บทที่ 506 ชัดเจน
ในโถงหลักลัทธิโลหะเลือด
จ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นสูงของจ้าวลัทธิเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า
ในยามนี้ เสียงของเจียงซานเฟิงก็ได้ดังขึ้นเตือน:”ท่านรองจ้าวลัทธิ ตามธรรมเนียมแล้ว ฐานหลักลัทธิโลหะเลือดจะมีการประชุมลัทธิทุกเดือน ท่านจำเป็นต้องเอ่ยให้คนอื่นๆ เอ่ยถึงเรื่องสำคัญ ในเวลาเดียวกันท่านก็ต้องตัดสินใจ…”
คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากันเล็กๆ ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก
ในเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หากเขาไม่ได้ปิดด่านฝึกตนก็จะรวบรวมทรัพยากรวัสดุมาสร้างกองทัพ
ในช่วงเวลานี้ จ้าวเฟิงเองก็เคยได้ลงมือเข้าร่วมกำจัดสาวกลัทธิมารจันทราชาดที่หลงเหลืออยู่ครั้งนี้ ทว่ายามที่เขาออกไปถึงสถานที่ก็เหลือเพียงแค่ปลาซิวปลาสร้อย ทำให้รู้สึกผิดหวังมากนัก
“เริ่มได้”
สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองเหล่าคนระดับสูงของลัทธิมารโลหะเลือดในโถงหลัก ในเสี้ยววินาทีนั้นราวกับมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นประการหนึ่งครอบคลุมโถงหลัก แม้ว่าพวกเขาจะไม่จงใจส่งประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกไป ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้และขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปก็รู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจ
ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเพียงใด มันกระทั่งเข้าใกล้ระดับของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เมื่อเทียบกับเถี่ยหมัวแล้วมีเพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่ด้อยกว่า
“เป็นสายตาที่น่าหวาดกลัวนัก เกือบจะทำให้จิตใจของข้าพังทลายแล้ว”
“แรงกดดันพลังจิตของรองจ้าวลัทธิจ้าวคนใหม่นี้ เมื่อเทียบกับรองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัวแล้วยังดูจะแข็งแกร่งกว่า…”
คนระดับสูงจำนวนมากในโถงหลัก ยามที่ถูกสายตาของจ้าวเฟิงกวาดผ่าน จิตใจก็พลันสั่นสะท้าน
ข้อมูลตำนานของรองจ้าวลัทธิจ้าวคนใหม่ผู้นี้ พวกเขาเคยได้ยินมาบ้าง
หลบหนีการแต่งงานจากเมืองหงหู จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน กวาดล้างสาขาพันธารา ได้รับคำชื่นชมในงานชุมนุมเซียนมังกร กลายเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนใหม่… และสุดท้ายแล้วยังสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ของอาณาจักรได้อีกหลายคน กระทั่งสามารถคร่าชีวิตของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนได้ด้วยตนเอง
เกียรติยศมากมายเหล่านั้น ทั้งยังมีวาสนาของดาราที่กำลังรุ่งโรจน์ในยุคสมัยนี้ แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งอาณาจักรก็ไม่อาจหาคนที่สองได้
เมื่อกวาดตามองทั่วทั้งอาณาจักรนภา จ้าวเฟิงนับเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ที่มีพลังอำนาจเพียงพอจะสั่นคลอนไปทั้งแปดทิศได้
“เกิดอันใดขึ้น พวกเจ้าไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยหรือ? เช่นนั้นก็เยี่ยมมาก นายเหนือผู้นี้ก็กำลังจะต้องเดินทางไกล…”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มอย่างร่าเริง มองไปยังผู้คนที่นั่งทื่อ เตรียมตัวที่จะแยกตัวจากไป
ทั้งเวลาของงานน้ำชาเซียนมังกรก็ใกล้เข้ามาทุกที
จ้าวเฟิงเองก็ต้องการเข้าร่วมหาความสนุก อยากจะสัมผัสถึงพลังของ ‘สายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีป’ นั้น
“รองจ้าวลัทธิช้าก่อน”
“ข้ากับคนอื่นๆ มีเรื่องสำคัญ…”
เหล่าคนระดับสูงในบริเวณนั้นพลันลนลาน ส่งเสียงเรียกอย่างเร่งรีบ
เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่มองหน้ากัน เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา เมื่อมองจากท่าทีของจ้าวเฟิงแล้ว เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวดูพร้อมที่จะสลัดทุกคนออกไปได้ทุกขณะ ไม่ว่าอย่างไรก็จะเป็นอิสระไร้ซึ่งข้อผูกมัด
“รองจ้าวลัทธิจ้าว จากการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสาวกลัทธิมารจันทราชาดที่เหลือรอด เหตุผลที่ล้มเหลวนั้น ผู้น้อยมั่นใจว่าในลัทธิโลหะเลือดได้มีสายลับสาวกลัทธิมารจันทราชาดระดับสูงในบรรดาคนระดับสูงของเรา…”
ผู้คุ้มครองขั้นผู้วิเศษแท้ผู้หนึ่งค้อมคำนับพร้อมเอ่ยขึ้น
มีสายลับ?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในโถงหลักก็ปรากฏเสียงซุบซิบดังขึ้น
“หลังจากที่ลัทธิมารจันทราชาดในอดีตพ่ายแพ้หลบหนีไป สาวกจำนวนมากของลัทธิที่หลงเหลือก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วทวีป บางส่วนกระทั่งแทรกซึมเข้าไปในขั้วอำนาจน้อยใหญ่”
คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากัน ความเป็นไปได้นี้สูงจริงๆ
จากการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสาวกที่หลงเหลือของลัทธิมารจันทราชาดก่อนหน้า เขาเองก็ได้เข้าร่วม ค้นพบฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิมาร ทว่าผลคือคนทั้งหลายได้สละฐานที่มั่นไปแล้ว หลงเหลือเพียงแค่ปลาซิวปลาสร้อยเป็นคนแก่ คนอ่อนแอ คนที่เจ็บป่วย และคนพิการเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นแคว้นเมฆาหรืออาณาจักรนภาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ไปได้
ในแคว้นเมฆา จ้าวเฟิงได้ใช้วิธีการเหวี่ยงแหอย่างง่ายๆ
ทว่าในอาณาจักรนภา พื้นที่ของมันใหญ่โตเกินไป อย่างน้อยก็ใหญ่กว่าแคว้นเมฆาอยู่หลายสิบเท่า นอกจากนั้นยังมีขั้วอำนาจน้อยใหญ่ ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนวุ่นวาย
ในระหว่างที่ผู้คนถกเถียงเกี่ยวกับ ‘สายลับ’ จ้าวเฟิงนั้นไม่ออกความเห็น
ดวงตาเทพเจ้าของเขาเข้าใจทุกเศษเสี้ยวการเคลื่อนไหว มีพลังลึกลับในการควบคุมส่งผลต่อจิตใจ
ผู้คนที่ถูกดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองจะรู้สึกราวกับจิตใจถูกทิ่มแทง
“สอง สาม…” มุมปากของจ้าวเฟิงเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเย็นชา
เขาไม่ได้มีเพียงแค่ดวงตาเทพเจ้าที่มีวิชาพลังจิตลวงตา ทว่ายังมียักษ์ใหญ่ระดับเจ้าหอของลัทธิมารจันทราชาดอยู่ใน ‘ประคำหมื่นวิญญาณ’ ด้วย
จ้าวเฟิงจดจำผู้คนที่ถูกเขาทะลวงผ่านจิตใจไปอย่างเงียบๆ ตระหนักได้ว่าเหล่า ‘คนน่าสงสัย’ เหล่านี้ล้วนเป็นคนระดับสูง
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน”
จ้าวเฟิงโบกมือ หยุดการถกเถียงเรื่องนี้ไว้
จากนั้นเรื่องอื่นๆ จึงได้ถูกเอ่ยต่อจ้าวเฟิง
“หัวหน้าสาขาฉื่อเย่เกษียณเพราะความชรา ทำให้ยามนี้ตำแหน่งว่างอยู่ ในบรรดาสมาชิกทั้งหมด ต้องรบกวนให้ท่านรองจ้าวลัทธิตัดสินใจ”
รองหัวหน้าสาขามองดูด้วยสายตาคาดหวัง มีท่าทีกระวนกระวาย
“กลุ่มคนของตำหนักฉินเจี่ยนไร้ผู้นำ สาขาของข้าพยายามที่จะชักจูงคนเหล่านั้นในพื้นที่ของข้า ทว่าได้ปะทะกับราชวงศ์และการขัดขวางของตระกูลหลิวหลัก…”
หัวหน้าสาขาที่ค่อนข้างมีอายุผู้หนึ่งถอนหายใจ
“บัดนี้สถานการณ์ของอาณาจักร ตำหนักฉินเจี่ยนเหลือเพียงแค่ชื่อแล้ว ผู้อาวุโสหลักตระกูลหลิวเองก็ตายไปแล้ว นับว่ายามนี้ลัทธิโลหะเลือดของเราได้เปรียบ ผู้น้อยแนะนำว่าเราควรรวมพลังกันกวาดล้างพวกที่ต่อต้าน พยายามยึดอำนาจอีกครั้ง”
“กวาดล้างพวกที่ต่อต้าน พยายามยึดอำนาจอีกครั้ง”
ครั้งนี้เหล่าคนระดับสูงที่ทะเยอทะยานหลายคนช่วยกันตอบรับ
ผู้ที่เอ่ยคำว่า ‘กวาดล้างพวกที่ต่อต้าน พยายามยึดอำนาจอีกครั้ง’ ออกมาคือผู้อาวุโสของฐานหลัก พลังฝึกตนสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง
“หึ พยายามยึดอำนาจอีกครั้ง? เรื่องนี้สำหรับลัทธิโลหะเลือดในยามนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็น ทว่าสถานการณ์ในยามนี้ อันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ยังคงเป็นลัทธิมารจันทราชาด”
จ้าวเฟิงเค้นเสียง มองไปยังผู้อาวุโสของฐานหลักที่ทะเยอทะยาน
ในเสี้ยววินาทีนั้น สายตาจำนวนมากได้เบนตามรองจ้าวลัทธิ จ้องมองไปยังผู้อาวุโสผู้นั้น
“ผู้อาวุโสคนนั้นพลันรู้สึกถึงความผิดพลาด บนหน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ
“ใครก็ได้ นำตัวเขามาให้ข้า”
จ้าวเฟิงออกคำสั่งเสียงแผ่ว
สิ้นเสียง เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ที่อยู่ข้างๆ ก็ลงมือในเสี้ยววินาที กดร่างของผู้อาวุโสคนนั้นลงที่พื้น
ในโถงหลัก ยอดฝีมือทั้งหลายเผยสีหน้าหวาดกลัวและงุนงงออกมา
“รองจ้าวลัทธิจ้าว แม้ว่าท่านจะเป็นรองจ้าวลัทธิก็ไม่อาจลงโทษข้าได้อย่างไร้เหตุผล มิเช่นนั้นจะนับว่ายุติธรรมได้อย่างไร?”
ผู้อาวุโสของฐานหลักไม่กล้าที่จะต่อต้าน ทว่ากลับส่งเสียงประท้วงออกมาอย่างน่าสงสาร
“ยังจะกล้ามาผายลมไร้สาระ ในยามที่ลัทธิมารจันทราชาดกำลังจะหวนคืนมายังพยายามจะสร้างสงครามภายในอาณาจักร เจ้าคิดอันใดอยู่ในใจกัน”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพลันระเบิดพลังจิตออกมาอย่างไม่ออมมือ กระแทกไปยังร่างของผู้อาวุโสฐานหลักผู้นั้นดัง ‘เปรี้ยง’ ดวงวิญญาณของเขาสั่นสะท้าน แนวป้องกันจิตใจพังทลายลงในเสี้ยววินาที ในคำพูดเต็มไปด้วยช่องว่าง
เหล่าคนระดับสูงอดที่จะตระหนักขึ้นในทันทีไม่ได้
หากอาณาจักรนภาเกิดสงครามภายใน ผู้ใดกันที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด? มิใช่ว่ามันชัดเจนหรือว่าเป็นลัทธิมารจันทราชาดที่กำลังจะหวนกลับมา
จากนั้น
จ้าวเฟิงไม่จำเป็นแม้แต่จะใช้เนตรใจวิญญาณ ปล่อยให้ผู้อาวุโสของฐานหลักที่จิตใจแหลกสลายผู้นั้นขายตนเอง เปิดเผยสถานะ ‘สายลับลัทธิมาร’ ออกมา
ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งนาที จ้าวเฟิงก็จับสายลับลัทธิมารได้หนึ่งคน เหล่าคนระดับสูงต่างมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความหวาดผวา แน่นอนว่าเหตุผลที่จ้าวเฟิงมั่นใจว่าเป็นคนผู้นี้เป็นเพราะก่อนหน้าเขาใช้ดวงตาเทพเจ้าอ่านใจ ค้นพบถึงส่วนที่น่าสงสัยอยู่บางประการ
ในเวลาอีกครึ่งชั่วยามที่เหลือ
สมาชิกจำนวนมากในโถงหลักของลัทธิโลหะเลือดรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ
‘สายลับ’ 2-3 คนได้ถูกจ้าวเฟิงจับออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนมากเป็นเพราะสายเลือดดวงตาที่มองเห็นทุกอย่างในจิตใจ แน่นอนว่าเหล่าสายลับที่แฝงตัวอยู่ในบรรดาคนนับสิบนี้ไม่ได้เป็นสาวกที่หลงเหลือของลัทธิมารจันทราชาดเสียทั้งหมด กว่าครึ่งมาจากฝั่งราชวงศ์
หลังจากผ่านไปหลายวัน
ฐานหลักลัทธิโลหะเลือดก็เย็นลง เหล่า ‘สายลับ’ ที่เร่าร้อนได้ถูกกำจัดจนหมด
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือการ ‘ตรวจสอบแม้ส่วนที่เล็กที่สุด’ ของรองจ้าวลัทธิคนใหม่ โดยไม่รู้ตัว อำนาจของจ้าวเฟิงได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งฐานหลักของลัทธิโลหะเลือด
ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันก็บั่นคอของคนระดับสูงไปหลายคน นับว่าน่าพรั่นพรึงจนต้องเปลี่ยนสีหน้า นี่ยังเป็นเหตุผลให้ยามที่จ้าวเฟิงมองไปที่ใด เหล่าคนระดับสูงก็จะแสดงความหวาดกลัวออกมา
ในเสี้ยวพริบตา
จ้าวเฟิงก็จัดการทำความสะอาดฐานหลักลัทธิโลหะเลือดครั้งใหญ่ คนระดับสูงต่ำล้วนถูกกำจัดในเวลาครึ่งเดือน สุดท้ายในวันนี้ รองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัวจึงกลับมา ค้นพบว่าบรรยากาศในฐานหลักกดดันเคร่งเครียด กลิ่นอายดูดุดันโหดเหี้ยมกว่าในอดีต
เถี่ยหมัวชะงักไป หลังจากที่รู้ความจริงจึงอุทานออกมาอย่างตกใจและชื่นชม ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี
การกระทำนี้ของจ้าวเฟิงได้กวาดล้างเอาพวกหนอนบ่อนใส้ของฐานหลักลัทธิโลหะเลือดออกไปจนหมดสิ้น ผลของมันดีกว่าการฆ่าศัตรูนับสิบนับร้อยเท่า
ค่ำคืนนั้น
จ้าวเฟิงไปเจอกับเถี่ยหมัว คนทั้งสองพบกันในตำหนักที่มืดหม่นแห่งหนึ่ง
“ข้าจำต้องเดินทางไกลในตอนนี้ เรื่องที่เหลือคงต้องลำบากศิษย์พี่เถี่ยแล้ว”
จ้าวเฟิงเอ่ย
หลังจากที่เถี่ยหมัวกลับมา เขาก็มีความรู้สึกโล่งอกสบายใจ
ดวงตาเทพเจ้าของเขามีความสามารถในการเข้าใจเจตนาของผู้คนในระดับหนึ่ง ตราบเท่าที่พลังฝึกตนของอีกฝ่ายต่ำกว่าเขาก็ยากที่จะหลบรอดไปโดยใช้ดวงได้
ดังนั้นแล้ว ในระหว่างที่จ้าวเฟิงกำลังลงมือกวาดล้างนั้นจึงคล่องแคล่วรวดเร็ว ทว่านี่ไม่ใช่หนทางที่เขาต้องการ
“โอ้? ดูเหมือนว่าเจ้าจะไปเข้าร่วมงานน้ำชาเซียนมังกรครั้งนี้แน่ๆ”
เถี่ยหมัวไม่จำเป็นต้องคิดมาก
จะอย่างไรเขาเองก็เคยเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร ทว่าตำแหน่งของเขาต่ำกว่าจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้ม เขาต้องการที่จะไปดูว่าเหล่าผู้ถูกเลือกที่ออกมาจากมรดกต่างแดนเหล่านั้นพัฒนาไปเช่นไรบ้าง ทั้งยังมีผู้ครอบครองมรดกสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปอย่าง ‘โอรสสวรรค์สามตา’ ที่สร้างความสนใจให้เขาเล็กๆ อยู่อีกด้วย
“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งทวีปในยามนี้ ในบรรดาคนรุ่นใหม่คงมีเพียงแค่หยูเทียนฮ่าวที่ควรค่าแก่การเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า ทว่าเจ้าจำต้องระวังตัวยามที่เผชิญหน้ากับโอรสสวรรค์สามตาผู้นั้น”
เถี่ยหมัวเอ่ยเตือน
“โอ้? โอรสสวรรค์สามตา?”
จ้าวเฟิงเผยสีหน้าสนใจออกมาเล็กน้อย
“โอรสสวรรค์สามตาคือผู้ที่ได้ครอบครองอันดับหนึ่งในงานชุมนุมเซียนมังกรสองครั้งติดก่อนหยูเทียนฮ่าว อายุมากกว่า 50 ปี หากจะพูดตามตรงไม่นับว่าอยู่ในฐานะของอัจฉริยะรุ่นใหม่แล้ว นอกจากนั้นเขายังได้ถูกแนะนำจากสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ให้เข้าร่วมสามตำหนักเซียนมาหลายปีแล้ว ทุกวันนี้เขากลายเป็นผู้คุมกฎของสามตำหนักเซียน…”
เถี่ยหมัวเอ่ยอย่างเชื่องช้า
สามตำหนักเซียน?
ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวาวโรจน์ ไม่คิดว่าโอรสสวรรค์สามตาจะเป็นผู้คุมกฎของ ‘สามตำหนักเซียน’ สำนักระดับสองดาว
“‘แสงสวรรค์สามตา’ ของเขาเป็นที่เลื่องลือว่าทำลายกฎนับหมื่น ทำลายการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดได้ เพราะเช่นนั้นมันจึงเป็นมรดกสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อเวลามาถึง บางทีเขาอาจจะไม่สนใจถึงความห่างอายุ ยั่วยุประลองตัดสินกับเจ้า เพราะว่าโอรสสวรรค์สามตากับปิงเว่ยเซียนจื่อเหมือนจะเป็นคู่หมั้นกัน”
เถี่ยหมัวรู้สึกเป็นกังวลเล็กๆ
ระหว่างจ้าวเฟิงกับหยูเทียนฮ่าว โอกาสแพ้ชนะอาจจะอยู่ที่ครึ่งต่อครึ่ง
ทว่าโอรสสวรรค์สามตาผู้นี้ไม่ได้อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสำนักระดับสองดาว
“เป็นเช่นนั้นเอง มิคาดว่าโอรสสวรรค์สามตาและปิงเว่ยเซียนจื่อจะเป็นคู่หมั้นกัน”
จ้าวเฟิงอึ้งตะลึงอยู่ในใจ
เกี่ยวกับลักษณะของสายเลือดดวงตาของโอรสสวรรค์สามตา เถี่ยหมัวได้เอ่ยแจงกับจ้าวเฟิงทีล่ะอย่าง
จ้าวเฟิงไม่ประมาท ตั้งใจฟัง
“ขอบคุณศิษย์พี่เถี่ยมาก แต่แม้ว่าโอรสสวรรค์สามตาผู้นั้นจะไม่ลงมือ ก็คงเป็นข้าเองที่อยากจะท้าประลองเขา”
ในน้ำเสียงของจ้าวเฟิงปรากฏความมั่นใจอย่างมาก
ในดินแดนน้ำแข็งที่ห่างไกล หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินเคียงข้างกันในตำหนักที่เต็มไปด้วยลวดลายของหิมะและน้ำแข็ง
“…สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนั่นมีลักษณะหลายแบบ มีทั้งพลังลวงตา การยิงลำแสง และพลังในการแช่แข็ง”
ปิงเว่ยเซียนจื่อเอ่ยถึงรายละเอียด
ข้างกายนางคือชายหนุ่มผมทองสีหน้าเย็นชา บนหลังสะพายดาบเล่มหนึ่ง ที่หน้าผากปรากฏ ‘ดวงตาที่สาม’ ที่ปิดสนิท ไม่อาจมองเห็นสิ่งใด
“เว่ยเม่ยสบายใจเถอะ สายเลือดดวงตาเซียนของข้าได้ตื่นขึ้นสู่ระดับที่สามแล้ว ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในโลกใบนี้ไม่อาจต่อต้านสายเลือดดวงตาของข้าได้”