประกาย
ในมิติในดวงตาซ้าย
บ่อน้ำเหมันต์สีฟ้าหม่นยังคงปรากฏระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายเย็นเยียบนั้นได้ทำให้การเคลื่อนไหวนั้นนุ่มนวลกว่าเดิม
“พลังสายเลือดของข้าและธาตุของดวงตาเทพเจ้านับว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันจริงๆ” จ้าวเฟิงค้นพบว่าพลังสายเลือดในร่างของเขาหลอมละลายเช้าไปในน้ำเย็นเยียบ
ฮึบ
เด็กหนุ่มกระตุ้นโคจรพลังสายเลือด ใช้ฝ่ามือหนึ่งออก กลางอากาศปรากฏบุปผาเหมันต์อัสนีขึ้นผลิบานราวกับภาพลวงตา มีความไหวกระเพื่อมของสายน้ำปะปนอยู่ประการหนึ่ง
พลังของวิชาฝ่ามือไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ทว่าจ้าวเฟิงรับรู้ได้ว่าการควบคุมพลังสายเลือดของเขา รวมทั้งการเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับสายเลือดเหมันต์บริสุทธิ์ก่อนหน้าแล้วมันยังแข็งแกร่งกว่าหนึ่งเท่าตัว
การกลับมายังแคว้นเมฆา ดวงตาเทพเจ้ากลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จ้าวเฟิงนับว่าอยู่ในสภาวะยากลำบาก
ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มคิดดูแล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่ดวงตาเทพเจ้า ใช้เพียงพลังต่อสู้ของเขาและไพ่ที่ถืออยู่ในมือก็นับว่าเพียงพอที่จะปลดปล่อยสิบสามแคว้นเล็กและสองแคว้นใหญ่แล้ว
ในยามนี้
จ้าวเฟิงไม่อาจใช้ดวงตาเทพเจ้าได้อย่างง่ายๆ เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่กลางป่าไปพักใหญ่ ท่าทีลังเลอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปในทิศทางใด
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยกระโจนขึ้นมาบนไหล่ของเด็กหนุ่มก่อนจะโยนเหรียญทองแดงโบราณหลายเหรียญขึ้น แยกเขี้ยวแสยะยิ้ม ชี้ตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
“การทำนายชะตา ตอนนี้ข้าจะเชื่อเจ้าไปก่อน”
จ้าวเฟิงอดที่จะแย้มยิ้มไม่ได้ วิธีการทำนายดวงชะตาของแมวขโมยตัวน้อย ตัวเขาเองก็รู้สึกเคลือบแคลงสงสัยอยู่
จ้าวเฟิงกลับกลายเป็นประกายสายฟ้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งในป่าใหญ่
เด็กหนุ่มเคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่แมวขโมยตัวน้อยบอกหลายพันลี้เบื้องหน้ายังคงเป็นพื้นที่รกร้างกว้างใหญ่ ทว่ามักจะปรากฏแม่น้ำและทะเลสาบขึ้นเรื่อยๆ แหล่งน้ำเหล่านั้นได้ทำให้ดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มเกิดปฏิกิริยาขึ้นบางประการ
ในระหว่างนั้น จ้าวเฟิงย่อมเคยพบเจอสัตว์ปีศาจและสัตว์อสูร ทว่าเขาสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ในเสี้ยวพริบตา ไม่เสียเวลามากมายนัก
พลังฝึกตนในยามนี้ของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวคือชั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าอยู่ในชั้นครึ่งก้าวสู่ชั้นนายเหนือแท้ แม้ว่าจะไม่ใช่ดวงตาเทพเจ้าก็ไม่หวาดกลัวผู้ฝึกตนชั้นนายเหนือแท้ทั่วไป
หลังจากที่เดินทางจนเหนือล้า จ้าวเฟิงจะเรียก ‘นางแอ่นมรกต’ ที่ไม่ได้เรียกมานานออกมาขี่แทนที่จะเดินไป
แหวนเหล็กโบราณควรค่าแล้วที่เป็นสิ่งของระดับสูงที่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงมอบให้ มันสามารถเก็บรักษาสิ่งของทั่วไปได้ ทั้งยังสามารถเก็บสัตว์วิเศษที่เป็นสิ่งมีชีวิตได้ด้วย
เป็นเพราะว่าไม่ได้รับการฝึกฝน พลังฝึกตนของนางแอ่นมรกตจึงเทียบเท่าได้เพียงผู้ฝึกตนในชั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทว่าในด้านความสามารถในการบินของมันนับว่าเหนือกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป
หลังจากบินไปหลายพันลี้ จ้าวเฟิงก็ยังคงไม่อาจออกจากพื้นที่รกร้างได้
ในใจของจ้าวเฟิงปรากฏความหงุดหงิดขึ้นเล็กๆ เตรียมที่จะหิ้วหูแมวขโมยตัวน้อยออกมาสอบถาม
ในยามนี้
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
ในหุบเขาที่ถูกขนาบข้างด้วยแม่น้ำสายใหญ่พลันปรากฏร่าง 7-8 ร่างขึ้น
ร่างเหล่านั้นมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา พลังฝึกตนต่ำที่สุดอยู่ที่นภาที่เจ็ด มีชั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคน ผู้นำเป็นยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่ง
“เจ้าพวกตัวบัดซบพันธมิตรมังกรโลหะส่งคนมาเสริมแล้ว”
“รวดเร็วอันใดเพียงนี้ คนจากพันธมิตรมังกรโลหะตามมาถึงนี่แล้วหรือ?”
ร่างเหล่านี้ราวกับเพิ่งจะค้นพบจ้าวเฟิง ท่าทีหงุดหงิดกราดเกรี้ยว จิตสังหารแพร่กระจาย เตรียมที่จะต่อสู้
จ้าวเฟิงยังไม่ทันที่จะเช้าใจสถานการณ์ก็ถูกหมายหัวโดยไร้ซึ่งสาเหตุ
เขากวาดตามองอย่างเร่งรีบ คน 7-8 คนเหล่านี้บนร่างเปียกโชกปรากฏรอยโลหิต ดูท่าทางสะบักสะบอมไม่น้อย ชัดเจนว่าก่อนหน้าได้ปะทะกับผู้อื่นมาก่อน
ผู้นำคือชายชราในชุดสีน้ำตาล เป็นยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พลังฝึกตนเทียบกับผู้อาวุโสหยุนไห่ในอดีตยังเหนือกว่า
“ทุกคนระวังด้วย แม้คนผู้นี้จะเยาว์วัย ทว่ากลับเป็นยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง”
ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของชายชราในชุดสีน้ำตาลกวาดผ่านร่างของจ้าวเฟิง ใจพลันกระตุกวูบ
กลิ่นอายพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงนั้น เขาไม่อาจทำความเช้าใจได้อย่างชัดเจน ทว่ามั่นใจว่าอีกฝ่ายอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเป็นอย่างน้อย
พวกเขาเพิ่งจะถูกไล่ล่ามา หลายคนตายตกไปในการต่อสู้ พลังไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดอีกต่อไป คนอีก 6-7 คนที่เหลือพลันรับรู้ได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ท่าทีตื่นตัวระมัดระวัง
แม้ว่าพวกเขาจะมีมาก ทว่าจำเป็นต้องร่วมมือกันจึงจะสามารถรับมือยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสักคนได้ และแม้จะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ก็ต้องสูญเสีย จ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนไปมหาศาล แน่นอนว่าหากพวกเขาต้องการที่จะเอาชนะ อย่างน้อยก็ต้องเสียคนไปครึ่งหนึ่ง
จ้าวเฟิงตกลงสู่วงล้อมของคนทั้งแปด ร่างกายไม่เคลื่อนไหวมากนัก ตอนแรกสีหน้าของเขาระบายไปด้วยความอึ้งตะลึง ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นความยินดีและสนใจ
ในที่สุดก็เจอคน
จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับถูกปลดปล่อยจากภาระหนักอึ้ง
เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงแม้จะตกอยู่ในวงล้อม ทว่ากลับไม่ตื่นตกใจ กระทั่งปรากฏสีหน้ายินดี สีหน้าของชายชราชุดสีน้ำตาลก็พลันเลวร้ายลง ลอบคิดในแง่ร้ายไปอีก
“เจ้าตัวบัดซบ ก่อนตายก็สารภาพมา”
ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีทองผู้มีพลังฝึกตนในชั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเกลียดแค้นชิงชัง ราวกับว่าพบเจอศัตรูคู่แค้น
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ จ้าวเฟิงอยากจะใช้ ‘เนตรหัวใจวิญญาณ’ โดยไม่รู้ตัวเพื่อความรวดเร็ว เมื่อมีคนมากขนาดนี้ โอกาสที่จะได้รับคำตอบก็ยิ่งมากขึ้น
ทว่าดวงตาเทพเจ้าส่งความเจ็บปวดรุนแรงออกมา ทำให้เขาล้มเลิกความคิดนี้ไป
การที่ไม่สามารถใช้ดวงตาเทพเจ้าได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ชินเล็กๆ
จ้าวเฟิงทอดถอนใจอย่างจนใจ ทว่าเมื่อเปลี่ยนความคิด มุมปากของเขาก็ยกโค้งขึ้น เผยสีหน้ายินดีออกมาจางๆ ในอดีต เขามีดวงตาเทพเจ้าคอยควบคุมทุกสถานการณ์ เช้าใจถึงพลังของคู่ต่อสู้เป็นอย่างดี รายละเอียดทุกอย่างไม่อาจเล็ดรอดสายตาเขาไปได้ สำหรับความรู้สึกที่สามารถควบคุมทุกสิ่งได้เช่นนั้นสร้างความสะดวกสบายและทรงพลังให้อย่างมาก ทว่ามันได้ทำให้เรื่องราวต่างๆ หมดความน่าสนใจลงไป
ทว่าบัดนี้
จ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะใช้ดวงตาเทพเจ้าไปชั่วคราว ทำให้สามารถสัมผัสถึงประสบการณ์ของ ‘คนทั่วไป’ ได้
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เหล่านี้ได้ทำให้สีหน้าของจ้าวเฟิงเรียบเฉยลง กลับกลายเป็นสีหน้าครุ่นคิดอย่างล้ำลึก
“เช่นนั้นก็ดี ก่อนที่จะตาย พวกเจ้าก็ควรรู้ว่าตายด้วยน้ำมือของผู้ใด ข้าคือหัวหน้าสาขาเฟิง แซ่จ้าว”
ท่าทีของจ้าวเฟิงกลับกลายเป็นล้ำลึกราวกับบ่อน้ำ
เด็กหนุ่มเอ่ยนามจริงของตนเองออกไปตรงๆ
ในอดีต จ้าวเฟิงได้เช้าร่วมในงานชุมนุมสิบสามสำนักพันธมิตร เป็นเหมือนเช่นดาวหางที่เจิดจ้า ครอบครองอันดับหนึ่ง นามของเขาสั่นสะท้านไปทั่วทั้งสิบสามแคว้น
บัดนี้แม้ว่าจะผ่านไปแล้วสองปี ทว่าจ้าวเฟิงเชื่อว่าหากเขาเอ่ยนามของตนเองออกไป คนทั่วไปคงไม่อาจลืมเลือนได้โดยง่าย
จ้าวเฟิง?
คน 7-8 คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นชะงักไปเล็กๆ
จากนั้นคนทั้งหมดจึงเริ่มนึกอย่างจริงจังว่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนใดที่มีนามว่าจ้าวเฟิง
“ไม่มี… ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
คนทั้งหมดมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า นิ่งอึ้งไป
สายตาของทุกคนไปรวมกันที่ชายชราในชุดสีน้ำตาล ชัดเจนว่าชายชราเป็นคนใหญ่คนโต คงจะรู้จักยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงส่วนมากในแคว้นเมฆา
ทว่า ชายชราชุดน้ำตาลกลับส่ายศีรษะเล็กๆ คิ้วขมวดแน่น
อัจฉริยะในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่เยาว์วัยเพียงนี้ แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งสองแคว้นใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีเพียงเป่ยม่อและอีกคนที่เช้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรเมื่อหลายเดือนก่อน
เมื่อเห็นสีหน้าของคนเหล่านี้ จ้าวเฟิงก็รู้สึกคาดไม่ถึงอย่างมาก
ก่อนหน้าเขาเองก็ได้คำนวณถึงความห่างไกลของสิบสามแคว้นไว้แล้ว ทว่าคนเหล่านี้ก็ยังไม่รู้จักนามของเขา เมื่อถึงจุดนี้ เขารู้สึกคาดไม่ถึงจริงๆ แล้ว
ในบรรดาคนเจ็ดแปดคน มีเพียงชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีทองที่เอ่ยพึมพำว่า “นามนี้ เมื่อสองปีก่อนเหมือนจะมีประกาศจับตั้งค่าหัวอยู่”
ทันใดนั้น
“หัวหน้าสาขาจ้าว… หัวหน้าสาขา”
หัวใจของชายชราในชุดสีน้ำตาลพลันสั่นสะท้าน มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างตื่นตะลึง ในใจปรากฏความคิดที่น่าหวาดกลัวขึ้น
ทั่วทั้งแคว้นเมฆา ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง โดยทั่วไปแล้วในบรรดาสำนักใหญ่ขั้วอำนาจส่วนมากต้องมีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสเป็นอย่างน้อย
ทว่าหัวหน้าสาขา ตำแหน่งนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงคนระดับกลาง แต่หากอยู่ในแคว้นเมฆา มันก็นับเป็นตำแหน่งที่ยากเกินจะจินตนาการแล้ว
มีเพียงเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่ทวีปถูกปกครองโดยลัทธิมารจันทราชาดจึงมียอดฝีมือชั้นนายเหนือแท้ที่แข็งแกร่งบางคนที่ได้รับตำแหน่งเพียงหัวหน้าสาขา
โดยเฉพาะเมื่อสองปีที่ผ่านมา ผู้เหลือรอดจากลัทธิมารจันทราชาดได้เริ่มผงาดขึ้น เช้ายึดครองพื้นที่อีกครั้ง พันธมิตรมังกรโลหะนั่น เบื้องหลังมีลัทธิมารจันทราชาดคอยสนับสนุนอยู่ สำหรับคนระดับสูงในแคว้นเมฆา เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับใหญ่โตอันใด
“อย่าได้บอกข้าว่าคนผู้นี้คือ…”
ชายชราในชุดสีน้ำตาลผวาไป บนหน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ
หากเขาคาดเดาได้ถูกต้อง กลุ่มของพวกเขาแม้ว่าจะมีมากกว่านี้อีกหลายเท่าก็ไม่เพียงพอที่จะให้อีกฝ่ายเคี้ยวเล่น
ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าสาขาคนใดของลัทธิมารจันทราชาดต่างก็เป็นยักษ์ใหญ่ที่แข็งแกร่ง ลัทธิมารจันทราชาดในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสาขาใดต่างก็สามารถทำลายแคว้นเมฆาได้อย่างง่ายๆ นี่เป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งข้อกังขา
“ใช่แล้ว ข้าคือหัวหน้าสาขาจ้าว”
จ้าวเฟิงท่าทีนิ่งเฉย ไม่เอ่ยปฏิเสธ
ในลัทธิโลหะเลือด เขาเป็นหัวหน้าสาขาคนหนึ่ง
จากคำพูดและท่าทีของชายชราชุดสีน้ำตาลและคนอื่นๆ ในใจของจ้าวเฟิงได้คาดเดาบางอย่าง เขาตัดสินว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่อาณาเขตของสิบสามแคว้น
จากการสังเกต ที่นี่หากไม่ใช่แคว้นใหญ่มังกรโลหะ ก็ต้องเป็นดินแดนเดิมของแคว้นใหญ่สมบัตินภา หากอยู่ในสิบสามแคว้น เมื่อเอ่ยนาม ‘จ้าวเฟิง’ ออกไป คนเหล่านี้ย่อมรู้จัก
จะอย่างไร ในงานชุมนุมสิบสามสำนักพันธมิตรในอดีต ชื่อเสียงของจ้าวเฟิงก็จำกัดอยู่เพียงในสิบสามแคว้น หลังจากนั้นจึงถูกผู้อาวุโสหยุนไห่ตั้งค่าหัวในอาณาเขตสิบสามแคว้น
เช่นนั้น ที่นี่คือแคว้นใหญ่สมบัตินภาหรือแคว้นใหญ่มังกรโลหะกัน?
“สหพันธ์มังกรโลหะประเมินข้าไว้สูงนัก กระทั่งส่งยอดฝีมือระดับเจ้ามาไล่ล่าข้ากับคนอื่นๆ”
ชายชราในชุดสีน้ำตาลสูดลมหายใจหนาวเหน็บเช้าไป ในปากปรากฏความขมปร่าของความสิ้นหวัง กลิ่นอายพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง ราวกับว่าเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน เขาไม่อาจทำความเช้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
อีกฝ่ายบอกว่าตนเองเป็น ‘หัวหน้าสาขา’ ในใจของชายชราก็คาดเดาไว้แล้ว 5-6 ส่วน
“องค์ชายสาม ท่านรีบหนีไปรวมตัวกับตาแก่ซู่และองค์หญิงจิง คนผู้นี้ปล่อยให้ตาแก่ผู้นี้รับมือเอง”
น้ำเสียงของชายชราชุดน้ำตาลเต็มไปด้วยความเร่งร้อน พลันตะโกนขึ้นเสียงดัง ปราณจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างเผาไหม้ กลิ่นอายพลันก้าวข้ามไปอีกระดับ
ในวินาทีนั้น แสงสีเหลืองอมแดงสว่างจ้าก็ได้พุ่งออกไปในระยะ 20-30 จ้าง ราวกับภูเขามังกรที่กดทับจ้าวเฟิงไว้เป็นจุดศูนย์กลาง
ร่างของจ้าวเฟิงลดระดับลงเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
เพื่อที่จะขัดขวางจ้าวเฟิง ชายชราชุดสีน้ำตาลไม่ลังเลที่จะเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณเพื่อสร้างโอกาสให้ ‘องค์ชายสาม’ และคนอื่นๆ หลบหนีไป
“ผู้เฒ่าเจียง ท่าน”
ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีทองที่ถูกเรียกว่าองค์ชายสามนัยน์ตาแดงก่ำ ปาดน้ำตาก่อนจะนำคนทั้งหกล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะหลบหนีไป เขามองไปยังเด็กหนุ่มผมสีฟ้าอย่างลึกล้ำคราหนึ่ง อีกฝ่ายเป็นตัวตนที่น่าพรั่นพรึงเพียงใดจึงทำให้ผู้เฒ่าเจียง คนที่แข็งแกร่งในระดับนั้นต้องรู้สึกจนตรอกได้จนถึงชั้นไร้ซึ่งโอกาสชนะ
แดนมังกรศิลา
ผู้เฒ่าเจียงแหงนศีรษะคำรามยาว เผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ ใช้วิชาฝ่ามือออกติดต่อกัน ประกายแสงเหลืองอมแดงกลับกลายเป็นสีแดงก่ำ หลอมรวมเช้าด้วยกันกลายเป็นเงามังกรศิลาสีเหลืองแดงที่ใหญ่โตราวกับภูเขา สายลมคำรามหวีดหวิว กลืนร่างของจ้าวเฟิงเช้าไป