บทที่ 524 การฝึกตนที่แสนยาวนาน
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น คนในสาขาหลักลัทธิโลหะเลือดก็ถูกพลังประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของนักพรตไป๋หยุนแทรกซึมเข้าไป
ภายในสาขาหลัก สมาชิกทั้งหลายของลัทธิโลหะเลือดล้วนแต่รู้สึกได้ถึงพลังเซียนที่เลือนรางแต่รุนแรงยิ่ง ทุกคนเกิดความรู้สึกประหลาดราวกับโดนแม่น้ำอันกว้างใหญ่กดทับอยู่ ซ้ำยังเหมือนใจและกายถูกแทรกซึม
พลังกดทับที่ไร้ซึ่งคำอธิบายนี้ช่างทำให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนและหายใจยากลำบาก
นี่ขนาดว่านักพรตไป๋หยุนพยายามออมมือเพราะเพียงแค่ต้องการจะใช้พลังสืบหาตำแหน่งของจ้าวเฟิง ถ้าหากว่าใช้พลังทั้งหมดที่มีในขั้นของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดล่ะก็ เกรงว่าผู้ที่มีพลังวิญญาณอ่อนแอจะต้องกระอักเลือดคาที่แน่นอน
“ท่านนักพรตผู้อาวุโส จ้าวเฟิงมิได้อยู่ ณ สาขาหลักของลัทธิโลหะเลือดหรอก เมื่อหลายวันก่อนเขาออกไปฝึกตนภายนอก ไม่มีผู้ใดรู้ข่าวคราวว่าเขาจะไปที่ไหนเลย” ชายผมแดงเถี่ยหมัวส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ
เขาจำได้รางๆ ว่าตอนที่จ้าวเฟิงออกเดินทางไปมีเจ้าแมวขโมยตัวน้อยบนหลัง มันทิ้งเหรียญทองแดงโบราณเกิดเป็นเสียงดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’
แต่ว่านักพรตไป๋หยุนดูจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ มิฉะนั้นเขาคงไม่ปลดปล่อยพลังประสาทสัมผัสเข้าใส่คนทั้งสาขาหลักของลัทธิโลหะเลือดอย่างแน่นอน
“เบื้องหลังของนักพรตไป๋หยุนผู้นี้คือ ‘สำนักเทียนหยวน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสำนักระดับสูงของทวีปเสียด้วย” จ้าวลัทธิหงใจหายวูบพลางรู้สึกเหงื่อตกแทนจ้าวเฟิง
นักพรตไป๋หยุนนับได้ว่ามีตำแหน่งค่อนข้างสูงในบรรดาผู้สูงศักดิ์ของทวีป อีกทั้งยังมีประสบการณ์ที่ลึกล้ำ เอาเป็นว่าถึงจะเป็นจ้าวลัทธิหงยามที่อยู่ในจุดสูงสุดก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักพรตไป๋หยุน
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้จ้าวลัทธิหงยังไม่ฟื้นคืนพลังมาทั้งหมด
ต่อให้ไม่พูดถึงพลังของผู้สูงศักดิ์ แต่สำนักเทียนหยวนก็เป็นสิบพรรคใหญ่ในทวีป โดยปกติแล้วการเป็นพรรคระดับหนึ่งดาวได้ก็นับได้ว่าแข็งแกร่งกว่าลัทธิโลหะเลือดอยู่มากทีเดียว
“เด็กคนนั้นไม่อยู่จริงรึ?” นักพรตไป๋หยุนดึงพลังประสาทสัมผัสจิตวิญญาณกลับมาแล้วจึงขอโทษขอโพยจ้าวลัทธิหง
การค้นหาเมื่อครู่เขาไม่ได้ปล่อยพลังของผู้สูงศักดิ์ทั้งหมดออกไป ทว่าปล่อยแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ถือได้ว่าเขายังห่วงใยในจ้าวลัทธิหงอยู่
ในการค้นหาเมื่อครู่นักพรตไป๋หยุนก็พบ ‘หยูเทียนฮ่าว’ ที่เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ด้วย
“เทียนฮ่าว เจ้าก็อยู่ที่นี่รึ?” น้ำเสียงของนักพรตไป๋หยุนมีความยินดี ยิ้มน้อยๆ อย่างค่อนข้างจะเกรงอกเกรงใจอยู่ในที
สวบ!
หยูเทียนฮ่าวก้าวยาวๆ เข้ามาภายในตำหนักรอง พลังท่าร่างของเขาลึกล้ำเกินกว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดา
“ฮ่ะฮ่ะ ที่แท้เจ้าก็มาตามหาจ้าวเฟิงเช่นกันรึ?” จากการสอบถาม นักพรตไป๋หยุนก็ได้รับคำตอบที่ค่อนข้างน่าตกใจทีเดียว
“ไม่ผิด แต่ข้ารอนานไม่ได้หรอก” หยูเทียนฮ่าวตอบ
นักพรตไป๋หยุนอดคิดไม่ได้ บิดาของหยูเทียนฮ่าวผู้นี้คือหยูซิงเฉิน ในบรรดาผู้สูงศักดิ์ในทวีปความสามารถทางการรบของเขาถือว่าโดดเด่นยิ่งนัก อีกทั้งตระกูลหยูยังมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาด้วย
ด้วยความสามารถที่โดดเด่นของหยูเทียนฮ่าว หากจะเข้าร่วมสามตำหนักเซียนก็ช่างง่ายดายยิ่งนัก น่าจะทำได้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนนั่นแล้ว
แต่ว่าจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เข้าร่วมกับสามตำหนักเซียน
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว
อาณาจักรนภา บริเวณปากคุ้งน้ำ
บริเวณรอบๆ แม่น้ำลึกเชี่ยวกรากมีหน้าผาสูงชันหลายแห่ง ทั่วทุกมุมเต็มไปด้วยพฤกษานานาพรรณ แต่กลับมีไอน้ำในรัศมีหลายลี้บดบังสายตาไว้ บนยอดเขาในศูนย์กลางของไอน้ำมีชายหนุ่มผมสีน้ำเงินผู้หนึ่งนั่งอยู่
จิ๊ดจิ๊ดจิ๊ด!
ไอน้ำในบริเวณนั้นในบางครั้งก็มีสายฟ้าผุดออกมาเป็นเส้นๆ ลมเย็นไร้รูปร่างที่ราวกับปลายมีดวนเวียนอยู่รอบๆ ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินไม่ขยับตัวก็มีวายุอัสนีสีเขียวหยกขึ้นอยู่ทั่วร่างกาย
จี๊ด!
เมื่องมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ภายในวายุอัสนีสีเขียวมีไอสีม่วงจางๆ ซ่อนอยู่ภายในประมาณหนึ่งในสิบส่วน เมื่อไอสีม่วงนั้นขยับอย่างรุนแรงจะแผ่กระแสแห่งการทำลายล้างออกมาด้วย
กระแสแห่งการทำลายล้างนี้ทำให้พวกหนอนอสูรภายในรัศมีหลายลี้ต่างรู้สึกไม่สงบเหมือนยามก่อนจะเกิดภัยพิบัติ เนื่องจากหนอนอสูรเหล่านี้มีความสามารถในการรับรู้ถึงภัยร้ายล่วงหน้า
เวลาเคลื่อนผ่านไป
ไอพลังสีม่วงเส้นเล็กราวกับหลอมรวมอยู่ในวายุอัสนีสีเขียวนั้นแล้ว
ฟู่!
กลางฝ่ามือชายหนุ่มผมสีน้ำเงินปรากฏลูกพลังสายฟ้าลูกหนึ่ง ใจกลางลูกพลังนี้มีกลุ่มพลังสีม่วงไหวระริกอยู่อย่างเห็นได้ชัด
ในวินาทีนั้นเอง ลูกไฟวายุอัสนีสีเขียวพลันเพิ่มระดับไอพลังมากขึ้นเป็นเท่าตัว ดูเหมือนเงียบสงบยิ่งนักแต่กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกล้ำ ภายนอกเป็นลูกพลังที่หมุนวน ทว่าภายในนั้นเปลี่ยนรูปร่างไปมาไม่ชัดเจน
ฉับพลันไอพลังที่เต็มไปด้วยการทำลายล้างก็ถูกปล่อยออกไป สิ่งมีชีวิตในรัศมีสิบลี้ตายเกลี้ยงไม่เหลือ
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวสีเทาเงินตัวหนึ่งซึ่งปรากฏตัวบนไหล่ของชายหนุ่มมีทีท่าตกใจ
“วายุอัสนีสีม่วงที่ซ่อนอยู่นี้ช่างแข็งแกร่งนัก จำนวนเพียงเล็กน้อยก็ต้านวายุอัสนีสีเขียวสิบกว่าส่วนได้สบายๆ” ในแววตาของจ้าวเฟิงมีความตื่นเต้นแฝงอยู่
ตั้งแต่กลับออกมาจากซากปรักหักพังสือเฉิงเวลาผ่านก็ไปนานแล้ว จ้าวเฟิงมีความเข้าใจลึกซึ้งในอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ตามหลักการแล้ว ‘วายุอัสนีสีม่วง’ ขั้นสูงกว่านี้ปกติต้องอยู่ในระดับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดถึงจะสามารถฝึกจนบรรลุได้
แต่ว่าแหล่งกำเนิดวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งนัก การเรียนรู้ฝึกฝนไม่เหมือนคนทั่วไป เขายังทะลวงไม่ถึงขั้นนายเหนือขั้นแท้ก็เริ่มลองฝึกฝนวิชาวายุอัสนีสีม่วงแล้ว
ในทุกวันนี้จิตวิญญาณของจ้าวเฟิงเมื่อเทียบกับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว ขอบเขตวิญญาณกับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแข็งแกร่งแทบไม่ต่างกันเลย
หลายเดือนที่ผ่านมาความเข้าใจที่เขามีต่อวายุอัสนีสีม่วงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ฟู่~
‘กลุ่มลูกไฟวายุอัสนี’ ที่จ้าวเฟิงควบคุมมีใจกลางเป็นชั้นสีม่วง บริเวณภายนอกค่อยๆ ไล่มาเป็นสีเขียว ความกลมกลืนของลูกไฟทั้งสองมากขึ้นเรื่อยๆ
“ใช้ ‘วายุอัสนีสีม่วง’ เป็นจุดศูนย์กลางการหลอมรวม ส่งผลให้วายุอัสนีสีเขียวมีพลังในการทำลายล้างมากขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัวเลย” ใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
ต้องรู้ไว้ว่ายามที่จ้าวเฟิงประลองกับโอรสสวรรค์สามตาเขายังไม่ได้ใช้วายุอัสนีสีม่วงโจมตีอย่างแท้จริง จะใช้ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นในยามที่หลบหลีกวิชาดวงตาต้องห้าม
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จ้าวเฟิงเข้าใจเคล็ดวิชาวายุอัสนีสีม่วงมากกว่ายามก่อนเป็นเท่าตัว
ที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อศึกษาวายุอัสนีสีม่วงนี้จนลึกซึ้งจะยิ่งเข้าถึงใจกลางของพลังวายุอัสนีของตัวเอง จึงทำให้ยิ่งควบคุมพลังได้ดียิ่งขึ้น
พรึ่บ พรึ่บ!
เพียงจ้าวเฟิงโบกมือ ลูกพลังสายฟ้ากลุ่มนั้นหายวับไปกับไอพลังสีม่วงซึ่งอยู่ในใจกลาง
“ฝึกตนมาสองเดือนกว่า ไม่รู้ว่าจ้าวลัทธิหงออกจากการฝึกตนแล้วสถานการณ์ของอาณาจักรนภาจะเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวเฟิงเพิ่งจะนึกถึงหน้าที่รองจ้าวลัทธิของตนเองขึ้นมาได้
เมี้ยว เมี้ยว! เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่ยืนบนไหล่ของเขาเขย่าเหรียญทองแดงโบราณดังกรุ๊งกริ๊ง จากนั้นจึงส่ายหัวไปมา
“หืม? ความหมายของเจ้าคือให้ข้าฝึกตนต่อไป….” จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย
เขาออกมาปิดด่านฝึกตนในครั้งนี้มีเจ้าแมวคอยแนะทางให้ เจ้าแมวตัวนี้มีพลังช่วยปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย จ้าวเฟิงจึงเชื่อไปเกินครึ่ง
เขาคิดว่าหากฝึกตนอยู่ที่ลัทธิโลหะเลือดแต่มีธุระต่างๆ รัดตัววุ่นวาย คงไม่น่าจะฝึกได้ผลดีเช่นที่นี่
ด้วยเหตุนี้ จ้าวเฟิงจึงเชื่อฟังการชี้ทางของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
“อืม มีจ้าวลัทธิหงที่เป็นผู้สูงศักดิ์อยู่ที่ลัทธิ ข้าจึงไม่ต้องห่วงที่นั่นมากนัก” จ้าวเฟิงจึงปิดตาลงอีกครั้ง
ถัดมาอีกหลายวัน เขาเริ่มศึกษาเคล็ดการโจมตีของมรดกวายุอัสนีจากพื้นฐานที่มีอยู่ในขณะนี้
สิบวันหลังจากนั้น จ้าวเฟิงฝึกมรดกวายุอัสนีไปได้สักพักก็พบอุปสรรคอีก
เมี้ยว เมี้ยว! เจ้าแมวขโมยสั่นเหรียญทองแดงโบราณแล้วส่ายหัวไปมาอีก
“ได้” เขารีบเปลี่ยนแนวทางมาเพ่งจิตเข้าไปใน ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’
ครั้งนี้เขาเพ่งกำลังจิตของตนไปยังพลังสายเลือดและเสวียนอ้าวของหอกจักรพรรดิเหมันต์เพื่อให้เข้าถึงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น
จ้าวเฟิงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ หลังออกจากการเข้าฌาน ยามเมื่อเขาเปิดตาออกจากการฝึกตนในครั้งนี้ แสงศักดิ์สิทธิ์ก็สว่างไสว ความเชื่อมั่นและความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็เพิ่มขึ้นมาก
การฝึกตนสามสี่เดือนติดต่อกันสำหรับจ้าวเฟิงแล้วนี่ถือว่าเป็นครั้งแรก
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยปิดด่านฝึกตนนานเช่นนี้เลย” จ้าวเฟิงอดทึ่งไม่ได้ เขาขยับจากผู้ฝึกตนขั้นสองขึ้นไปขั้นเจ็ดภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปีเท่านั้น
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวดึงเขย่าเหรียญทองแดงโบราณ ยังคงไม่แนะนำให้จ้าวเฟิงรีบกลับไปที่สาขาหลักของลัทธิโลหะเลือดเร็วเกินไปนัก
“ไม่ว่าทางไหนก็ยังพบอุปสรรคมากมาย ดึงดันปิดด่านต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” จ้าวเฟิงสั่นหัวน้อย ๆ
ช่วงสามสี่เดือนนี้ถือว่าเป็นเวลาที่เขาฝึกตนยาวนานที่สุดครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ ไม่ว่าจะอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณ เสวียนอ้าวของหอกจักรพรรดิเหมันต์ หรือว่าสายเลือดดวงตาล้วนแต่พบเจอกับอุปสรรคซึ่งไม่อาจทะลวงผ่านไปได้ในเวลาอันสั้น
“ไป!” บนร่างของจ้าวเฟิงหุ้มไปด้วยพลังสายฟ้าจนเกิดเป็นเงาสีม่วงเขียวหลายสาย แล้วร่างกายก็หายไปจากพื้นดินในพริบตา
หลายวันต่อจากนั้น ณ สาขาหลักของลัทธิโลหะเลือด
เงาสีเขียวม่วงซึ่งปล่อยไอพลังแห่งการทำลายล้างบินผ่านไปในชั้นเมฆ แล้วจึงร่อนลงที่หน้าตำหนักใหญ่
เมื่อจ้าวเฟิงร่อนลงบนพื้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทันใดนั้น ในใจของเขาก็เต้นระรัวด้วยความรู้สึกอันว้าวุ่น
“จ้าวเฟิง! หากเจ้าไม่กลับมาอีกข้าก็จะไปแล้ว”
น้ำเสียงที่ดังขึ้นจากยอดตำหนักใหญ่มีเจตนาส่งสาสน์ท้ารบอย่างเต็มที่ จ้าวเฟิงลอบมองแวบหนึ่ง เห็นเพียงแต่ชายหนุ่มผมสีดำนั่งอยู่ ณ ตำหนักใหญ่ไกลออกไปร้อยจั้งเบื้องหลังเขา
“หยูเทียนฮ่าว?” จ้าวเฟิงหน้าเหวอ หยูเทียนฮ่าวมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร?
ขณะที่เขากำลังฉงนสงสัย ไอสวรรค์ของฟ้าดินในที่นั้นก็สั่นสะเทือนเลือนลั่นราวคลื่นในมหาสมุทร พลังไร้รูปร่างแผ่ปกคลุมไปทั่ว
“จ้าวเฟิง! ข้ารอเจ้ามาหลายเดือนแล้ว” เสียงเย็นๆ เสียงหนึ่งดังมาจากด้านบนของตึกเบื้องหน้า
ขวับ!
บนยอดตึกเบื้องหน้าของจ้าวเฟิงมีนักพรตในชุดคลุมสีขาวราวเซียนปรากฏตัวขึ้น
ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด!
ใจของจ้าวเฟิงเย็นเฉียบ ร่างกายแข็งทื่อราวกับทุกลมหายใจเข้าออกช่างกินแรงเหลือเกิน
“ขอบังอาจถามผู้อาวุโส……” จ้าวเฟิงรู้สึกคุ้นตาชายชราในชุดขาวนี้อยู่บ้าง
“ตัวข้าเป็นอาจารย์ของจ้าวหยูเฟ่ย ผู้อาวุโสแห่งสำนักเทียนหยวน…” นักพรตไป๋หยุนเอ่ยเสียงเรียบ
อาจารย์ของหยูเฟ่ย? นักพรตไป๋หยุน?
ทั้งร่างกายและจิตใจของจ้าวเฟิงสั่นไหวเมื่อทราบจุดประสงค์ในการมาเยือนของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดผู้นี้
ทันใดนั้น จ้าวเฟิงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก บนท้องฟ้าก็มีไอระเรื่อของความหนาวเหน็บที่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่านักพรตไป๋หยุนเท่าไหร่นัก
กึก!
จ้าวเฟิงสั่นระริกเหมือนหลอดเลือดในร่างกายโดนแช่แข็ง
ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมาอีกท่านหนึ่งแล้ว เป็นใครกัน?
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าในความเย็นนั้นมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยอยู่
เมื่อแหงนศีรษะขึ้นมาก็ต้องตกใจสตรีนางนั้น
ในชั้นเมฆปรากฏสตรีชุดขาวถือคทาน้ำแข็ง บนศีรษะมีมงกุฎหงส์ ลอยละลิ่วลงลงมาจากฟ้าเหมือนเป็นราชินีหิมะผู้สูงศักดิ์
“ราชินีฉวนปิง!” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเมื่อมองฐานะของผู้มาเยือนออก
สตรีสวมมงกุฎหงส์ในอาภรณ์ขาวนี้ก็คือผู้ควบคุมวังฉวนปิงแห่งทวีปเหนือสุดซึ่งเคยปรากฏกายที่แท่นดาวเหนือ ณ สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว
การที่พบเจอนางโดยฉับพลันเช่นนี้ทำให้แววตาของจ้าวเฟิงมีแววสงสัยพาดผ่าน
นักพรตไป๋หยุนดั้นด้นมาหาเขา จ้าวเฟิงยังพอเดาได้ว่ามาด้วยสาเหตุใด แต่ราชินีน้ำแข็งผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับเขาเพียงอย่างเดียวคือ ‘ปิงเวยเซียนจื่อ’ ลูกศิษย์ของนาง
แต่ความแค้นระหว่างเขาและปิงเวยเซียนจื่อเป็นเพียงแค่ความบาดหมางเล็กน้อยของคนรุ่นหลังก็เท่านั้น ไม่อาจนับว่าเป็นความแค้นใหญ่หลวงใดๆ ได้
พูดตามหลักการแล้ว นี่ไม่ควรจะเป็นเหตุผลให้ราชินีน้ำแข็งผู้เป็นถึงผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดต้องออกโรงด้วยตัวเอง
พรึ่บ! พรึ่บ! เงาของชายหญิงคู่หนึ่งปรากฏกายขึ้นทางซ้ายและขวาของราชินีน้ำแข็ง เงาหนึ่งเป็นชายวัยรุ่นเรือนผมสีทองและอีกหนึ่งคือดรุณีน้ำแข็ง
“โอรสสวรรค์สามตา! ปิงเวยเซียนจื่อ!” จ้าวเฟิงนัยน์ตาเบิกกว้าง ยามเมื่อเห็นโอรสสวรรค์สามตาเขาก็เริ่มเดาเหตุผลการมาถึงของคนทั้งสาม
“จ้าวเฟิง! การตายของบิดาข้าเกี่ยวข้องกับเจ้าใช่หรือไม่…”
โอรสสวรรค์สามตาเอ่ยเสียงเหี้ยมด้วยความโมโห