บทที่ 54 : อันดับของสี่ยอดอัจฉริยะ
“มันจบลงตรงนี้!”
ทุกคนล้วนใช้สายตาคาดหวังจับจ้องไป นึกสงสัยว่าซินหวู่เฮิงมีไม้ตายอันใดกันแน่
จ้าวเฟิงเองก็เต็มไปด้วยความคาดหวังขณะที่เขาโคจรพลังภายในอย่างช้าๆ
ในด้านของพลังโจมตีนั้น เขามีดรรชนีดารา และกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง ‘ดรรชนีชี้ดารา’ ซึ่งยังไม่ได้ใช้ออกมาก่อน ในด้านของพลังป้องกันนั้น วิชากำแพงเหล็กของเขาก็ได้เข้าสู่ระดับห้า การโจมตีของผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นเจ็ดไม่อาจทำอันตรายร้ายแรงแก่เขาได้ นอกจากนั้นพลังฝึกตนที่แท้จริงของเด็กหนุ่มยังอยู่ที่ขั้นหก
ใบหน้าของซินหวู่เฮิงราบเรียบราวสายน้ำ จากนั้นเขาจึงค่อยๆ กดมือของเขาลง พลังภายในของเขาหยุดรวมตัวกัน
หืม?
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้” อัจฉริยะตระกูลซินเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์
ยอมรับความพ่ายแพ้?
เหตุใดกัน?
ความวุ่นวายปรากฏขึ้นในบรรดากลุ่มคนดูในทันที พวกเขาส่วนมากรู้สึกสับสน
ซินหวู่เฮิงยอมรับความพ่ายแพ้?
กระทั่งเหล่ารุ่นก่อนบางคนก็อ้าปากค้าง ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าอัจฉริยะตระกูลซินผู้นั้นจะยอมแพ้ในกระบวนท่าที่เก้าสิบเก้า
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นทั้งจ้าวเฟิงและซินหวู่เฮิงล้วนมีโอกาสชนะครึ่งต่อครึ่ง
“เขา… เขาเอาชนะซินหวู่เฮิง?” จ้าวหลิงนั่งอย่างหมดหนทางบนพื้นขณะที่จ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่าไปยังอากาศเบื้องหน้า
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้ไปก่อกวนสัตว์ประหลาดอันใดไว้ จ้าวเฟิงนั้นไม่เพียงเหนือกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งของพรรคเช่นจ้าวหลินหลง เขากระทั่งทำให้ยอดอัจฉริยะแห่งเมืองประกายอรุณต้องยอมรับความพ่ายแพ้
“ไม่ ท่านไม่ได้แพ้” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเป็นทางการขณะที่มองไปยังอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง
ดวงตาซ้ายของเขาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังภายในและการไหลเวียนโลหิตจากร่างของอีกฝ่ายได้ เด็กหนุ่มสามารถเห็นได้ว่าพลังภายในของซินหวู่เฮิงนั้นกระทั่งเหนือกว่าจ้าวหลินหลง
ดังนั้นแล้ว พลังฝึกตนของอัจฉริยะตระกูลซินย่อมไม่ใช่ขั้นสุดยอดของขั้นห้า พลังฝึกตนที่แท้จริงของเขานั้นคือขั้นสุดยอดของขั้นหก ขั้นสุดยอดของขั้นหก!
เขาได้บดขยี้เหล่าอัจฉริยะทั่วทั้งเมืองประกายอรุณลงใต้ฝ่าเท้า ตั้งแต่คราแรกที่เด็กหนุ่มได้สังเกตอีกฝ่าย จ้าวเฟิงก็คิดว่า
“คนผู้นี้ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย…”
แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวพลังฝึกตนที่แท้จริงของซินหวู่เฮิง เขาไม่เพียงแค่มีพลังฝึกตนที่แข็งแกร่ง เขายังมีความช่วยเหลือจากตาซ้ายของเขาซึ่งทำให้เขามีความมั่นใจว่าเขาจะไม่พ่ายแพ้
“ไม่มีประโยชน์ที่จะประลองต่อ” ซินหวู่เฮิงสั่นศีรษะ
เขายังไม่พ่าย ทว่าเหตุผลที่เขาเอ่ยเช่นนั้นเป็นเพราะพลังฝึกตนที่แท้จริงของเขาและท่าไม้ตายอาจถูกเปิดเผยได้
และยังมีอีกสองเหตุผล อย่างแรก เขานั้นแก่กว่าจ้าวเฟิงกว่าสองปี และเขาไม่ต้องการใช้ข้อได้เปรียบนี้ในการเอาชนะอีกฝ่าย อย่างที่สองนั้น กลิ่นอายและเคล็ดวิชาของเขาได้ถูกขโมยไปโดยจ้าวเฟิงแล้ว จากความคิดของเขา จ้าวเฟิงนับเป็นสัตว์ประหลาด การเปิดไพ่ในมือไปมากกว่านี้มีแต่จะสร้างผลประโยชน์ให้กับเด็กหนุ่มผู้นั้นเท่านั้น
“นับว่าเสมอเห็นเป็นเช่นไร?” ชิวเมิงหยูเอ่ยในฐานะผู้จัดงาน
เสมอ?
จ้าวเฟิงมองตรงไปยังซินหวู่เฮิงก่อนที่ทั้งสองจะพยักหน้าพร้อมกัน
“แน่นอน” เด็กหนุ่มตกลงและไม่ดึงดันที่จะประลองต่อ
อย่างไรก็ตาม ตามกฎนั้นไม่อาจประลองได้เกินหนึ่งร้อยกระบวนท่า
“ข้าจะเฝ้ารอการประลองต่อไปของเรา” ซินหวู่เฮิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากสิ้นคำ เขาก็ออกจากงานชุมนุมไปในทันที ภาพนั้นสร้างความงุนงงให้กับหลายคน
ซินหวู่เฮิงนับว่าออกไปกลางคันหรือไม่?
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหลังจากที่ชายหนุ่มจากไป เขาก็ไม่เคยปรากฏตัวที่เมืองประกายอรุณอีกเลย…
การคงอยู่ของเขาค่อยๆ จางหายไป กระทั่งผ่านพ้นไปนานจ้าวเฟิงจึงได้พบเขาอีกครั้ง
งานชุมนุมยังคงดำเนินต่อไป
การประลองของซินหวู่เฮิงและจ้าวเฟิงทำให้งานชุมนุมเข้าสู่จุดเข้มข้น การประลองที่เหลือจึงกลายเป็นจืดชืดไป
บัดนี้ สี่ยอดอัจฉริยะได้ถูกจัดอันดับแล้ว
อันดับหนึ่ง: จ้าวเฟิงและซินหวู่เฮิง
อันดับสาม: จ้าวหลินหลง
อันดับสี่: ชิวเมิงหยู
เมื่อถึงยามนี้ย่อมไม่มีคำค้านใดอีก ทว่างานชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้มีม้ามืดเพียงตัวเดียว
“ข้า จ้าวหยูเฟ่ย อยากจะเห็นความสามารถของท่าน” จ้าวหยูเฟ่ยนั้นราวกับดอกบัวแสนบริสุทธิ์และน่ายกย่อง นางได้ดึงดูดความสนใจของเด็กหนุ่มหลายคนในทันใด
คำโต้เถียงดังขึ้นในทันที
จ้าวหยูเฟ่ยได้เข้าสู่ขั้นห้าตั้งแต่อายุยังน้อย ความสามารถของนางนั้นเพียงต่ำกว่าแค่จ้าวเฟิงเท่านั้น ทว่าจ้าวเฟิงก็รับรู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะตาซ้ายของเขา หากเขาไม่มีดวงตานี้ จ้าวหยูเฟ่ยย่อมกลายเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูลจ้าว กระทั่งจ้าวหลินหลงก็ไม่อาจเข้าสู่ระดับนี้ได้เมื่อยามอายุเท่าเทียมกัน
นอกจากนั้น จ้าวหยูเฟ่ยเองก็มาจากตระกูลสาขา ในด้านของทรัพยากรนั้น นางย่อมด้อยกว่าจ้าวหลินหลงหลายเท่า
“ข้าเอง!” เด็กหนุ่มขั้นห้าจากตระกูลซินเดินออกไป
คนผู้นี้นามซินเฉิน นับเป็นอันดับสองในตระกูลซิน ด้อยกว่าเพียงซินหวู่เฮิง และเหนือกว่าซินโทง เขาแพ้ให้เพียงแค่จ้าวหลินหลงและชิวเมิงหยูก่อนหน้า ในด้านของความแข็งแกร่งนั้นเขาเทียบเท่าได้กับจ้าวชิ ห่างจากสี่ยอดอัจฉริยะเพียงหนี่งก้าว
“ฝ่ามือผีเสื้อ!”
จ้าวหยูเฟ่ยนั้นเบาราวสายลม ฝ่ามือของนางนั้นทั้งนุ่มนวลและเปราะบางยิ่ง ขณะที่นางโจมตี เด็กสาวก็พลันใช้วิชาระดับสูงฝ่ามือผีเสื้อซึ่งเกือบเทียบเท่าได้กับวิชาระดับสุดยอดออกในทันใด
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ร่างทั้งสองเข้าปะทะกน จ้าวหยูเฟ่ยนั้นงดงามเปราะบาง เมื่อปะทะกันกว่าสิบกระบวนท่าเด็กสาวก็ได้เปรียบขึ้น ในด้านของพลังทำลายนั้น นางเทียบเท่าได้เพียงจ้าวชิ ทว่าพลังภายในของนางโคจรด้วยเคล็ดตัดลมหายใจซึ่งเหนือกว่าของซินเฉินนัก
เคล็ดตัดลมหายใจนั้นเพิ่มความเร็วและพลังโจมตีให้นาง และเมื่อใช้ร่วมกับวิชาอื่น นางก็สามารถเอาชนะผู้ที่อยู่ในขั้นเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
สามสิบกระบวนท่าถัดมาพลังของจ้าวหยูเฟ่ยก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือของนางนั้นทั้งอ่อนและแข็ง รวมทั้งนางก็ดูเหมือนจะสำนึกรู้มากขึ้นได้จากการประลอง
“นางเองก็ได้ฝึกฝนวิชาเสริมกายาระดับสูงเช่นเดียวกับชิวเมิงหยู” ซินโทงตะลึงงัน
วิชาเสริมกายาของจ้าวหยูเฟ่ยนั้นไม่นับว่าด้อยไปกว่าวิชากำแพงเหล็กแม้แต่น้อย ทว่ามันเหมาะสมกับสตรีมากกว่า
“นางมีความสามารถสูงยิ่ง นางอาจจะซ่อนความสามารถที่แท้จริงของนางไว้”
ทันใดนั้นจ้าวเฟิงก็นึกถึงชายชราแขนเดียวลึกลับผู้นั้นขึ้น ชายชราที่สามารถนำวิชาระดับสูงเช่นวิชากำแพงเหล็กออกมาได้นับว่าเหลือเชื่อนัก
สามสิบกระบวนท่าให้หลัง จ้าวหยูเฟ่ยก็โจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดจึงเอาชนะซินเฉินได้
จ้าวหยูเฟ่ยชนะ! มีม้ามืดอีกตัวแล้วในครานี้
จ้าวหยูเฟ่ยพักชั่วครู่ จากนั้นจึงท้าประลองชิวชางอี้ อดีตหนึ่งในสี่ยอดอัจฉริยะ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นในปีนี้ เขาก็ยังคงแข็งแกร่ง
ย่างก้าวขนปักษา!
ขนปักษาเมฆาคล้อย!
ชิวชางอี้ใช้วิชาเคลื่อนไหวทั้งสองของเขาซึ้งถูกฝึกจนเข้าขั้นสุดยอดแล้วทั้งคู่ มีเพียงจ้าวเฟิงที่สามารถเทียบเท่ากับเขาได้ในด้านของความเร็ว
“กลีบดอกเมฆาข้าม!” วิชาของจ้าวหยูเฟ่ยพลันเปลี่ยนแปลงไปในขณะที่นางใช้วิชาที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อน
เสี้ยววินาทีนั้น ร่างกายของนางพลันเบาบางราวกลีบดอกไม้ขณะที่พลิกตัวกลางอากาศ
“กลีบดอกเมฆาข้าม? เป็นวิชาอันใดกัน? มันไม่นับว่าด้อยกว่าวิชานภาลอยล่องเลยแม้แต่น้อย!” จ้าวเฟิงตื่นตะลึง
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าเขานั้นเร่งรีบในการแลกเปลี่ยนเคล็ดลมหายใจตัดอากาศกับวิชากำแพงเหล็กมากเกินไป บางทีมันอาจนับเป็นการแลกเปลี่ยนที่ดี ทว่าเคล็ดลมหายใจตัดอากาศนับว่าเหมาะสมกับจ้าวหยูเฟ่ยยิ่งนัก พลังของวิชานี้อาจเหนือกว่าเคล็ดวิชาลมหายใจตัดอากาศเสียอีก
เพียงแค่เด็กหนุ่มถอดถอนใจ สถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนไป
ชิวชางอี้พ่ายแพ้!
ในด้านของความเร็วนั้น ชิวชางอี้ไม่มีข้อได้เปรียบเมื่อจ้าวหยูเฟ่ยมีย่างก้าวกลีบดอกเมฆา
ห้าสิบถึงหกสิบกระบวนท่าให้หลัง ชิวชางอี้จึงพ่ายแพ้ หลังจากเอาชนะชิวชางอี้ จ้าวหยูเฟ่ยต้องทำเพียงเอาชนะหนึ่งในสี่ยอดอัจฉริยะเพื่อเข้าไปแทนที่
ในที่สุด งานชุมนุมก็มาถึงจุดจบ
ครานี้ จ้าวหยูเฟ่ยท้าประลองชิวเมิงหยู การประลองระหว่างสองสาวงามผลักดันงานชุมนุมให้เข้าสู่จุดเข้มข้นอีกครั้ง จ้าวหยูเฟ่ยยังคงใช้กลีบดอกเมฆาข้ามในการต่อกรกับชิวเมิงหยู
หนึ่งร้อยกระบวนท่าถัดไป ทั้งสองจึงจบลงที่เสมอกัน สร้างความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
สี่ยอดอัจฉริยะบัดนี้กลายเป็นห้ายอดอัจฉริยะ: ซินหวู่เฮิง จ้าวเฟิง จ้าวหลินหลง ชิวเมิงหยู และจ้าวหยูเฟ่ย
ตระกูลจ้าวได้รับตำแหน่งไปสามในห้า สร้างความกดดันให้ตระกูลชิวและตระกูลซินอย่างมาก ชิวเมิงหยูและชิวชางอี้มองเห็นความกังวลในแววตาของอีกฝ่าย เหล่าอัจฉริยะของตระกูลจ้าวนับว่าน่ากลัวเกินไป นอกจากจ้าวหลินหลงยังมีจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ย
การผงาดขึ้นของจ้าวเฟิงนับว่าเป็นปาฏิหาริย์ เขาเป็นคนแรกที่เสมอกับซินหวู่เฮิง ทว่าอัจฉริยะตระกูลซินผู้นั้นอายุมากกว่าเด็กหนุ่ม ดังนั้นแล้วในด้านของพรสวรรค์และความแข็งแกร่งนั้น จ้าวเฟิงจึงนับเป็นอันดับหนึ่ง
“เมิงหยู!” เบื้องหลังลานประลอง ชายชราในชุดสีเทาเอ่ย
“ผู้อาวุโส” ชิวเมิงหยูเอ่ยอย่างนอบน้อม
“มีบางอย่างที่ข้าอยากให้เจ้าทำ นี่นับเป็นเรื่องสำคัญมาก…” ชายชราชุดเทาเอ่ยเสียงแผ่ว
งานชุมนุมสิ้นสุดลงในที่สุด
เหล่าอัจฉริยะตระกูลจ้าวเดินออกจากกระโจมของตนและเริ่มเดินทางลงเขา หลายคนมองไปยังร่างของจ้าวเฟิงด้วยความหวาดกลัวและชื่นชม ทว่าก็ยังคงมีความริษยาและเกลียดชังปะปน
“จ้าวเฟิง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะยอดเยี่ยมที่สุดเพียงเพราะเจ้านับเป็นอันดับหนึ่ง ข้ากระทั่งยังไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายของข้าในครานี้” จ้าวหลินหลงเอ่ยอย่างเย็นชาขณะที่เขาจับจ้องไปยังจ้าวเฟิงด้วยท่าทางหยิ่งยโสและมั่นใจ