บทที่ 512 บดขยี้ (1)
คิ้วเรียวอันงดงามของปิงเว่ยเซียนจื่อมุ่นเข้าหากันเล็กๆ นัยน์ตาหงส์ปรากฏความกระวนกระวาย สายตาเพ่งมองไปยังจ้าวเฟิงที่อยู่ใจกลางฝั่งแดนเหนือ
งานน้ำชาดำเนินมาจนถึงจุดนี้ บัดนี้ได้นับว่าเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ รวมทั้งยอดฝีมือชั้นแนวหน้าล้วนได้ลงมือประลอง
ทว่าในบรรดาผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งหมด มีเพียงแค่จ้าวเฟิงที่ยังไม่ได้ลงมือ
ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะชั้นแนวหน้าหรืออัจฉริยะเซียนมังกรทั่วไปล้วนไม่ท้าประลองจ้าวเฟิง
ทว่าสถานการณ์เช่นนี้มีสาเหตุ
จะอย่างไร ในบรรดาผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่ปรากฏตัวอยู่ทั้งหมด พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงสูงที่สุด มากถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ
ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ปิงเว่ยเซียนจื่อและชื่อเฉิงเทียนมีพลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับแรกเริ่ม ชางหยูเยว่เป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ขั้นนายเหนือแท้
พวกเขาไม่มีวาสนาอันดีเช่นจ้าวเฟิงที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำได้
“ก่อนหน้า ยามที่จ้าวเฟิงอยู่ในขั้นมนุษย์แท้ก็สามารถข้ามขั้นประลองกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ในขั้นผู้วิเศษแท้ได้ บัดนี้เขาบรรลุขั้นนายเหนือแท้ พลังฝึกตนนับว่ากดดันเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกร…”
สายตาที่เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรใช้มองไปยังจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความหวาดผวา กระทั่งปรากฏความนับถือชื่นชมอยู่
สายตาของเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรเบนออกจากร่างของจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็วราวกับไม่ได้ตั้งใจ
“พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงกดดันผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวที่สุด ทว่าเป็นสายเลือดดวงตาของเขาที่ชนะทุกคนในงานชุมนุมเซียนมังกรเมื่อไม่นานมานี้”
บนใบหน้าของเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรชั้นแนวหน้า โม่เทียนอี้ ฉินคุนอู๋ ถัวป๋าฉี และคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
โดยเฉพาะอัจฉริยะเซียนมังกรจากแดนเหนือที่ในความหวาดกลัวนั้นยังเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อจ้าวเฟิง
ในครึ่งปีที่ผ่านมา จ้าวเฟิงทะยานขึ้นเหนืออาณาจักรนภา เอาชนะและฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ไปคนแล้วคนเล่า กลายมาเป็นรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด เรื่องราวเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปทั่วยุทธภพของแดนเหนือ
หากท้าประลองกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ พวกเขายังพอจะมีโอกาสบ้างเล็กน้อย อย่างน้อยก็สามารถประลองชี้แนะและแสดงความสามารถอออกมาได้อย่างโดดเด่น
ทว่าหากท้าประลองจ้าวเฟิงมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะพ่ายแพ้ในเสี้ยววินาที ไม่มีโอกาสตอบโต้
“ดูเหมือนว่าน้องจ้าวจะนั่งมาสักพักแล้ว ไม่มีผู้ใดท้าประลองคงเบื่อหน่ายนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่าทุกคนในที่นี้ยอมรับสถานะอัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่งของเขา?”
ปิงเว่ยเซียนจื่อลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า คำพูดทิ่มแทงจ้าวเฟิง
อัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่ง?
คำๆนั้นราวกับก้อนหินที่กระทบผิวน้ำจนก่อเป็นคลื่น สร้างเสียงโต้เถียงขึ้นมากนัก
“แม้ว่าเขาจะเอาชนะผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ ทว่ายังไม่ได้เอาชนะ
หยูเทียนฮ่าว จะนับว่าเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างไร?”
“อัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่ง? ฮี่ฮี่ แม้ว่าข้าจะพ่ายแพ้ก็คงต้องขอคำชี้แนะเสียหน่อยแล้ว”
“ฮ่าฮ่า หากสามารถประลองกับอัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่งได้ เช่นนั้นคงนับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก”
สายตาจำนวนมากของผู้คนจับจ้องไปยังร่างของจ้าวเฟิง
มุมปากของปิงเว่ยเซียนจื่อยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง แผนของนางสำเร็จแล้ว
จุดสำคัญคือคำว่า ‘อัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่ง’ ที่ติดอยู่บนร่างของจ้าวเฟิง ทำให้เขาถูกพายุโหมกระหน่ำ
“ข้า หวงเทียนขุ่ย ผู้ไร้พรสวรรค์คงต้องขอคำชี้แนะจากอัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่งแล้วว่ามีความแข็งแกร่งสมแก่ฉายาหรือไม่”
อัจฉริยะเซียนมังกรขั้นผู้วิเศษแท้คนหนึ่งทะยานร่างไปยังกลางอากาศ
สุดท้ายแล้ว
งานน้ำชาครั้งนี้จึงมีคนแรกที่กล้าท้าประลองจ้าวเฟิง
อัจฉริยะเซียนมังกรบางคนอดที่จะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกไม่ได้ สุดท้ายแล้วจึงสามารถปล่อยวางเรื่องที่ครุ่นคิดมานานได้เสียที
‘หวงเทียนขุ่ย’ ผู้นี้อยู่ในชุดต่อสู้สีเขียว ในมือถือขวานศิลาสีทองที่แตกหักไว้ในมือ ทั่วทั้งร่างส่องประกายแหลมคม มีแสงสว่างโอบล้อมราวกับเทพแห่งการต่อสู้
โดยเฉพาะขวานศิลาสีทองในมือที่แม้ว่าจะแตกหัก แต่กลับส่งจิตต่อสู้ที่ทะลวงผ่านห้วงมิติ ทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างทรงพลังออกมา
“มิคาดว่าจะเป็นมรดกขวานศิลา”
“จิตวิญญาณต่อสู้ของขวานศิลาทองนี้เทียบได้กับขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดเป็นอย่างน้อย”
“ในการประลองก่อนหน้า ไม่เห็นหวงเทียนขุ่ยใช้มันเลย”
งานน้ำชาปรากฏเสียงสูดลมหายใจเฮือก
แม้ว่าหวงเทียนขุ่ยจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ ทว่าเมื่อถือขวานศิลาสีทองนั้นไว้ในมือ สำนักรู้และจิตต่อสู้ที่แพร่ออกมา เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปแล้วยังแข็งแกร่งกว่า
“ท่านอัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่ง ! นั้นสูงส่งพอ ต่อการที่ข้าจะใช้สิ่งที่ได้มาจากมรดกต่างแดน นั่นคือ มรดกขวานศิลา”
จิตต่อสู้บนร่างของหวงเทียนขุ่ยถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด
“วิชานภาดาราพราย”
ในเสี้ยววินาทีที่ขวานของหวงเทียนขุ่ยฟันลงพร้อมจิตต่อสู้ขั้นนายเหนือแท้ที่ทรงพลังจนกระทั่งไอสวรรค์ตอบรับขึ้นอย่างจางๆ มองเห็นได้เพียงประกายคมขวานสีทองที่สว่างจ้าตัดผ่านอากาศไปกินวงกว้างนับสิบจ้าง
จิตต่อสู้ที่ทรงพลังและวิชามรดกนั้นได้ทำให้ตัวตนในระดับของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้บริเวณนั้นต้องจิตใจสั่นไหว รู้สึกราวกับว่าตนเองไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้
จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เรือนผมสีน้ำเงินพลิ้วไหว
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา:”เป็นจิตต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก น่าเสียดายที่เจ้ายังไม่เข้าใจในแก่นแท้ของมัน”
เพียงสิ้นเสียง
เคร้ง ฉัวะ
ลำแสงกระแสไฟฟ้าและสายลมหนาเท่านิ้วโป้งได้ปรากฏขึ้นจากปลายนิ้วของจ้าวเฟิง ทำลายการโจมตีจากขวานศิลาสีทองและกระแทกมันจนหลุดออกจากมือหวงเทียนขุ่ยไปพร้อมๆ กัน
“ไม่”
ร่างกายของหวงเทียนขุ่ยสั่นสะท้านชาหนึบ ขวานศิลาสีทองในมือที่ถูกควบรวมพลังทั้งหมดในร่างเอาไว้ถูกซัดจนกระเด็นจนหลุดมือ
ฟิ้ว เคร้ง
ขวานศิลาสีทองร่วงลงบนพื้น จิตต่อสู้สลายหายไปพร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างหดหู่ที่ดังขึ้น
“นี่… เป็นไปได้อย่างไร ท่านอาจารย์บอกว่าข้าสามารถแสดงพลังของขวานนี้ออกมาได้อย่างเต็มที่ สามารถประลองกับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ได้หลายกระบวนท่าเป็นระยะเวลาสั้นๆ”
ใบหน้าของหวงเทียนขุ่ยปรากฏความเหม่อลอยประการหนึ่ง
ก่อนที่จะท้าประลองจ้าวเฟิง เขาคิดว่าโอกาสชนะได้มีไม่มาก ทว่าเพียงแค่ต้องการได้รับชื่อเสียงในงานน้ำชาเซียนมังกรเท่านั้น
หากสามารถต่อสู้กับอัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่งได้ในระยะเวลาหนึ่งแล้วค่อยพ่ายแพ้อย่างสมเกียรติ คงจะดี เขาไม่คิดว่าแม้ว่าจะใช้มรดกขวานศิลานั้นอย่างเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถเอาชนะจ้าวเฟิงได้อยู่ดี
“หวงเทียนขุ่ย เจ้าพึ่งพาสิ่งของมากเกินไป ไม่ได้ทำความเข้าใจในแก่นแท้ของมรดกขวานศิลา…”
โอรสสวรรค์สามตาเอ่ยวิจารณ์ขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ในฐานะของผู้จัดงาน โอรสสวรรค์สามตาและปิงเว่ยเซียนจื่อมักจะเอ่ยวิจารณ์การประลองขึ้นสักหนึ่งหรือสองอย่าง
ทว่าครั้งนี้ ทุกคนค่อนข้างที่จะสติหลุด
หวงเทียนขุ่ยพ่ายแพ้ยับเยินยิ่งนัก
“สมแล้วที่เป็นราชาแห่งผู้ถูกเลือกที่สั่นคลอนทวีป”
ในใจของอัจฉริยะเซียนมังกรที่เห็นภาพนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง หวงเทียนขุ่ยที่อยู่ในสภาวะเมื่อครู่มีพลังต่อสู้ที่สามารถกดดันผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ได้
แต่แม้กระนั้น เมื่อเขาอยู่เบื้องหน้าจ้าวเฟิงกลับไม่มีแม้แต่พลังจะตอบโต้
ในเวลาเดียวกัน
“จ้าวเฟิง ด้วยความได้เปรียบอย่างมากของแก่นแท้และพลังฝึกตนทำให้ได้รับชัยชนะอย่างขาดลอย เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียวนับว่าสมเหตุสมผล”
สีหน้าของโอรสสวรรค์สามตาเรียบเฉย เอ่ยวิจารณ์จ้าวเฟิง
ผู้คนอดที่จะตะลึงไม่ได้ ในงานน้ำชาเซียนมังกรนี้คงมีเพียงแค่โอรสสวรรค์สามตา ผู้นำรุ่นพี่ผู้นี้ที่มีคุณสมบัติในการวิจารณ์จ้าวเฟิง
“มีเหตุผล”
สีหน้าของจ้าวเฟิงอ่อนโยน ทว่าไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ
การประลองในระดับนี้เขาไม่สนใจ ทำให้จบการต่อสู้ลงอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่หวงเทียนขุ่ยพ่ายแพ้ ความกระตือรือร้นตื่นเต้นของเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรก็ไม่ได้หายไป บางคนได้ท้าประลองจ้าวเฟิง
ทว่าอัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหลายล้วนถูกจ้าวเฟิงเอาชนะในกระบวนท่าเดียวคนแล้วคนเล่า
“ได้ประลองกับอัจฉริยะเซียนมังกรอันดับหนึ่งเช่นนี้นับว่าเป็นเกียรติของคนแซ่ฉินนัก”
ผู้ที่ท้าประลองครั้งนี้คืออัจฉริยะเซียนมังกรชั้นแนวหน้า ฉินคุนอู๋
หลังจากที่ฉินคุนอู๋กลับมาจากมรดกต่างแดน แก่นแท้พลังฝึกตนก็ได้เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด ขอบเขตจิตวิญญาณกระทั่งสัมผัสที่ชายขอบของขั้นนายเหนือแท้
“ลงมือ หรือมิเช่นนั้น…เจ้าจะไม่มีโอกาส”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง เขาค่อนข้างประทับใจในตัวฉินคุนอู๋
ก่อนหน้าในงานชุมนุมเซียนมังกรอบแรก ฉินคุนอู๋อยู่ในลานประลองแดนเหนือเช่นเดียวกับจ้าวเฟิง เป็นอัจฉริยะชั้นแนวหน้าที่เป็นรองเพียงผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
ทว่าการเผชิญหน้ากันในวันนี้ มันได้ต่างออกไป
“ประลองกับราชาแห่งผู้ถูกเลือกเช่นเจ้า คนแซ๋ฉินผู้นี้คงไม่ออมมือ…”
ฉินคุนอู๋สูดลมหายใจลึก สีหน้าปรากฏอารมณ์ซับซ้อนอยู่บ้าง
เขาไม่เชื่อในตัวของจ้าวเฟิงที่พูดจาเย่อหยิ่งจองหอง ก่อนหน้าในลานประลองเหนือ แรกเริ่มเขาไม่พอใจในตัวจ้าวเฟิงอย่างสิ้นเชิง ได้เอ่ยโต้เถียงกับศิษย์น้องอีกคน
ทว่าจากนั้น เขาก็ทำได้เพียงมองไปยังเด็กหนุ่มไร้ชื่อผู้นั้นที่หลอมละลายความธรรมดาและสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นอย่างจนใจ ก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบัลลังก์ของ ‘ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้’
“เก้าฝ่ามือขั้วดารา”
ความคิดไหลลื่นไปอย่างรวดเร็ว ร่างของฉินคุนอู๋ส่องประกายเจิดจ้าราวกับดวงดาว ปราณจิตวิญญาณในร่างเดือดพล่าน
ฝ่ามือทั้งสองเคลื่อนไหวไปพร้อมกันสร้างวงแสงขนาดยักษ์แหวกอากาศ อาบไล้ท้องฟ้าที่พร่างพรายไปด้วยแสงดาว ทรงพลังราวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
ในเสี้ยวพริบตา ทั่วทั้งร่างของฉินคุนอู๋ก็ราวกับถูกโอบล้อมไปด้วยดวงดาว ตอบสนองกับไอสวรรค์ในฟ้าดิน กระทั่งปรากฏพลังของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ในนภาที่พร่างพรายขึ้นจางๆ
“เป็นวิชามรดกที่ลึกลับนัก ใช้เสวียนอ้าวของฟ้าดินดึงดูดพลังดวงดาวในธรรมชาติ มีพลังต่อสู้เทียบกับขั้นนายเหนือแท้ได้อย่างสมบูรณ์”
อัจฉริยะเซียนมังกรในที่นั้นจิตใจสั่นสะท้าน
รวมทั้งเหล่าอัจฉริยะชั้นแนวหน้าทั้งหลายที่รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล เหล่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ รู้สึกตื่นตัว ชัดเจนว่าสิ่งที่ฉินคุนอู๋ใช้ออกนั้นเป็นวิชามรดกที่ลึกล้ำยิ่งนัก ทั้งยังหลอมรวมสำนึกรู้ของตนเองเข้าไปจนเกินธรรมดา ในเวลาสั้นๆ สามารถปะทะกับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ได้
“ดี แก่นแท้สำนึกรู้หลอมรวมกับธรรมชาติมากนัก”
จ้าวเฟิงเอ่ยพร้อมผงกศีรษะ มองจากภาพนั้นนับได้ว่าฉินคุนอู๋ทะลวงสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขั้นนายเหนือแท้ การจะบรรลุขั้นนายเหนือแท้อยู่ไม่ห่างไกลนัก แน่นอนว่าเขาย่อมไม่แสดงความเมตตา
พายุอัสนี
ฝ่ามือของจ้าวเฟิงปรากฏกลุ่มก้อนสายลมและสายฟ้าสีเขียวเข้มขึ้นเล็กๆ เป็นรูปน้ำวนที่โอนเอนไปมาก่อนจะขยายออกอย่างดุดัน กลายเป็นพายุที่ปรากฏกระแสไฟฟ้าหลอมรวมอยู่ขนาดยักษ์ขึ้น
ฟึ่บ เปรี้ยง
สายลมรุนแรงจากพายุอัสนีกวาดผ่านการโจมตีที่เจิดจ้าของฉินคุนอู๋ไปในเสี้ยวพริบตา แสงที่สว่างโรจน์นั้นไม่อาจคงอยู่ได้แม้เพียงครึ่งลมหายใจก็ถูกฉีกกระชากจนกระจัดกระจาย พายุอัสนีที่ทรงพลังไม่แม้แต่จะอ่อนกำลังลง กวาดตรงไปยังร่างของฉินคุนอู๋จนต้องล่าถอย
ตึก ตึก ตึก
บนใบหน้าของฉินคุนอู๋เต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ถอยหลังไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ากลับราวกับจมลงในปลักโคลน ทั่วทั้งร่างไหม้ดำ
ภายใต้แรงลมรุนแรง ฉินคุนอู๋พลันกระอักเลือดออกมา ใบหน้าซีดขาว
เมื่อเห็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงจึงโบกมือ สลายพลังที่หลงเหลืออยู่ของวิชา
แม้กระนั้น ฉินคุนอู๋ก็โซเซ แทบจะทรุดลงกับพื้น ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างหดหู่
“ชนะด้วยเพียงกระบวนท่าเดียว”
“หากจ้าวเฟิงไม่ยั้งมือ ฉินคุนอู๋อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต”
ในบริเวณนั้นปรากฏเสียงสูดลมหายใจเฮือก
ฉินคุนอู๋ที่แข็งแกร่งเพียงนั้นกลับสามารถถูกคร่าชีวิตได้โดยจ้าวเฟิงอย่างสบายๆ ในเสี้ยววินาที ไร้ซึ่งกำลังจะตอบโต้ อัจฉริยะเซียนมังกรชั้นแนวหน้าในยามนี้ รวมทั้งผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ในใจเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ สามารถเอาชนะฉินคุนอู๋ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าจะทำให้มันง่ายเช่นจ้าวเฟิง กระบวนท่าธรรมดาๆ ท่าหนึ่งเอาชนะในเสี้ยววินาทีก็ยังนับว่ายากเย็นเกินไป
“จ้าวเฟิงผู้นี้พัฒนาไปถึงในระดับใดแล้วกันแน่? นอกจากนั้นเขายังไม่ได้ใช้สายเลือดดวงตาเลย”
ในใจของปิงเว่ยเซียนจื่อหนาวเยือกขึ้นเล็กๆ
กระทั่งยามนี้ พลังของจ้าวเฟิงอาจเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็ง ภายในยังคงยากที่จะคาดประเมิน
หลังจากที่ฉินคุนอู๋พ่ายแพ้ โอรสสวรรค์สามตาก็เอ่ยคำชื่นชม:”ฉินคุนอู๋ เจ้าพ่ายแพ้อย่างสมเกียรติแล้ว เพราะพลังฝึกตนของคู่ต่อสู้เหนือกว่าเจ้า การจะทำลายกำแพงของขอบเขตนี้ไม่มีหลักวิธีการมากมายนัก”
คำวิจารณ์นี้ในยามเดียวกับที่ให้ความคิดเห็นกับฉินคุนอู๋ก็ยังได้มีนัยดูหมิ่นจ้าวเฟิงอยู่ลางๆ
มันมีความหมายว่าจ้าวเฟิงใช้พลังฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่า ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ วิธีการเอาชนะหยาบกระด้างไร้ฝีมือยิ่งนัก
จ้าวเฟิงทำเพียงแย้มยิ้ม
ยามที่พลังฝึกตนของเขาด้อยกว่าคน เขาก็ยังสามารถข้ามขั้นท้าประลองและเอาชนะได้ แม้ว่าจะค่อนข้างลำบากอยู่บ้างทว่าก็ยังคงชนะอย่างต่อเนื่อง
ในยามนี้ การใช้พลังฝึกตนบดขยี้คู่ต่อสู้เช่นนี้ทั้งผ่อนคลายและน่าพึงพอใจ เขาชมชอบยิ่งนัก
หลังจากที่ฉินคุนอู๋พ่ายแพ้ อัจฉริยะเซียนมังกรคนอื่นๆ ก็ได้ท้าประลองจ้าวเฟิงไปคนแล้วคนเล่า
ทว่า
ผลลัพธ์สุดท้ายของพวกเขามีเพียงหนึ่ง
นั่นคือ …พ่ายแพ้ในเสี้ยววินาที
จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่เดิม ท่าทีผ่อนคลายเกียจคร้าน แต่ล่ะครั้งใช้หนึ่งกระบวนท่าเอาชนะศัตรู
แม้ว่าจะเป็นคนหลายคนพลัดกันต่อสู้กับคนผู้เดียวนับเป็นการตัดกำลัง ทว่ามันไร้ความหมายต่อเขา