บทที่ 484 ไล่ล่าขณะที่ยังได้เปรียบ
“เจ้าพวกเศษเดนจันทราชาด ตายเสียเถอะ”
ผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่จู่โจม สร้างการโจมตีแบบ ‘การโจมตีจากด้านบนและด้านล่างพร้อมกัน’ ร่วมกับจ้าวเฟิง
สถานการณ์พลิกกลับในเสี้ยววินาที
เจ้าหอโครงกระดูกส่งเสียง ‘ฮึ่ม’ ออกมาครั้งหนึ่ง ตวาดเสียงต่ำ ทั่วทั้งร่างส่องประกายสีดำ ‘เพลิงวายุอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ถูกพลังเย็นเยียบดับลงอย่างยากลำบาก
ทว่าอาการบาดเจ็บที่ดวงวิญญาณนั้นยากที่จะฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งสติได้ ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงที่อยู่เหนือศีรษะเปลี่ยนไปกลายเป็นสีฟ้าเย็นเยียบ
วิชาดวงตาวิชาที่สองถูกใช้ออกได้สำเร็จ
“ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์”
ลำแสงสีใสเย็นยะเยือกที่หนาเท่าครึ่งตัวคนราวกับสายรุ้งที่ส่องประกาย ทะลวงผ่านร่างของเจ้าหอโครงกระดูกไป หลังจากที่ถูกไฟเผาและฟ้าผ่าก็ตกลงสู่ความหนาวเย็นขั้นสุด จิตใจของตัวเขาได้ถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง
‘ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์’ เป็นวิชาที่จู่โจมไปยังจิตใจ ยิ่งพลังดวงตาแข็งแกร่งเท่าใด ความรุนแรงของมันก็ยิ่งมากขึ้น ด้วยพลังดวงตาที่ทรงพลังของจ้าวเฟิง ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์นั้นเพียงพอที่จะคร่าชีวิตของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ด้วยความเย็นจนตายได้เก้าสิบเก้าคนจากหนึ่งร้อยคน ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ยังยากที่จะต่อต้านได้
ทว่า ยามรุ่งโรจน์ เจ้าหอโครงกระดูกเป็นถึงผู้สูงศักดิ์ พลังภายในลึกล้ำ ดวงวิญญาณและจิตใจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้หรือขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจะสามารถเทียบเคียงได้
หลังจากที่ถูกการโจมตีนี้เข้าไปอย่างรุนแรง ร่างกายและจิตใจของเจ้าหอโครงกระดูกก็ชาหนึบหนาวเหน็บ ดวงวิญญาณถูกความเย็นกัดกร่อน ทว่ายังไม่ได้บาดเจ็บสาหัสมากนัก
“สมแล้วที่เคยเป็นถึงผู้สูงศักดิ์”
จ้าวเฟิงไม่ประหลาดใจ
‘ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์’ สามารถสร้างความเสียหายให้แก่เจ้าหอโครงกระดูกได้สำเร็จ ลดความเร็วของอีกฝ่ายลงได้มาก นับว่าทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ
จากนั้น
เจ้าหอโครงกระดูกยากที่จะขยับเคลื่อนไหวได้ ต้องรับการจู่โจมจากดาบของผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่ไปตรงๆ
ฟึ่บ เคร้ง
ลำแสงสีดำที่ส่องสว่างจ้าบนร่างของเจ้าหอโครงกระดูกหม่นแสงลงอย่างมากในทันที ดาบนั้นกระทั่งตัดผ่านเข้าไปจนโดนร่างของมัน
เคร้ง
โครงกระดูกสีทองเงินได้ปรากฏประกายไฟขึ้น หลงเหลือร่องรอยเอาไว้เล็กๆ
อันใดกัน ใบหน้าของผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่พลันขาวซีด
ร่างกายของเจ้าหอโครงกระดูกแข็งแกร่งกว่าที่คาดเอาไว้ สามารถรับดาบของยอดฝีมือดาบทั้งสองได้ตรงๆ
“หึ ดูยอดเยี่ยมจากภายนอก ทว่าไร้ซึ่งแก่นสารใด”
จ้าวเฟิงเค้นเสียงเย็น ดวงตาเทพเจ้าหลอมรวม เปลี่ยนแปลงไปเป็นสีเขียว
“คมมีดเนตรหยก”
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มส่องประกายสีเขียวเย็นเยียบ คมมีดสายลมสีเขียวสว่างขนาดใหญ่มุ่งตรงไปตัดยังข้อต่อแขนของเจ้าหอโครงกระดูก
แคร่ก
ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกสั่นสะท้าน ข้อต่อแขนหักลง ‘แส้กระดูกสีทองเงิน’ ในมือร่วงลง
“โจมตีข้อต่อของโครงกระดูก”
ผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่พลันตระหนักขึ้นได้
ร่างกายของเจ้าหอโครงกระดูกแม้ว่าจะแข็งแกร่งยิ่งนัก การโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปเรียกได้ว่าไร้ผล ทว่ายังคงมีจุดอ่อนอยู่ ทว่าทุกๆ จุดอ่อนก็ยากที่จะหลบรอดไปจากดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้
“ไอ้เด็กจองหอง”
เจ้าหอโครงกระดูกตวาดอย่างกราดเกรี้ยว มือข้างหนึ่งสร้างสายลมเย็นเยียบหม่นหมองขึ้นดึงเอาแขนและแส้สีทองเงินที่ถูกทำลายกลับไปยังตนเอง ในใจของเขาลอบเค้นเสียงเยาะเย้ย ด้วยวิชาของเขา แขนที่ถูกหักไปนั้นสามารถฟื้นฟูได้ในระยะเวลาสั้นๆ หากไม่มีวิธีการที่ยอดเยี่ยมมากพอ เจ้าหอโครงกระดูกเองย่อมยากที่จะรักษาชีวิตรอดจากหายนะในอดีตได้
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยทะยานวูบในอากาศ แสยะยิ้มอยู่เบื้องหน้าเจ้าหอโครงกระดูก
เจ้าหอโครงกระดูกเบิกตากว้าง
ฟึ่บ
แส้อสรพิษโลหิตลึกลับถูกสะบัดออกในเสี้ยววินาที แขนและแส้กระดูกสีทองเงินถูกฉวยเอาไปพร้อมกัน
“ไอ้แมวขโมย อยู่เฉยๆ เสีย”
เจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกตัวในที่สุด คำรามโหยหวนออกมาอย่างโกรธแค้น
สิ่งที่ถูกฉวยเอาไปนั้นไม่ใช่เพียงแค่แขนของเขา ทว่ายังมี ‘แส้กระดูกสีทองเงิน’ ที่ไม่ใช่ของธรรมดาสามัญทั่วไป
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยถือ ‘แส้กระดูกสีทองเงิน’ ไว้อย่างตื่นเต้นดีใจ เก็บแส้อสรพิษโลหิตลึกลับไป เจ้าหอโครงกระดูกแทบจะระเบิดออกด้วยความโกรธแค้น ประกายแสงสีดำบนร่างสั่นสะท้านวูบไหว
แมวขโมยตัวน้อยยังคงไม่ได้รับผลใด ทั้งยังนำเอาแส้โครงกระดูกที่เหลือเพียงครึ่งนั้นกลืนเข้าไปก่อนจะแย้มยิ้ม
เจ้าหอโครงกระดูกกำลังจะถลาไป ทว่ากลับถูกจ้าวเฟิง ผู้อาวุโสไป๋ และชางหยูเยว่ร่วมมือกันจู่โจมเสียก่อน
กระทั่งผู้เฒ่าซู่ยังลงมือโจมตีด้วย
เคร้ง เปรี้ยง ครืน ตูม
เจ้าหอโครงกระดูกถูกจู่โจมจนไม่อาจหาช่องตอบโต้ได้
เคร้ง
ในเวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่ก็แทบจะตัดข้อต่อขาของเจ้าหอโครงกระดูกได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าหอโครงกระดูกจะชนะ ร่างกระดูกของมันก็คงไม่เหลือเค้าเดิม
“ไอ้แมวขโมยตัวร้าย”
เปลวเพลิงแห่งความกราดเกรี้ยวของเจ้าหอโครงกระดูกลุกโชน ที่เขาต้องตกอยู่ในสภาพเลวร้ายเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นเพราะจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อย
เนตรจิตวิญญาณเหมันต์
จ้าวเฟิงเห็นว่าเจ้าหอโครงกระดูกวางแผนจะฝ่าออกไป ดวงตาซ้ายได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ภายใต้การจ้องมองของ ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ ร่างโครงกระดูกที่ติดขัดของเจ้าหอโครงกระดูกก็ยิ่งแข็งเกร็งมากขึ้นกว่าเดิม ความเย็นยะเยือกเกินธรรมดาของจิตวิญญาณเหมันต์ได้แช่แข็งดวงวิญญาณและส่งผลต่อร่างกายตรงๆ
“หมื่นดาบไร้นภา”
“ดาบพิฆาตสวรรค์”
การโจมตีที่ดุดันและรวดเร็วของผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่ สองยอดฝีมือดาบมุ่งตรงไปยังร่างกายของเจ้าหอโครงกระดูกอย่างไร้ซึ่งความลังเล
ทันใดนั้น บนร่างของเจ้าหอโครงกระดูกก็ปรากฏรอยดาบขึ้นใกล้กับข้อต่อ
เจ้าหอโครงกระดูกถูกเนตรจิตวิญญาณเหมันต์ของจ้าวเฟิงจ้องมอง แม้ว่าจะอยากอาละวาดบ้าคลั่ง ทว่าความเร็วกลับเชื่องช้า มีความเร็วเพียงห้าหรือหกส่วนของยามปกติเท่านั้น รวมทั้งนี่ยังเป็นตอนที่เขาถูกพลังของเนตรจิตวิญญาณเหมันต์ของจ้าวเฟิงในระดับของขั้นนายเหนือแท้จ้องมองอยู่ น่ากลัวว่าจะมีความเร็วเชื่องช้าเท่าเต่าคลานเท่านั้น
“ไอ้หนู รนหาที่ตาย”
เจ้าหอโครงกระดูกคำราม ความเย็นเยียบแผ่จากร่างกายไปถึงยังดวงวิญญาณ
เปลวเพลิงสีแดงที่สั่นระริกในเบ้าตาแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายน่าพรั่นพรึงออกมา
“กรงเล็บวิญญาณบาป”
มือข้างหนึ่งของเจ้าหอโครงกระดูกถูกวาดลงด้วยดวงตาที่แดงก่ำ สร้างกรงเล็บแหลมคมขึ้นในอากาศ ขนาดของมันใหญ่ราวกับบ้านหลังหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากท้องนภา โจมตีไปยังจ้าวเฟิง
ยามที่ ‘กรงเล็บวิญญาณบาป’ ทะยานลงมา ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในบริเวณนั้นก็หนาวเยือกไปถึงวิญญาณ ร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจอธิบาย รับรู้ได้เพียงกลิ่นอายแห่งความตายที่อาบไล้
“เป็นการโจมตีพลังจิตที่น่าหวาดกลัวนัก”
ผู้อาวุโสไป๋และผู้เฒ่าซู่เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา
กรงเล็บแหลมคมนั้นมีสีขาวหม่น พื้นผิวของมันส่องประกายสีแดงก่ำ เมื่อเข้าใกล้ทำให้ร่างของจ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบในบรรยากาศที่แผ่ซ่านไปถึงดวงวิญญาณ
“บางทีผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอาจไม่มีผู้ใดสามารถรอดชีวิตไปจากกรงเล็บนั่นได้”
ดวงตาเทพเจ้ามองไปยังทิศทางการโจมตีของกรงเล็บวิญญาณบาป
เคร้ง
เด็กหนุ่มไม่เคลื่อนไหว ปล่อยให้กรงเล็บวิญญาณบาปทะลวงเข้าไปในร่างของตนเอง ในมิติในดวงตาซ้าย ผิวน้ำของทะเลสาบพลังดวงตาปรากฏเกลียวคลื่นสีน้ำเงินเข้มขึ้น ‘จ๋อม’ กลืนกินเอากรงเล็บนั้นลงไปในน้ำ
“ฮี่ฮี่ คนแซ่จ้าวผู้นี้ไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีพลังจิตมาก่อน”
จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้สึกประหลาดใจ
ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีพลังจิตหรือวิชาลวงตา ดวงตาเทพเจ้าเทพจะไม่ได้รับผลจากพวกมันเลยแม้แต่น้อย ด้วยระดับดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงที่เข้าใกล้ขั้นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เมื่อเทียบกับเจ้าหอโครงกระดูกที่กำลังอ่อนแอ น่ากลัวว่าจะเหนือกว่าในยามนี้
“เป็นไปได้อย่างไร… สายเลือดดวงตาของเขาแทบจะไม่ได้รับผลจากการโจมตีด้วยศาสตร์แห่งดวงวิญญาณทั่วไปเลยหรือ?”
เจ้าหอโครงกระดูกตื่นตะลึง
เขามั่นใจว่า ‘กรงเล็บวิญญาณบาป’ ของตนเองนั้น แม้ว่าจะเป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ยากจะรอดชีวิตไปได้
เปรี้ยง เคร้ง ตูม
รอบตัวเจ้าหอโครงกระดูกเริ่มสร้างพายุการโจมตีเข้าถาโถม
เจ้าหอโครงกระดูกถูก ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ จ้องมอง การเคลื่อนไหวเชื่องช้าแข็งทื่อ ต้องรับการโจมตีเข้าไปเสียเป็นส่วนมาก
เปรี้ยง
ทันใดนั้น ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ รอบปราสาทเก่าแก่ก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนที่จะพังทลายลง ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ได้ทำลายแกนกลางของค่ายกลลงอย่างสมบูรณ์ ในเวลาเพียงกี่ไม่นาที ม่านหมอกแห่งความตายรอบปราสาทเก่าแก่ก็ได้สลายลงชั้นแล้วชั้นเล่า แสงอาทิตย์ได้สาดส่องลงมา
สีหน้าของเจ้าหอโครงกระดูกย่ำแย่ลง รู้ว่าตนเองไม่ต่างจากพ่ายแพ้แล้ว ส่งการโจมตีออกไปอย่างเจ้าเล่ห์: “ไอ้เด็กเวร ลัทธิมารจันทราชาดที่ยิ่งใหญ่ของข้าจะรุ่งโรจน์ขึ้นในทวีปแห่งนี้อีกครั้ง เจ้าและไอ้เด็กคนอื่นๆ ยากที่จะหลุดรอดหายนะนี่ไปได้”
ครืนนน
ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกพลันพร่าเลือน หลงเหลือไว้เพียงเศษเสี้ยวเปลวเพลิงสีดำ พลังของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้งขั้น ทำให้สีสันของฟ้าดินบิดเบี้ยว ราวกับ ‘ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด’
พลังอำนาจที่มหาศาลนั้นทำให้ผู้สูงศักดิ์ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ไร้ทางต่อต้าน ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ กระเด็นถอยหลังไป
ร่างโครงกระดูกของเจ้าหอโครงกระดูกส่องประกายหมองหม่น ภายใต้เปลวเพลิงสีดำ เขาได้ออกจากปราสาทเก่าแก่ไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ เศษเสี้ยวเปลวเพลิงสีดำก็ไปปรากฏอยู่ที่สุดปลายของทะเลทราย
ในปราสาทเก่าแก่ ผู้เฒ่าซู่และยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนอื่นๆ ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
ตุบ
ผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่ทรุดลง กลิ่นอายทั่วทั้งร่างอ่อนล้า
หลังจากต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ใช้วิชาลับไปทุกวิชา ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่อยู่ ณ ที่นั้นก็นับว่าใช้พลังไปจนหมดสิ้นแล้ว
“สุดท้ายก็ชนะ เจ้าหอโครงกระดูกหลบหนีจากการต่อสู้ ไอสวรรค์ได้รับความเสียหายอย่างมาก หากจะกลับมาลงมือได้อีกครั้งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี”
ผู้เฒ่าซู่ถอนหายใจแผ่วเบา
ผู้คน ณ ที่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว รู้สึกราวกับรอดชีวิตมาจากหายนะ
ก่อนหน้าที่จะจู่โจมรังมังกรของมังกรโลหะ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าปราสาทเก่าแก่นี้จะมีตัวตนที่น่าหวาดกลัวในระดับของเจ้าหอลัทธิมารจันทราชาดอยู่
สำหรับคนทั้งหลาย สามารถมีชีวิตรอดได้ก็นับว่าโชคดียิ่งนักแล้ว
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของทุกท่าน ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ข้า”
น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนดังขึ้นจากภายในปราสาทเก่าแก่ ผู้คนชะงักอึ้ง แหงนศีรษะขึ้นมองเด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ
คนทั้งหลายจิตใจสั่นสะท้านไร้ซึ่งคำพูด
การต่อสู้ที่ยากลำบากเมื่อครู่ สามารถชนะได้เช่นนี้โดยที่ไม่พ่ายแพ้ยับเยิน เด็กหนุ่มผู้นี้ถือว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก
ในปราสาทเก่าแก่ มีเพียงจ้าวเฟิงที่ไร้ซึ่งบาดแผล
“จ้าวเฟิง เจ้าต้องการที่จะไล่ตามเจ้าหอลัทธิมารจันทราชาดไปหรือ?” ฟันขาวของชางหยูเยว่ขบกันแน่น มือหนึ่งกำดาบแน่น พยายามยันตัวลุกขึ้นยืน
“น้องจ้าว การไล่ต้อนศัตรูมากเกินไปอาจไม่ดี สำหรับเรื่องนี้ เราสามารถพิจารณากันในเรื่องระยะยาวได้”
ผู้เฒ่าซู่เอ่ยขึ้นอย่างเร่งรีบ
สีหน้าของผู้อาวุโสไป๋เต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน “จ้าวเฟิง ข้าไม่แนะนำให้เจ้าไล่ตามไป เจ้าหอลัทธิมารจันทราชาดนั่นในยามรุ่งโรจน์เป็นถึงผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เป็นถึงยักษ์ใหญ่ระดับสูงของลัทธิมารจันทราชาด เรื่องราวภายในของเขาไม่อาจคาดประเมินได้ ย่อมมีวิธีการที่จะใช้รักษาชีวิตรอดที่แข็งแกร่งเป็นแน่”
จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มบางออกมา “มีเพียงการทำลายปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้จนหมดสิ้น ข้าจึงจะสามารถออกจากแคว้นเมฆาได้อย่างสบายใจ”
“หากเจ้าอยากจะไล่ตามไป อย่างน้อยก็รอให้พวกเราพักเสียหน่อยแล้วค่อยแกะรอยอีกครั้ง จะอย่างไรเจ้าหอลัทธิมารจันทราชาดก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับข้ามาอย่างยาวนาน”
ผู้อาวุโสไป๋เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งเครียด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนต่างก็พร้อมใจกันพยักหน้า
“หากรอนาน ร่องรอยอาจเลือนหาย ขอบคุณสำหรับความหวังดีของทุกท่าน แต่เพียงแค่ข้าก็พอ”
จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ เผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา
แผ่นหลังของเด็กหนุ่มพลันปรากฏ ‘ปีกวายุอัสนี’ ขึ้นคู่หนึ่ง ตอบสนองกับพลังสายลมและสายฟ้าในฟ้าดินอย่างเข้มข้น สายลมพัดหวนรุนแรงพร้อมกับเสียงฟ้าคำราม
เพียงแค่ข้าก็พอ
เมื่อผู้เฒ่าซู่และคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้น ในใจก็นิ่งอึ้ง
“จ้าวเฟิงผู้นั้นมั่นใจหรือว่าตัวเองจะสามารถไล่ตามเจ้าหอโครงกระดูกไปได้?”
สีหน้าของผู้อาวุโสไป๋และชางหยูเยว่แข็งค้าง มองหน้ากัน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
ภายใต้ ‘ปีกวายุอัสนี’ ที่สั่นไหว จ้าวเฟิงราวกับกระแสไฟฟ้าที่พุ่งทะยานไปในอากาศ ความเร็วเมื่อเทียบกับเจ้าหอโครงกระดูกแล้วไม่ทิ้งห่างกันมากนัก
ในปราสาทเก่าแก่
ผู้คนมองตามร่างที่จากไปของจ้าวเฟิง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
“สมแล้วที่เป็นราชาแห่งผู้ถูกเลือกของยุคนี้ เขามีความสามารถมากมายเพียงใดกัน?”
ผู้อาวุโสไป๋ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“หยูเทียนฮ่าว จ้าวเฟิง และผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ รอให้ข้ากลับไปยังแดนเหนือก่อน ข้าจะท้าประลองพวกเจ้าทีล่ะคน”
นัยน์ตาราบเรียบงดงามของชางหยูเยว่ปรากฏจิตตั้งมั่นที่ไม่สั่นคลอนขึ้น