บทที่ 532 สังหารผู้สูงศักดิ์
ฟากหนึ่งคือ ‘ขั้นผู้สูงศักดิ์’ ผู้ส่งปราการลอยลงมาจากฟ้าหมายล้อมปลิดชีพเขา อีกฟากคือโอรสสวรรค์สามตาผู้ทุ่มเทกำลังใช้ดวงตาแสงศักดิ์สิทธิ์เล็งเป้าหมายเขาไว้
ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้จ้าวเฟิงใช้ ‘ปีกวายุอัสนี’ ก็ไม่อาจจะทะลวงค่ายกลนี้แล้วหลบหนีการไล่สังหารของคนทั้งสอง ทว่าจ้าวเฟิงที่กำลังตกอยู่ในอันตรายก็ไม่ได้มีความคิดที่จะหลบหนีแต่อย่างใด
ฟู่! หมอกสีเทาหมุนวนทั่วร่างของจ้าวเฟิง
พรึ่บ! ภายในหมอกนั้นปรากฏเงาของโครงกระดูกรูปร่างอย่างมนุษย์ ทั่วร่างเป็นโครงกระดูกสีทองและสีเงินไขว้ไปมา ภายในเบ้าตามีลูกไฟสีแดงเต้นเร่าอยู่
“นั่นคือ…”
ราชินีน้ำแข็งสบตากับลูกไฟสีแดงในเบ้าตาของโครงกระดูกสีทองเงิน ดวงใจนางเต้นถี่ระรัว กลิ่นอายจิตวิญญาณของคนตายเน่าคละคลุ้งแทรกซึมมาในอากาศ ขนาดผู้ที่อยู่ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอย่างราชินีฉวนปิงยังสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แสนแปลกประหลาดนี้
แท้จริงแล้วนี่เป็นวิชาด้านจิตวิญญาณที่เจ้าหอโครงกระดูกถนัดเป็นอย่างมาก ถ้าหากเป็นในช่วงเวลาที่เขารุ่งโรจน์ล่ะก็ ถึงแม้จะเป็นผู้สูงศักดิ์ในระดับขั้นเดียวกันอาจจะถูกเขาดูดพลังชั้นจิตวิญญาณจนตายก็เป็นได้
ในเวลานั้นเอง จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกต่างพยายามจัดการกับแท่งวายุเหมันต์ขนาดใหญ่ที่ยังกักขังพวกเขาไม่หยุด
“เหอะเหอะ…วิชามรดกของวังฉวนปิง” เจ้าหอโครงกระดูกหัวเราะเสียงเย็น ในมือปรากฏ ‘แส้กระดูก’ ที่ถักทอจากโครงกระดูกสีทองและเงิน ลำแสงสีม่วงแดงเต้นระริกยามสะบัดแส้ ดูแล้วละม้ายคล้ายกับมังกรที่เริงระบำอยู่ในกองเพลิง
พรึ่บ พลั่ก ผลัวะ —
ยามฟาดแส้กระดูกสีทองเงินของจ้าวหอโครงกระดูกกระทบกับแท่งน้ำแข็งที่เป็นปราการใกล้ตัว กำแพงนั้นค่อยๆ ปริออกทีละชั้น
แต่ทว่าแท่งวายุเหมันต์ที่ราชินีน้ำแข็งสร้างขึ้นมาเป็นเขตมนตราที่โจมตีแบบต่อเนื่อง โดยดึงเอาไอสวรรค์จากน้ำแข็งธรรมชาติมาใช้เรื่อยๆ ดังนั้นการจะทำลายมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ม่วงพิฆาต วายุอัสนีทำลาย!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด จ้าวเฟิงจึงไม่กล้าออมมือมาก เขาเรียกลูกไฟสีม่วงอ่อนออกมากลางฝ่ามือ รอบๆ ลูกไฟมีวายุอัสนีสีเขียวเข้มวิ่งวนอยู่ ยามบิดโค้งเพียงครู่เดียวก็ปล่อยลำแสงทำลายล้างสีเขียวม่วงออกมา บริเวณโดยรอบพลันปกคลุมไปด้วยวงแหวนวายุอัสนีที่มีกลิ่นอายต้องห้ามแข็งแกร่ง
เปรี้ยง ตูม พลั่ก!
วงแหวนวายุอัสนีที่มาจากลำแสงสีเขียวม่วงนี้ปล่อยไอพลังแห่งการทำลายล้างเพื่อทำลายปราการน้ำแข็งที่อยู่ใกล้ๆ ลงทีละชั้น
ชั่วเวลานั้นจ้าวเฟิงกับจ้าวหอโครงกระดูกร่วมมือกันแล้วต้านทานการถูกล้อมสังหารโดยผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้สำเร็จ
พลังของจ้าวหอโครงกระดูกฟื้นคืนมาราวหกเจ็ดส่วนแล้ว สามารถรับพลังโจมตีได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นแต่กลับไม่รู้สึกกดดันแต่อย่างใด แส้กระดูกในมือโบกสะบัดไปมา ปรากฏออกเป็นเงาเปลวเพลิงโครงกระดูกมังกร
ต่อให้ไอเหมันต์ที่หลงเหลืออยู่ปะทะโดนร่างของจ้าวหอโครงกระดูกก็ไม่ได้น่ากังวลอะไร
ด้วยร่างโครงกระดูกสีทองเงินของจ้าวหอโครงกระดูกสร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบ ต่อให้เป็นเวลานี้เขาก็ยังสามารถผ่อนแรงโจมตีจากผู้สูงศักดิ์ได้ถึงหกเจ็ดส่วน
เมื่อเทียบกันแล้ว พลังเสวียนอ้าวของวายุอัสนีสีม่วงที่จ้าวเฟิงเรียกมาถูกกระตุ้นไปจนถึงขีดสุดแล้วผ่อนแรงโจมตีได้ครึ่งหนึ่ง ทว่าร่างกายยังโดนไอเย็นกัดกร่อนไปไม่น้อย
แปะ แปะ!
โชคดีที่พลังสายเลือดของเขาสามารถทำให้เหมันต์วารีผันแปร จึงดูดซับเอาไอเย็นแล้วยังฟื้นฟูบาดแผลได้ด้วย
จ้าวเฟิงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจให้กับความแตกต่างของตัวเองและจ้าวหอโครงกระดูก
“ที่แท้ก็เป็นผู้สูงศักดิ์พิกลพิการ!” ราชินีฉวนปิงผู้ลอยตัวอยู่ในอากาศเหนือศีรษะพวกเขาหัวเราะเยาะเย้ย เมื่อนางกดฝ่ามือลงก็เห็นเพียงเงาภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ราวร้อยจ้างดิ่งลงมาด้านล่าง หอบเอาลมเย็นหนาวเหน็บพัดผ่านมาพร้อมแรงกดมหาศาลที่ข่มขวัญและน่ากลัว
ขณะที่ภูเขาน้ำแข็งยักษ์นี้กดทับลงมา ท้องฟ้าและภายใต้พื้นพสุธาสั่นน้อยๆ ราวกับเป็นพลังจากการพังทลายของธารน้ำแข็งธรรมชาติซึ่งยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์จะต่อกรได้
ท่าไม่ดีแล้ว! จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน
การโจมตีของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ทุกกระบวนท่าล้วนกลายเป็นศูนย์กลางของไอสวรรค์จากฟ้าดิน ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือประหนึ่งหยิบยืมเอาพลังจากธรรมชาติมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
จ้าวเฟิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด รู้สึกว่าเงาของภูเขาน้ำแข็งขนาดมโหฬารนั่นดูดเอาไอสวรรค์จากธรรมชาติมาอย่างไร้ขีดจำกัดใดๆ
ในบริเวณที่เขายืนอยู่นี้ราวกับถูกปิดตายอย่างไรอย่างนั้น
แล้วที่ไกลออกไปยังมีโอรสสวรรค์สามตายืมคุมเชิงอยู่อีก
ตูม!
ภูเขาน้ำแข็งขนาดกว่าร้อยจ้างประหนึ่งสายธารพังทลาย มันปล่อยพลังเหมันต์น่าสะพรึงกลัวไหลทะลักออกมาไม่หยุดจนคนทั้งสองที่อยู่ด้านล่างร่างกายสั่นไหว
เจ้าหอโครงกระดูกพยายามฝืนต้านพลังได้ แต่จ้าวเฟิงแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว
ในวินาทีที่สำคัญนั้นเอง ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน ตาเขาประหนึ่งห้วงน้ำเย็นที่ยะเยือกจนลึกซึมเข้าไปในกระดูก
วิ้ง!
เรือนผมสีน้ำเงินของจ้าวเฟิงโบกสะบัด ด้านหลังของเขาปรากฏเงาลำแสงเหมันต์สูงใหญ่ที่สวมมงกุฎไว้บนศีรษะ ในมือถือกระบี่ขนาดใหญ่สีดำ ด้านล่างคือบัลลังก์น้ำแข็ง
ฉับพลัน พลังเหมันต์ที่เข้าใกล้จ้าวเฟิงล้วนแต่โดนบัลลังก์น้ำแข็งและเงาลำแสงเหมันต์นั่นดูดเอาพลังไปจนหมดสิ้น
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ช่วยให้จ้าวเฟิงลดแรงกัดกร่อนจากพลังเหมันต์ของเงาภูเขาน้ำแข็งได้เท่านั้น
เงาภูเขาน้ำแข็งนั่นเต็มไปด้วยพลังธรรมชาติดุจธารน้ำแข็งที่ถล่มลงมา สามารถทำให้คนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้อย่างรวดเร็ว
และในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง
“สามเนตรแสงศักดิ์สิทธิ์ เพลิงอีกาทองเผาโลกา!”
ดวงตาที่สามบนหน้าผากของโอรสสวรรค์สามตาที่อยู่ไกลๆ ปล่อยพลังสีทองเรืองรองดุจแสงอาทิตย์ออกมา
พรึ่บ!
เปลวไฟลักษณะคล้ายอีกาสีทองโฉบออกมา แล้วจึงกลายร่างเป็นลำแสงเจิดจ้าพุ่งทะลุอากาศตรงมาหาจ้าวเฟิงในทันที ความแค้นที่โอรสสวรรค์สามตามีต่อจ้าวเฟิงนั้นเรียกได้ว่ามิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้
ทั้งพลังดวงตาและการโจมตีใดๆ ของเขาเจาะจงที่จ้าวเฟิงโดยเฉพาะ
“เพลิงวายุอัสนีเนตรเทพเจ้า!”
จ้าวเฟิงทำได้เพียงแค่ใช้พลังดวงเนตรปัดป้องการโจมตีของโอรสสวรรค์สามตาเท่านั้น
แต่ว่าพลังมหาศาลราวธารน้ำแข็งถล่มจากเงาภูเขานั้นก็ใกล้เกินขีดจำกัดที่จ้าวเฟิงจะรับไหวแล้ว ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือแรงกดดันส่วนมากเจ้าหอโครงกระดูกเป็นผู้แบกรับไว้แล้วด้วยซ้ำ
ณ เวลานั้นเอง ในดวงตาของเจ้าหอโครงกระดูกก็เกิด ‘ความยินดี’ สว่างวาบออกมา
“ถ้าหากจ้าวเฟิงตายในวิกฤติครั้งนี้ ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ที่หยั่งรากอยู่ในจิตของข้าก็จะไม่อาจทำอะไรข้าได้อีก” แน่นอนว่าเจ้าหอโครงกระดูกก็มิกล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย
ความสามารถในการควบคุมทุกอย่างของจ้าวเฟิงลึกล้ำเกินกว่าใครจะคาดเดาได้ เขาได้เพียงแต่แอบหวังว่าแรงโจมตีจากราชินีฉวนปิงจะรุนแรงกว่านี้อีกสักหน่อย ยิ่งสถานการณ์คับขันเท่าไหร่ การที่เขาจะหลุดออกจากควบคุมของจ้าวเฟิงก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นเท่านั้น
“หอกจักรพรรดิเหมันต์…จงปรากฏ!” ในมือของจ้าวเฟิงมี ‘เงาหอกเหมันต์สีฟ้า’ ลักษณะโปร่งแสงปรากฏขึ้น
ฟิ้ว~
พลังเย็นยะเยือกที่ไร้รูปร่างลอยตามลมมาแช่แข็งบริเวณนั้น ไอสวรรค์และสรรพสิ่งต่างๆ ล้วนแต่ถูกแช่แข็งในทันที
เงาหอกเหมันต์มีลักษณะเป็นผลึกน้ำแข็งแวววาว เมื่อปลายยอดของมันชี้ไปที่สิ่งไหน สรรพสิ่งนั้นจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้กระทั่งเงาภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมาก็ถล่มลงแตกละเอียดเป็นผุยผง
ทันทีที่เงาอาวุธชั้นพิภพปรากฏออกมา พลังการรบของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นจนอยู่เหนือกว่าเจ้าหอโครงกระดูกเล็กน้อยเลยทีเดียว
“ทำลาย!” ทั้งจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกต่างเพิ่มพลังโจมตีให้รุนแรงมากขึ้นพร้อมกันเพื่อทำลายท่าไม้ตายของราชินีฉวนปิง
“เจ้าหอโครงกระดูก มีความเป็นไปได้กี่ส่วนที่จะสังหารราชินีฉวนปิงได้” น้ำเสียงของจ้าวเฟิงสื่อสารผ่าน ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ ไปยังเจ้าหอโครงกระดูก
อะไรกัน! สังหารผู้สูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องหน้านี่น่ะหรือ?
เจ้าหอโครงกระดูกสะดุดไปชั่วขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวไปครู่หนึ่ง
“นายท่าน การที่พวกเราจะเอาชีวิตรอดภายใต้การโจมตีของนางก็นับว่ายากยิ่งแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะรอดออกไปหรือไม่ ถ้าถึงกับจะปลิดชีพนาง ข้าว่าความเป็นไปได้น่าจะเป็นศูนย์ นอกเสียจากข้าอยู่ในยุครุ่งโรจน์ก็อาจยังพอมีหวังบ้าง…” ในแววตาเจ้าหอโครงกระดูกมีความไม่พอใจ
เขาออกจะไม่เข้าใจ พลังคาดเดาสถานการณ์จากดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจะมองหมากกระดานนี้ไม่ออกเชียวรึ?
แต่ทว่าสถานการณ์เช่นนี้จ้าวเฟิงจะมองไม่ออกได้อย่างไร?
ต่อให้เขาและเจ้าหอโครงกระดูกร่วมมือกัน เกรงว่าคนทั้งสองหากจะสังหารราชินีฉวนปิงและมีชีวิตรอดคงต้องมีค่าใช้จ่ายราคาแพงอยู่เหมือนกัน ต่อให้ทำได้สำเร็จเจ้าหอโครงกระดูกก็น่าจะต้องกลับไปอยู่ในสภาพเดิม
“หึ! ประลองกับข้ายังบังอาจไม่ใส่ใจอีก” ราชินีฉวนปิงเหยียดมุมปากเยาะเย้ยแล้วจึงยกมือขึ้นเรียกมังกรเหมันต์วายุขนาดใหญ่ พลังนั้นรุนแรงยิ่งกว่าการโจมตีสองครั้งเมื่อครู่
เจ้าหอลัทธิโครงกระดูกใจเต้นถี่ การปะทะกันครานี้ตึงเครียดกว่าเมื่อครู่นัก
“เหอะเหอะ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้สูงศักดิ์ แบบนี้สิดี” เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังมาจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงิน
หัวเราะ? นี่เขายังหัวเราะออกอีกหรือ?
เจ้าหอโครงกระดูกโกรธจนหน้าเขียว ถ้าหากจ้าวเฟิงตายไปเขาต้องเผชิญหน้ากับราชินีฉวนปิงเพียงคนเดียว และเป็นไปได้มากทีเดียวว่าเขาอาจจะสลายหายไปเลยก็ได้
หือ? จ้าวหอโครงกระดูกพบว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น จ้าวเฟิงไม่ได้คอยกระตุ้นพลังของเงาอาวุธชั้นพิภพอีกแล้ว
พรึ่บ!
ในมือของเขามีเครื่องรางหยกสลักลายมังกรชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น
“นั่นคือ…” ราชินีฉวนปิงผู้อยู่กลางอากาศใจเต้นระรัวเมื่อรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบพากลบางอย่าง
“โล่มังกรหยก! จงเปิด!”
เครื่องรางสลักลายมังกรในมือของจ้าวเฟิงเรืองแสงเจิดจ้า แล้วจึงมีลำแสงระยิบระยับเป็นรูปร่างของเงามังกรโบราณขนาดใหญ่ทะยานออกมา
ครืน~
เสียงคำรามต่ำๆ ของมังกรโบราณลอยมาในสายลม เงาขนาดใหญ่ของมันปล่อยพลังเหนือฟ้าดินแสนทรงพลังออกมา
“อะไรกัน! นั่นมัน…” จ้าวหอโครงกระดูกและราชินีฉวนปิงล้วนแต่สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งจนไม่อาจคาดเดาได้
“หรือว่านี่คือโล่พลังเซียนในตำนานกัน? แต่ว่า…” ส่วนลึกในวิญญาณของเจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่พุ่งมากระทบ ร่างกายแข็งทื่อ ลูกไฟแดงในเบ้าตานิ่งสนิทแทบไม่เคลื่อนไหว
ในวินาทีนั้นเอง ไอสวรรค์จากฟ้าดินในรัศมีร้อยลี้มีพลังอันแข็งแกร่งทะลักออกมา พลังนั้นข่มจิตวิญญาณของสรรพสัตว์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ จนต้องสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
“จงทำลาย!” จ้าวเฟิงกระตุ้นเครื่องรางแล้วจึงชี้ไปที่ราชินีฉวนปิง
พรึ่บ พรึ่บ–
เงามังกรโบราณขนาดใหญ่บินแหวกอากาศตรงไปยังราชินีฉวนปิง ด้วยพลังเซียนอันแข็งแกร่งของมังกรจึงทำให้ทุกที่ที่มันบินผ่านไอสวรรค์ทั้งฟ้าดินล้วนแต่สั่นสะเทือน
เพล้ง!
สิ่งที่แหลกละเอียดเป็นอย่างแรกคือมังกรเหมันต์ ทั้งสองเดิมทีมิได้อยู่ในระดับพลังขั้นเดียวกันอยู่แล้ว
“ไม่… อย่า…”
ราชินีฉวนปิงร้องโหยหวนเสียงแหลม วิญญาณของนางถูกกักขังไว้ภายใต้ไอพลังของมังกรโบราณแล้ว เช่นนั้นต่อให้อยากหลบหนีสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจหลบได้พ้นเลย
ในความเป็นจริงแล้ว
ความเร็วในการโจมตีของโล่มังกรหยกนั้นไม่ได้รวดเร็วเท่าไหร่นัก ทิศทางก็เป็นไปอย่างชัดเจน แต่ราชินีฉวนปิงก็ยังหลบไม่พ้น
ยามเมื่อใช้พลังถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็อยู่เหนือความเป็นจริงไปเสียสิ้น
“อ๊า….” ราชินีฉวนปิงกรีดร้องโหยหวน เกราะป้องกันที่สร้างขึ้นอย่างแข็งแกร่งบอบบางราวกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น ไม่นานนักก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งยังสลายกลายเป็นฝุ่นควันจากพลังเซียนอันแข็งแกร่งสะเทือนฟ้าดิน
“เจ้าตำหนัก…” โอรสสวรรค์สามตาผู้ยืนอยู่ไกลๆ ตกใจจนวิญญาณแทบจะลอยหลุดออกจากร่าง ทั้งร่างกายสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดเผือด
ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงสุดในทวีปกลับตายด้วยเครื่องรางหยกแผ่นหนึ่งในมือของจ้าวเฟิง
“พลังของ ‘โล่มังกรหยกนี้’ แข็งแกร่งกว่า ‘โล่พลังเซียน’ ที่เย่หยานหยูเคยใช้อย่างเห็นได้ชัดเลย” ใจของจ้าวเฟิงเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บน ‘เครื่องรางหยกสลักมังกร’ ในมือของเขาปรากฏรอยแตกเส้นหนึ่ง ลำแสงก็พลันมืดลงไปครึ่งหนึ่ง
พูดกันตามตรงคือ ‘โล่มังกรหยก’ ก็นับว่าเป็นโล่พลังเซียนชนิดหนึ่ง เพียงแต่พิเศษกว่า อีกทั้งวัตถุดิบที่ใช้ทำขึ้นมีสายเลือดของมังกรโบราณเป็นหนึ่งในส่วนประกอบด้วย!
เจ้าหอโครงกระดูกที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดยังอ้าปากค้าง ในใจเย็นวาบ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจ้าวเฟิงจะเก็บงำความลับนี้ไว้ไม่เคยเผยออกมา พอเอาออกมาใช้สังหารใครสักคน คนๆ นั้นกลับเป็นถึงผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไปเสียนี่
ในเวลานั้น จ้าวเฟิงเก็บเครื่องรางหยกนั่นพอดีแล้วคล้ายจะเหลือบมองเจ้าหอโครงกระดูกแวบหนึ่ง
ใจของเจ้าหอโครงกระดูกกระตุก รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่เท้าขึ้นมาจนถึงศีรษะ ทั้งร่างกายเย็นเฉียบราวติดอยู่ในน้ำแข็ง