บทที่ 470 ขั้นนายเหนือแท้ (3)
ท้องฟ้าเหนือตำหนัก
กลุ่มหมอกวายุอัสนีขนาดใหญ่หลอมรวมกันด้วยรูปลักษณ์ราวน้ำวน รอบด้านเต็มไปด้วยสายลมและสายฟ้าที่บ้าคลั่ง สร้างคลื่นกระแสไฟฟ้าขึ้นจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ครืนนนน
กลุ่มหมอกวายุอัสนีรูปน้ำวนค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป เริ่มจากช้าก่อนจะรวดเร็วขึ้นไป สร้างเสียงครืนครางอย่างน่าผวา ไอสวรรค์ของฟ้าดินราวกับกำลังตอบรับ เคลื่อนไหวอย่างไม่อาจหยุดนิ่ง ควบรวมเข้ากับวายุอัสนี ตอบสนองกัน
แหล่งกำเนิดพลังที่ตอบสนองนั้นมาจากจ้าวเฟิงที่อยู่ในตำหนักในหุบเขา
ห่างออกไปครึ่งลี้ สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้สบตากันครั้งหนึ่ง ยากที่จะปิดบังสีหน้าตื่นตะลึงเอาไว้
เป็นเรื่องดีที่ สถานที่ปิดด่านฝึกตนของจ้าวเฟิงคือส่วนที่ค่อนข้างห่างไกลในหุบเขานภาจันทร์ แม้จะเป็นเช่นนั้น สมาชิกระดับสูงต่ำของสำนักจันทร์สลายก็ยังคงรับรู้ถึงแรงกดดันที่ทำให้กระวนกระวายอยู่ดี
ครืนนน เปรี้ยง
ท้องฟ้าเหนือหุบเขานภาจันทร์ปรากฏเมฆสีดำหนาทึบปกคลุม สายฟ้าพายุฝนพัดโหม ราวกับพายุที่รุนแรงได้ครอบคลุมบริเวณหลายลี้โดยรอบเอาไว้
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นราวกับพลังแห่งธรรมชาติ ทั่วทั้งบริเวณของสำนักจันทร์สลายเต็มไปด้วยความรู้สึกหม่นหมอง ลมหายใจติดขัด
โถงหลัก
เรือนผมสีน้ำเงินของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งพลิ้วไหว สีหน้าเรียบเฉย เหนือศีรษะปรากฏกลุ่มแสงวายุอัสนีสีเขียวเข้มได้หมุนวนมารวมกันบนท้องฟ้าเหนือตำหนัก อย่างไม่หยุดยั้ง
“แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหลอมรวมกับฟ้าดิน ซินอู๋เหิน ไม่คิดว่าวิชาของเจ้าจะเข้ากันกับกฎแห่งฟ้าดินมากเพียงนี้ ทำให้การทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ของข้าราวกับได้รับการช่วยเหลือจากเทพเซียนเช่นนี้”
นัยน์ตาสีน้ำเงินส่องประกายราวอัญมณีของเด็กหนุ่มเผยแววความประหลาดใจออกมา วูบหนึ่ง
ในยามนี้ การทะลวงขั้นของจ้าวเฟิงได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว
ความจริงแล้ว ด้วยขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิง การทะลวงขั้นนายเหนือแท้ของเด็กหนุ่มไร้ซึ่งคอขวดใดๆ ทว่าก่อนที่จะทะลวงเข้าขั้นนายเหนือแท้ การเตรียมการกลั่นพลังของเขากลับนานกว่าที่คาดคิดเอาไว้
ในเวลาเดียวกัน ความเข้าใจใน ‘อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ’ ของจ้าวเฟิงก็ได้รับเสวียนอ้าวใหม่ เพิ่มธาตุเข้าไปในแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของตนเอง
ทว่าในทางกลับกัน ด้วยขอบเขตจิตวิญญาณที่ทรงพลังของจ้าวเฟิงและพลังอันแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ ในช่วงเวลาทะลวงขั้นกลับสร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงขึ้น
ในสมอง แก่นแท้และสำนึกรู้ทุกอย่างส่องประกายเจิดจ้า เข้ากระทบกระทั่งกัน สร้างเปลวเพลิงที่งดงามสดใสขึ้น
ครืนนน เปรี้ยง เปรี้ยง
กลางอากาศ สีหน้าของสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้เคร่งเครียด จ้องมองไปยังพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงบนท้องฟ้า
พายุฝนรุนแรงนี้เพียงพอที่จะทำลายหมู่บ้านหนึ่งได้
ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักจันทร์สลายกระทั่งไม่ลังเลที่จะเปิดค่ายกลป้องกันของหุบเขาเพื่อป้องกันหายนะที่ไม่อาจคาดเดา
“เปิด”
เสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงดังขึ้น
เปรี้ยง แคร่ก
สายฟ้าที่หนาเท่ากำปั้นพลันสว่างวาบพร้อมกับสายลมรุนแรง ท้องฟ้าสีหม่นพลันถูกฉีกกระชากทำลายเป็นชิ้น
ครืนน เปรี้ยง
พายุฝนซาลง เมฆดำสลายตัว เผยให้เห็นแสงอาทิตย์จากภายนอกที่ส่องลอดเข้ามา ศิษย์จำนวนมากของสำนักจันทร์สลายพลันรู้สึกราวกับเห็นโลกอีกใบหนึ่ง
ในวินาทีนั้น ราวกับพลังที่ไม่อาจมองเห็น ควบคุมได้กระทั่งฟ้าดินได้ปรากฏขึ้นในบริเวณนี้ กลิ่นอายดุดันกราดเกรี้ยวที่ราวกับจะสามารถทำลายสำนักจันทร์สลายจนราบเรียบได้ปรากฏขึ้นครอบคลุม
เปรี้ยง
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น คลื่นลมหลอมรวม ตามมาด้วยก้อนเมฆสีชมพู
ในเวลาเดียวกัน
กลิ่นอายของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนใหม่ได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณหลายลี้ กลิ่นอายที่ดุดันนั้นไม่ได้สูญเสียความแหลมคมไป
“เขาบรรลุแล้ว?”
“เป็นกลิ่นอายที่บริสุทธิ์และแหลมคมยิ่งนัก… นี่มันเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับแรกเริ่มจะเทียบได้”
สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ตื่นตะลึงไม่มั่นใจ
แตกต่างไปจากการทะลวงขั้นเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ของผู้ฝึกตนคนอื่น จ้าวเฟิงข้ามขั้นนายเหนือแท้ระดับแรกเริ่ม เข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำในทันที ประหยัดเวลาไปได้หลายปี
ในอีกนัยหนึ่ง
การทะลวงขั้นของจ้าวเฟิง พลังฝึกตนเทียบเท่ากับผู้เฒ่าซู่และนายเหนือเซียวเหยาในทันที นอกจากนั้น กลิ่นอายพลังฝึกตนของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวยังลึกล้ำ ดุดันกราดเกรี้ยว เต็มไปด้วยอำนาจและความคล่องแคล่ว กระทั่งให้ความรู้สึกราวกับพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่จุดนี้ก็ทำให้สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ไม่อาจที่จะคาดเดาได้แล้ว ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงได้พัฒนาขึ้นไปอีกในการทะลวงขั้นครั้งนี้ เพียงแค่ขอบเขตจิตวิญญาณก็เหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงไปแล้ว
กลางอากาศปรากฏพายุสายฟ้าขึ้นจางๆ จนตาเปล่ายากที่จะมองเห็น วายุอัสนีสั่นกระเพื่อมอย่างไม่อาจมองเห็น แพร่กระจายไปทั่วร่างของสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้
สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้อดที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกไม่ได้ มองไปยังบริเวณที่สายฟ้าและสายลมผลิบาน ที่ที่ ‘เด็กหนุ่มผมสีน้ำเงิน’ อยู่ สีหน้าซับซ้อน
หลังจากเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ ความเร็วของจ้าวเฟิงก็ราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสายลมและสายฟ้า ยากที่จะตามทัน
“ยินดีด้วยน้องจ้าวที่สามารถบรรลุขั้นนายเหนือแท้ได้”
“ข้ามขั้นจากขั้นผู้วิเศษแท้ไปขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ แม้กวาดตามองทั่วทั้งแคว้นเมฆาตลอดหลายหมื่นปีมานี้ ท่านคงเป็นเพียงคนแรก”
ผู้เฒ่าซู่และนายเหนือเซียวเหยาเอ่ยแสดงความยินดี
ไม่ช้า เสียงแหวกอากาศดังขึ้นจากท้องนภา ผู้อาวุโสระดับสูงบางคนของสำนักจันทร์สลาย รวมทั้งเจ้าสำนักหยางก่านและคนอื่นๆ ต่างก็มาแสดงความยินดี
คนระดับสูงต่ำของสำนักเต็มไปด้วยความปิติยินดีอย่างอบอุ่น
‘ขั้นนายเหนือแท้’ ถือกำเนิดเพียงพอที่จะส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งแคว้นเมฆา
ในแคว้นเมฆามีขั้นนายเหนือแท้ไม่กี่คน ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของสิ่งมีชีวิต พลิกมือคว้าเมฆา พลิกอีกครั้งเรียกลมฝน เป็นผู้ปกครองโลก
ทว่าในสำนักเล็กๆ อย่างสำนักจันทร์สลายกลับให้กำเนิดขั้นนายเหนือแท้ขึ้นมา นับว่าเป็น ‘ปาฏิหาริย์’ ที่คาดไม่ถึง
กระทั่ง ‘อาณาจักรนภา’ ที่อยู่ห่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นขั้นนายเหนือแท้คนใดก็ล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ใหญ่ที่ส่งผลต่อสถานการณ์ของ อาณาจักรได้
หลังจากครึ่งชั่วน้ำชาเดือด
ตำหนักกลาง
จ้าวเฟิง ผู้เฒ่าซู่ เซียวเหยา ผู้อาวุโสหนึ่ง หยางก่าน และคนระดับสูงบางคนรวมตัวกัน หลังจากออกจากการปิดด่าน จ้าวเฟิงทำความเข้าใจในสถานการณ์ของแคว้นเมฆา โดยเฉพาะสิบสามแคว้น
สถานการณ์เมื่อเทียบกับสิ่งที่คิดไว้นับว่าราบรื่นกว่ามาก
สำนักจันทร์สลายเป็นจุดศูนย์กลาง สำนักส่วนมากของสิบสามแคว้นต่างพร้อมใจกันแปรพักตร์ แยกออกจากการควบคุมของพันธมิตรมังกรโลหะ
‘ชางหยูเยว่’ กลับมายังสำนักดาบเมฆานับเป็นตัวแปรที่สำคัญ จัดการคนของพันธมิตรมังกรโลหะที่หลงเหลือไปจำนวนนับไม่ถ้วน
ทว่าสิ่งที่ส่งผลมากที่สุดมาจากจ้าวเฟิง
เขาตัวคนเดียวเอาชนะสามจ้าวตำหนัก ทำลายพันธะสัญญาโลหิต หนึ่งมือต้านลิขิตฟ้า เรื่องของจ้าวเฟิงได้กลายเป็น ‘สุดยอดตำนาน’ ที่ไม่อาจทำได้สำเร็จ
พลังอำนาจของเด็กหนุ่มได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งแคว้นเมฆาตามเวลาที่ผ่านพ้นไป
“ผู้เฒ่าซู่ ท่านเร่งรีบมาหาข้าเช่นนี้มีอันใดต้องการพูดคุยหรือ?”
สายตาของจ้าวเฟิงเบนมองไปยังร่างของผู้เฒ่าซู่
ยามที่ปิดด่านทะลวงขั้น เขาเองก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของผู้เฒ่าซู่เข้ามาใกล้
“ยักษ์ใหญ่พันธมิตรมังกรโลหะอำนาจแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของแคว้นเมฆา เบื้องหลังของมันได้รับการสนับสนุนจากลัทธิมารจันทราชาด นี่ไม่ใช่ความลับอันใด อย่างจ้าวตำหนักโหยวหลงและจ้าวตำหนักศพโลหิต รวมทั้งผู้อาวุโสหลักที่แข็งแกร่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เหลือรอดของลัทธิมารจันทราชาด หลายวันก่อน พันธมิตรสังหารมังกรของข้าได้รับข่าวร้ายบางอย่าง…”
สีหน้าของผู้เฒ่าซู่เลวร้าย
ข่าวร้าย?
ผู้คนที่กำลังเต็มไปด้วยความยินดีพลันชะงักงัน
“สองแคว้นใหญ่มีสิบสามแคว้นเป็นจุดปะทะมักจะปรากฏอำนาจมืด ของลัทธิมารจันทราชาดคอยควบคุมยอดฝีมือของพันธมิตรมังกรโลหะอยู่…”
ผู้เฒ่าซู่เอ่ยอย่างเลื่อมใส
ลัทธิมารจันทราชาด?
กลุ่มอำนาจที่เคยครอบครองทั้งทวีปในอดีตจะหวนกลับมาอีกครั้ง?
ผู้อาวุโสหนึ่ง หยางก่าน และคนอื่นๆ จิตใจสั่นไหว
สีหน้าของจ้าวเฟิงนิ่งสงบ ไม่หวาดกลัวถึงลัทธิมารจันทราชาดเช่นในอดีต
“ผู้เฒ่าซู่ ต้องรบกวนท่านให้สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของพันธมิตรมังกรโลหะอย่างใกล้ชิดแล้ว ในความคิดของข้า พันธมิตรมังกรโลหะนั่นย่อมไม่ยอมแพ้ จะเริ่มจู่โจมกลับแน่นอน”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ท่านมั่นใจหรือ?”
ผู้เฒ่าซู่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จากการสืบเสาะของพันธมิตรทำให้สามารถได้รับข่าวนี้ หลังจากวิเคราะห์ก็ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน
จ้าวเฟิงอดที่จะเค้นเสียงในลำคอไม่ได้ “เพราะจ้าวตำหนักโหยวหลงยังอยู่ในสิบสามแคว้น ยามที่ข้าออกไปไล่ล่าเขาก็จะจัดการพวกคนที่เหลือคนอื่นๆ ไปด้วย”
แต่เดิม จ้าวเฟิงได้ประทับ ‘ตราแห่งเทพ’ ไว้บนร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลง สามารถรับรู้ถึงอีกฝ่ายได้ จากการรับรู้นี้ จ้าวเฟิงมั่นใจว่าจ้าวตำหนักโหยวหลงยังไม่ได้กลับไปยังพันธมิตรมังกรโลหะเพื่อรักษาบาดแผล ทว่ายังรั้งอยู่ในสิบสามแคว้น จากคำใบ้นี้ หลังจากที่ออกจากการปิดด่าน พลังของจ้าวเฟิงได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จะเริ่มไล่ล่าจ้าวตำหนักโหยวหลงและคนระดับสูงของพันธมิตรมังกรโลหะอีกครั้ง
จากนั้น ผู้เฒ่าซู่ จ้าวเฟิง และคนอื่นๆ จึงเริ่มพูดคุยกันถึงเป้าหมายของพันธมิตรมังกรโลหะ รวมทั้งผู้ที่เหลือรอดของลัทธิมารจันทราชาด
หลังจากครึ่งชั่วยาม
จ้าวเฟิงออกจากตำหนักกลาง
เด็กหนุ่มกระตุ้นการเคลื่อนไหวของพลังดวงตาเล็กน้อย รับรู้ถึงตำแหน่งที่ชัดเจนของจ้าวตำหนักโหยวหลงผ่านดวงตาเทพเจ้าก่อนจะเอ่ยขึ้นกับผู้เฒ่าซู่ว่า “ตำแหน่งที่ผู้เหลือรอดของลัทธิมารจันทราชาดอยู่สอดคล้องกันมาก”
“บัดนี้บรรลุขั้นนายเหนือแท้แล้ว ข้าเพียงต้องตั้งใจทำความเข้าใจในมรดก ‘อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ’ และ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ก็จะสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้อย่างชัดเจน ในยามนั้นย่อมยากที่จะมีผู้ฝึกตนที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสามารถรับมือข้าได้”
นัยน์ตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก
อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณจะเพิ่มพลังของวิชาฝึกตนของเขาเป็นหลัก เสริมพลังต่อสู้ สำหรับ ‘จ้าวตำหนักโหยวหลง’ ตราบเท่าที่ไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงรับรู้ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ‘ตราแห่งเทพ’ เองก็ยากที่จะรับรู้
การไล่ล่าจ้าวตำหนักโหยวหลงของจ้าวเฟิงเป็นเพียงเรื่องของเวลา กระทั่งสามารถออกไปตามล่าอีกฝ่ายได้เลยในยามนี้
ยามที่จ้าวเฟิงกำลังครุ่นคิดอยู่
ใกล้ประตูทางเข้าหุบเขาของสำนักจันทร์สลายได้ปรากฏเสียงกรีดแหวกของคมดาบขึ้น กลิ่นอายจิตแห่งดาบนั้นราวกับจะสามารถแหวกมิติ ส่งผลต่อจ้าวเฟิงได้
ทว่าดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเพียงใดกัน?
เขาเดินในศาสตร์แห่งดวงวิญญาณโบราณ กลิ่นอายจิตแห่งดาบที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในดวงวิญญาณได้เช่นนี้ สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนยิ่งนัก
สำนักจันทร์สลาย เบื้องหน้าบานประตู
“เนตรมารจันทรา คุกขังอสุรา”
สีดำอมแดงในดวงตาทั้งสองของหลินทงบิดเบี้ยวหลอมรวมกัน สร้างกลุ่มแสงสีเลือดหม่นมัวขึ้นกลายเป็น ‘จันทรามารสีแดงโลหิต’
ครืนนนน
จันทรามารสีแดงโลหิตบิดเบี้ยวกลับกลายเป็นกึ่งโปร่งใส ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของชางหยูเยว่ ส่งกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงจนทำให้ดวงวิญญาณสั่นสะท้านออกมา เผยให้เห็นภาพน่าหวาดหวั่นทุกรูปแบบ สร้างความมึนงงสับสนแก่อีกฝ่ายอย่างไร้ที่สิ้นสุด
คิ้วงดงามของชางหยูเยว่มุ่นเข้าหากัน เต็มไปด้วยความกระวนกระวายเจ็บปวด ทว่ากลิ่นอายจิตแห่งดาบบนร่างกลับเย็นเยียบแหลมคมยิ่งขึ้น
รอบกายของนางได้ปรากฏลวดลายสีแดงใสขึ้น ขยายออกจาก ‘จันทรามารสีแดงโลหิต’ แทรกซึมเข้าร่างไปอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับจะต้องลากนางลงไปในนรกให้ได้
“มรดกเจ็ดดาบ ดาบสวรรค์สิ้น”
ชางหยูเยว่วาดดาบ ดาบทองแดงโบราณสีเขียวในมือส่งกลิ่นอายเย็นเยียบหดหู่ จิตแห่งดาบที่แข็งแกร่งกราดเกรี้ยวแพร่กระจาย ดาบในมือถูกฟันออก