บทที่ 551 อาวุธสังหาร
“มรดกอาวุธชั้นพิภพ! หอกจักรพรรดิเหมันต์!” จ้าวเฟิงกระตุ้นพลังสายเลือด เงาอาวุธชั้นพิภพก็ปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้าของเขา
แต่ที่ต่างไปจากครั้งก่อนคือ เงาอาวุธขั้นพิภพค่อยๆ ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ไม่นานนักรูปลักษณ์ที่แท้จริงของ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ก็ปรากฏขึ้นมา!
ผลัวะ~
สายเลือดส่วนลึกภายในร่างของจ้าวเฟิงทำให้ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ที่อยู่ในสภาวะของเหลวชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยละล่องมารวมตัวกัน จากนั้น ‘ประกอบสมบูรณ์’ จนไปปรากฏในมือของเขา
ในช่วงเวลาปกติแล้ว ยามหอกจักรพรรดิเหมันต์ที่ ‘ประกอบสมบูรณ์’ หลอมรวมเข้ากับสายเลือดภายในร่างของจ้าวเฟิงจนแนบสนิท ไอพลังดังกล่าวยากที่จะสัมผัสได้ อีกทั้งในตอนนี้หอกจักรพรรดิเหมันต์ในสภาวะนี้ยังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วย
วิ้ง!
เงาอาวุธชั้นพิภพเปลี่ยนจากสภาวะเงามาเป็นรูปธรรมในเวลาอันสั้น ปรากฏเป็นหอกจักรพรรดิใสสกาวราวอัญมณีพร้อมด้ามจับสีฟ้าเข้ม
หอกจักรพรรดิเหมันต์!
อาวุธชั้นพิภพที่สมบูรณ์!
จ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่าพลังสายเลือดของตนพัฒนาไปถึงระดับขั้นใหม่ พลังที่หลับใหลอยู่ของหอกจักรพรรดิเหมันต์จึงได้รับการกระตุ้นให้ตื่นขึ้นด้วย
จุดสอดประสานนี้มาจากอาวุธชั้นพิภพของหยูเทียนฮ่าว อาวุธชั้นพิภพที่สมบูรณ์อย่างแท้จริงนั้นไปกระตุ้นหอกจักรพรรดิเหมันต์ที่หลับใหลภายในสายเลือดของจ้าวเฟิงเข้า
“อาวุธชั้นพิภพ! เจ้าก็มีรึ…” หน้าของลู่เทียนอี้เปลี่ยนสี ร่างกายรู้สึกเย็นยะเยือก
วินาทีที่หอกจักรพรรดิเหมันต์ปรากฏขึ้น ไอเหมันต์เก่าแก่ซึ่งมีพลังแช่แข็งสรรพชีวิตปกคลุมไปทั่วฟ้า
‘ดาบจันทร์เสี้ยวเขี้ยวหมาป่า’ ในมือเขาส่งเสียงร้องและสั่นระริก
“หอกจักรพรรดิเหมันต์! ที่แท้ก็เป็นมรดกอาวุธชั้นพิภพชิ้นนั้น?”
ณ โลกภายนอก ราชันในขอบเขตปราณเทวะทั้งสามต่างจ้องไปยังหอกจักรพรรดิเหมันต์ที่ปรากฏในมือจ้าวเฟิง แล้วจึงไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้
จากประสบการณ์ที่ราชันปราณเทวะทั้งสามมี มองเพียงปราดเดียวก็รับรู้ความเป็นมาของหอกชิ้นนี้
หุบเขาลี้ลับ
อาวุธชั้นพิภพสองชิ้นนี้ไม่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อน ไอพลังอันไร้รูปร่างทะลวงและปะทะกันในอากาศ
“เสวียนอ้าวจักรพรรดิเหมันต์ ทะลวง!” จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าพลังสายเลือดและแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณภายในร่างตนหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ในมือเขาเป็นประหนึ่งหลุมลึกไร้ก้นบึ้ง
วิ้ง ตูม…
พลังดั้งเดิมของหอกจักรพรรดิเหมันต์มาจากการฝึกฌานในทุกวัน ทันทีที่สองมือของจ้าวเฟิงผลักออก หอกจักรพรรดิปรากฏลำแสงน้ำแข็งสีฟ้าสุกสว่างเป็นชั้นๆ ทิ่มแทงไปยังฝ่ายตรงข้าม
ในเวลานั้นเอง ทุกสรรพสิ่งในบริเวณใกล้เคียงแข็งเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
พลังเหมันต์ต้องห้ามเก่าแก่ที่มีหอกจักรพรรดิเป็นจุดศูนย์กลางพุ่งทะลวงลงเบื้องล่าง เพียงพริบตาเดียวพลังก็สาดกว้างเป็นรัศมีกว่าสิบลี้
ในยามนั้น
ไม่ว่าจะเป็นลู่เทียนอี้หรือหอคอยพฤกษาปีศาจที่อยู่ใกล้ๆ ต่างโดนก็ไอความเย็นแช่แข็งไปเล็กน้อยในพริบตา
บึ้ม โครม!
ลู่เทียนอี้ที่ร่างกายแข็งค้างฝืนโบก ‘ดาบจันทร์เสี้ยวเขี้ยวหมาป่า’ คมดาบรูปศีรษะจิ้งจอกสีม่วงแดงอันร้ายกาจปะทะกับลำแสงน้ำแข็ง เกิดเป็นกลิ่นอายต้องห้ามขึ้นเป็นระลอกๆ
แต่ทว่าไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า มวลบุปผา หรือว่าคมดาบมากมาย ทันที่พบกับหอกจักรพรรดิเหมันต์ต่างก็โดนแช่แข็งอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ พั่บ!
ปีกวายุอัสนีสีม่วงเขียวโบกขยับ หายวับไปจากจุดเดิมทันที
วินาทีถัดมา จ้าวเฟิงบินไกลจากที่เดิมราวร้อยจั้งเพื่อหลบหลีกกลิ่นอายต้องห้ามระลอกดังกล่าว
อึก!
ถึงแม้ว่าเขาจะโบยบินหนีไปได้ทันเวลา แต่ว่ายังคงโดนผลกระทบจากกลิ่นอายระลอกนั้น เขากระอักเลือดออกมาจนใบหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
“ถึงแม้ว่าขอบเขตพลังของข้าเพียงพอ พลังสายเลือดก็ไม่ได้อ่อนแอ แต่ผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้กระตุ้น ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ นับว่าฝืนเอาการอยู่” ทั่วร่างของจ้าวเฟิงปรากฏกำแพงน้ำขึ้นชั้นหนึ่งเพื่อเร่งฟื้นฟูบาดแผลอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ของลู่เทียนอี้ดูแย่กว่ามาก ทั่วร่างถูกแช่แข็ง เขาจำต้องรับพลังต้องห้ามที่เกิดจากการปะทะกันของอาวุธชั้นพิภพสองชิ้นเต็มๆ
วี้ด~
ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน เลือดที่หยดเป็นสายตรงมุมปากแข็งตัวอย่างรวดเร็ว
“ลู่เทียนอี้พ่ายแพ้แล้ว”
ณ โลกภายนอก ราชาโครงกระดูกสีทองถอนหายใจเสียงต่ำ
ราชาลัทธิมารผู้ซึ่งมีกลิ่นอายแห่งความมืดล้อมรอบกายก็ส่ายศีรษะน้อยๆ เช่นกัน
ลู่เทียนอี้ถูกตัดแขนขาดไปหนึ่งข้าง พลังวายุอัสนีแทรกเข้าไปภายในร่างกาย ยามนี้ยังเจอสถานการณ์หนักหนาจนบาดเจ็บสาหัสมากเช่นนี้อีก เขานับได้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเสียแล้ว
“ลู่เทียนอี้ผลีผลามเกินไป เขาไม่ได้พ่ายแพ้เพราะพลังที่ต่างกันเลย”
เฉิงเยว่เซียนกูถอนหายใจน้อยๆ นางไม่ได้ปฏิเสธในคำชี้ขาดของราชันทั้งสอง แต่บนสีหน้ากลับไม่มีวี่แววของความกังวลมากนัก
“ลู่เทียนอี้ เจ้าแพ้แล้ว” ปีกวายุอัสนีเบื้องหลังจ้าวเฟิงขยับน้อยๆ หอกจักรพรรดิเหมันต์ในมือเป็นสีฟ้าเข้มทั่วทั้งเล่ม สีของมันลึกล้ำราวมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง
“จ้าวเฟิง! เจ้ามันพวกหมาหมู่ ลอบโจมตีเบื้องหลัง เจ้าชนะข้าแล้วมันจะยังไง”
ลู่เทียนอี้กัดฟันสู้แล้วกระตุ้นไอสวรรค์ที่แท้จริง พยายามที่จะยับยั้งบาดแผลบนร่างกาย
สำหรับความโกรธแค้นของลู่เทียนอี้ บนใบหน้าของจ้าวเฟิงปรากฏแววเยาะเย้ยให้ ไม่พูดอะไรสักคำ ประหนึ่งว่าไม่ควรค่าแก่การอธิบาย
การที่ลู่เทียนอี้ล้มเหลวมีสามสาเหตุดังนี้
ข้อแรก เขาต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ศิลาและจ้าวเฟิง ซึ่งเป็นการโจมตีจากระดับผู้สูงศักดิ์ถึงสองคน
จนท้ายที่สุดคือการปะทะกันของอาวุธชั้นพิภพ สำหรับลู่เทียนอี้แล้วก็ยังไม่ใช่การต่อสู้แบบตัวต่อตัวแต่อย่างใด
ข้อสอง ลู่เทียนอี้ชะล่าใจและดูแคลนศัตรู จึงทำให้ ‘ดวงตาสวรรค์’ ของจ้าวเฟิงที่ซุ่มโจมตีสามารถตัดแขนของเขาจนขาด ทำให้พลังรบลดหายไป
ข้อสาม ความได้เปรียบของหอกจักรพรรดิเหมันต์ ถึงจะเป็นอาวุธชั้นพิภพเหมือนกัน แต่หอกจักรพรรดิเหมันต์ของจ้าวเฟิงเป็นประเภทมรดกและพิเศษกว่าอาวุธชั้นพิภพของลู่เทียนอี้
ด้วยเหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ จึงส่งผลให้ลู่เทียนอี้พ่ายแพ้
“เหอะเหอะ ลู่เทียนอี้! เจ้าแพ้แล้วก็คือแพ้แล้วสิ หรือว่ายักษ์ศิลาไม่ใช่พลังส่วนหนึ่งของจ้าวเฟิงหรอกหรือ เคล็ดวิชาที่ใช้ในการสู้รบตบมือก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพลังรึไง?” เสียงของสตรีนางหนึ่งลอยมากลางอากาศ
เสียงนั้นมาจากเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง!
“เจ้า…” ลู่เทียนอี้กลืนเสียงลงในลงคอ ใบหน้าเดี๋ยวซีดขาวเดี๋ยวเขียวคล้ำ
เป็นเรื่องจริงที่ว่ายักษ์ศิลาถูกจ้าวเฟิงควบคุม ซึ่งนับได้ว่าเป็นการใช้พลังวิชาดวงตาของเขา
หรือว่าการสู้รบกับผู้ฝึกสัตว์ไม่อนุญาตให้อีกฝ่ายใช้สัตว์วิเศษงั้นเรอะ?
การโจมตีจากเนตรสวรรค์ของจ้าวเฟิงก็มาในเวลาที่พอเหมาะเป็นอย่างยิ่ง
เนตรสวรรค์ใช้โจมตีจากบนอากาศได้ ด้วยสามารถปรากฏกายที่ตำแหน่งใดก็ได้ในซากปรักหักพังสือเฉิง นี่ก็คือพลังความสามารถของจ้าวเฟิงเช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนไม่อาจเล็ดลอดสายตาผู้เป็นนายของมิติแห่งนี้อย่าง ‘เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง’
และด้วยเหตุนี้เอง การที่ลู่เทียนอี้ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ทั้งยังว่าร้ายจ้าวเฟิง จึงทำให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงทนไม่ไหวจนต้องออกมาตอบโต้
“ลู่เทียนอี้ หากให้สู้กันซึ่งๆ หน้า ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหรอก เสียดายนักที่นี่ไม่ใช่การประลองฝีมือ แต่เป็นการต่อสู้ที่หมายมุ่งจะเอาชีวิต” จ้าวเฟิงเอ่ยปากตอบเสียงราบเรียบ
พลังรบของลู่เทียนอี้น่ากลัวเกินไป
หากสู้กันโดยตรง ต่อให้เขาร่วมมือกับเจ้าหอโครงกระดูกก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
อีกทั้งหอกจักรพรรดิเหมันต์ของเขาสามารถปรากฏได้ไม่นานนัก ไม่อาจคงอยู่ยาวนานได้
“แยก!”
บนหน้าของลู่เทียนอี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาเปลี่ยนร่างเป็นลำแสงสีทองเตรียมจะพุ่งกายหนีไป
“ถึงแม้ว่าร่างกายข้าจะเต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์ แต่ขอเพียงแค่หา ‘ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น’ ให้พบ พลังรักษาของนางจะต้องรักษาบาดแผลข้าให้หายได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่” ลู่เทียนอี้คิดคำนวณในใจ
ศึกครั้งนี้เขาไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ก็เห็นชัดๆ ว่าพลังรบแข็งแกร่ง แต่เพราะปัจจัยต่างๆ นานากลับต้องมาแพ้ต่อคนในขั้นนายเหนือแท้ เรื่องนี้เขารับไม่ได้จริงๆ
“คิดหนีงั้นสิ?” ปีกวายุอัสนีเบื้องหลังจ้าวเฟิงโบกสะบัด แล้วเกิดเป็นเงาวายุอัสนีพุ่งขึ้นฟ้าไล่ตามลู่เทียนอี้ไปติดๆ
หากว่าด้วยเรื่องความเร็ว จ้าวเฟิงย่อมไวกว่าลู่เทียนอี้ที่บาดเจ็บสาหัสอยู่บ้าง อย่างไรเสียขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงก็แตะไปถึงใจกลางของผู้สูงศักดิ์แล้ว ซ้ำยังมีพลังปีกวายุอัสนีมาเพิ่มเติมอีก
แต่สภาวะต่างๆ ของลู่เทียนอี้ตกลงสู่ขีดต่ำสุด ต้องคอยสะกดบาดแผลตลอดเวลา
เพลิงวายุอัสนีเนตรเทพเจ้า!
เนตรมรกตพิฆาต!
ระหว่างที่จ้าวเฟิงกำลังไล่ตาม เขาปลดปล่อยวิชาดวงตาที่แข็งแกร่งสองบทเข้าโจมตีจนลู่เทียนอี้ร่วงลงพื้น
“เทียนอี้ อดทนอีกหน่อย”
ไม่กี่สิบลี้ข้างหน้า ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นกำลังนำเย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์เร่งรุดมายังทิศทางนี้
“สายไปแล้ว!” จ้าวเฟิงมีทีท่าสบายๆ ถึงขั้นเก็บ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ไปแล้ว
ลู่เทียนอี้คุกเข่าลงกับพื้น บาดแผลเขารุนแรงเกือบถึงชีวิต กลิ่นอายชีวิตอ่อนแรงลง พลังรบก็ลดลงเหลือเพียงสองสามส่วนเท่านั้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ ลำพังตัวของจ้าวเฟิงเองก็สามารถสังหารลู่เทียนอี้ได้โดยไม่ต้องใช้วิชาดวงตาและหอกจักรพรรดิเหมันต์เลย
“จ้าวเฟิง…คนที่จะตายคือเจ้าต่างหาก” ลู่เทียนอี้กัดฟัน ทันใดนั้นเขาจึงล้วงเอาป้ายหยกสีทองออกมาจากภายในอก ทันทีที่ป้ายหยกสีทองปรากฏก็เกิดเป็นไอพลังกดดันวิญญาณ
จ้าวเฟิงใจเต้นระรัว
“โล่พลังเซียน!” ลู่เทียนอี้บีบป้ายหยกในมือจนแตกละเอียด เบื้องหลังของเขาพลันปรากฏเงาเจิดจ้าประหนึ่งเทพเซียนของราชาในชุดคลุมสีทอง
ในพริบตาเดียว พลังเซียนอันยิ่งใหญ่จนยากจะคาดเดาก็ทะลวงผ่านความว่างเปล่ามา
วินาทีนี้เอง จ้าวเฟิง เจ้าหอโครงกระดูกภายในประคำหมื่นวิญญาณ รวมไปถึงพวกผู้อาวุโสสุยอวิ้นที่อยู่ไกลออกไป ล้วนแต่สัมผัสได้ถึงพลังกดดันแข็งแกร่งอันมาจากวิญญาณ
“โล่พลังเซียน? ลู่เทียนอี้ยังมีไพ่ตายใบนี้อยู่อีกหรือ!”
“เงาในชุดคลุมสีทองเหมือนจะเป็นราชันปราณเทวะที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง…เทพสงครามรัศมีทอง!”
โลกภายนอก ยอดฝีมือของทั้งสามสำนักต่างถกเถียงกันอย่างอื้ออึง
โครงกระดูกสีทองและราชาลัทธิมารสบตากันครู่หนึ่ง สีหน้าตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนเฉิงเยว่เซียนกูยกมุมปากน้อยๆ เป็นรอยยิ้ม ถึงแม้ว่าพลังรบของลู่เทียนอี้จะแข็งแกร่ง แต่ว่ายังมีประสบการณ์ไม่มากพอ เฉิงเยว่เซียนกูใยจะไม่รู้?
ถึงแม้เป็นเช่นนี้ เฉิงเยว่เซียนกูก็ยังคงรับปากให้ลู่เทียนอี้เป็นผู้นำทัพกองที่สอง นางย่อมต้องให้ที่พึ่งพิงแก่เขาอยู่แล้ว
อาวุธชั้นพิภพที่สมบูรณ์เป็นเกราะป้องกันในพลังการรบที่แข็งแกร่งของลู่เทียนอี้
โล่พลังเซียนก็เป็นหลักป้องกันชีวิตของเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นอาวุธสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย
“ป้ายหยก ‘โล่พลังเซียน’ แผ่นนี้ พลังของมันแข็งแกร่งกว่าป้ายหยกทั่วไป สามารถสังหารผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเฟิงมีพลังรบเพียงแค่ทำร้ายผู้สูงศักดิ์ได้ แต่เขาไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์” ใบหน้าของเฉิงเยว่เซียนกูยิ้มแย้ม
แล้วในเวลานี้เองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“โล่มังกรหยก!” จ้าวเฟิงยิ้มเย็น ในมือของเขาปรากฏป้ายหยกสลักลายมังกร
ป้ายสลักลายมังกรนั่นส่งเสียงดัง ‘แครก’ แล้วแตกละเอียด เงามังกรเขียวโบราณสุกสว่างตัวใหญ่ทะลักออกมาเป็นรูปร่างประหนึ่งจับต้องได้
อู~
บนท้องฟ้ามีเสียงร้องคำรามของมังกรโบราณสีเขียว เงาขนาดใหญ่ของมันปล่อยพลังยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าดินออกมา
อะไรกัน!
เหล่ายอดฝีมือของทั้งสามสำนัก ณ โลกภายนอกมีสีหน้าแข็งทื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉิงเยว่เซียนกูก็กลายเป็นยิ้มค้าง
“ที่แท้ก็ใช้เลือดมังกรโบราณเป็นทรัพยากรหลักในการทำโล่พลังเซียนชิ้นนี้”
“ทันทีที่มังกรโบราณโตเต็มวัย พลังรบก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชันในขอบเขตปราณเทวะที่อยู่ในขั้นเดียวกัน…”
ยอดฝีมือของทั้งสามสำนักยังพอมีคนที่มีตาและมีแววด้วย
ตูม~
ภายในซากปรักหักพังสือเฉิง พลังของโล่ป้องกันทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ กลิ่นอายต้องห้ามทำให้มิติเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง มิใช่เพียงแค่ความรู้สึกนึกคิดไปเองด้วย
ตูม ตาม ตูม~
ครึ่งชั่วลมหายใจที่ต่อสู้ประมือกัน เงาของมังกรโบราณตัวใหญ่ดูได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด มันทะยานไปกลืนกินเงาราชาในชุดคลุมสีทอง
“แย่แล้ว!” ลู่เทียนอี้หน้าซีดเผือด คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงเองก็มีอาวุธสังหารจำพวก ‘โล่พลังเซียน’ เช่นกัน อีกทั้งพลังยังแข็งแกร่งกว่าของตนเอง
โครม!
ร่างของลู่เทียนอี้ซวนเซไปทันใด ก่อนจะถูกคลื่นพลังที่หลงเหลือพุ่งชนจนกระเด็นไปไกลหลายลี้ ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นหรือตาย
“เทียนอี้!”
ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นรีบทะยานผ่านอากาศมา กำแพงน้ำสีฟ้าใสสุกสว่างห่อหุ้มทั่วร่างของลู่เทียนอี้และแทรกซึมเข้าไปข้างใน
พรึ่บ! พรึ่บ!
ทันทีทันใดนั้น เย่เหยียนหยูและจงหว่านเอ๋อร์แบ่งฝั่งซ้ายขวาเพื่อผนึกกำลังรับมือกับจ้าวเฟิง
“จิ๊จิ๊จิ๊…” หมอกควันสีเทาค่อยๆ ขยายกลางอากาศ ปรากฏเป็นหุ่นเชิดศพต้องสาปสามสิบแปดร่าง รวมไปถึงโครงกระดูกสีทองแปลกประหลาดน่าสะพรึง
จนถึงขณะนี้ เจ้าหอโครงกระดูกถึงเพิ่งออกมาจากประคำหมื่นวิญญาณ
เขาอดทอดถอนใจไม่ได้ จ้าวเฟิงกลับสามารถสังหารกองทัพที่สองของทั้งสามสำนักจนหมดสิ้นด้วยพลังของเขาเพียงคนเดียว